กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 435 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (1)
หยางเซียวตะลึงงัน ถมึงตาจ้องเขาอย่างเหลือเชื่อ ราวกับเพิ่งได้ยินคำพูดที่น่าตกใจอย่างถึงที่สุด
สายตาของตงฟางเจ๋อไม่แยแส แต่กลับแฝงความหมาย “ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกอยู่เสมอ มิเช่นนั้น…จะได้มิคุ้มเสีย”
หยางเซียวพลันหัวเราะเย็นชา “ตงฟางเจ๋อ ท่านเป็นคนใจกว้างอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใด? หยางเจิ้นมีจิตทะเยอทะยาน คิดแต่จะช่วงชิงบัลลังก์ มีหรือเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ? คำสาบานของเขา ข้าไม่มีทางเชื่อง่ายๆ แน่นอน!”
“ข้าเป็นพยานให้เขาเอง!” ซูหลีกล่าวอย่างหนักแน่น หยางเซียวตะลึงงันไปอีกครั้ง พวกเขาเป็นอาหลานกัน แต่กลับเข่นฆ่ากันเอง การต่อสู้ก่อนหน้านี้ของหยางเจิ้นกับอดีตฮ่องเต้ซูหลีมิอาจยับยั้งไว้ได้ ยามนี้อดีตฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตายไปแล้ว หยางเจิ้นเองก็สูญเสียอำนาจและวรยุทธ์ไปจนสิ้นแล้ว บุญคุณความแค้นในอดีตผ่านไปนานจนยากจะแยกแยะว่าผู้ใดผิดผู้ใดถูก เหตุใดจึงต้องปล่อยให้การต่อสู้ในครอบครัวอันโหดร้ายเช่นนี้ดำเนินต่อไปด้วยเล่า?
ซูหลีค่อยๆ เดินมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยความจริงใจ “หยางเซียว ข้ารู้ว่าข้าติดค้างท่านมากมาย แต่ข้ามิอาจทนดูเขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้! ท่านปล่อยเขาไป ข้าติดค้างหนี้บุญคุณท่านหนึ่งหน ภายหน้าไม่ว่าท่านมีเรื่องใด ซูหลีจะยอมสละชีวิตบุกน้ำลุยไฟเพื่อท่านแน่นอน!”
ครั้นนางเอ่ยวาจานี้ออกไป ทุกคนก็ตกตะลึง
“หากท่านไม่ยินยอม ข้าเองก็จะไม่ฝืนใจท่าน เพียงแต่…วันนี้ซูหลีเกรงว่าคงต้องล่วงเกินทุกท่านแล้ว!” เอ่ยจบ นางก็ถอยหลังหนึ่งก้าว รอฟังคำตอบจากปากเขา
หยางเซียวตะลึงงัน นางรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีทางทำร้ายนาง แต่กลับใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน บีบบังคับเขาทุกทาง! นางยืนอยู่ด้านหน้าเขา ใบหน้าหนักแน่น บ่งบอกถึงการตัดสินใจที่จะไม่มีวันสั่นคลอนของนาง!
นัยน์ตาดำขลับเจิดจ้าคู่นั้นจ้องตรงมาที่เขา ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก ได้แต่เอ่ยปากอย่างยากลำบาก “เจ้า…ต้องทำเช่นนี้จริงหรือ?”
ครั้นเห็นเขาคล้ายสั่นคลอน ซูหลีก็รีบหันไปกล่าวกับหยางเจิ้นทันที “เสด็จน้า! หากดวงวิญญาณของเสด็จแม่อยู่บนสรวงสวรรค์ ก็คงหวังให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน!”
หยางเจิ้นมีสีหน้าสับสน เขาไม่เคยคาดคิด ว่าเพื่อเขาแล้ว ซูหลีจะบีบบังคับหยางเซียวให้ยอมอ่อนข้อครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้! ครั้นได้ยินนางเอ่ยถึงพี่สาว สีหน้าของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนไปมา เขาถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะกล่าวอย่างโศกเศร้า “ช่างเถิด ข้า…สาบาน ชาตินี้จะไม่มีวันก้าวเท้าออกจากเมืองเหลียวเฉิงแม้เพียงครึ่งก้าว! หากผิดคำสาบาน ขอให้ข้าไม่ตายดี!”
กลางดึกสงัด ในพระราชวังเปี้ยน
ด้านในตำหนักฉินเจิ้งยังคงจุดโคมไฟสว่างไสว หยางเซียวนั่งอ่านฎีกาอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือมังกรด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง เขาเพิ่งขึ้นครองราชย์ จึงมีราชกิจมากมายรอให้สะสาง เดิมก็มีเรื่องราวให้จัดการมากมายอยู่แล้ว กอปรกับเกิดเหตุกบฏขึ้นอย่างกะทันหัน ยิ่งทำให้แคว้นเปี้ยนเสียหายอย่างหนัก หลังจากตั้งใจอ่านฎีกาฉบับสุดท้ายจนจบ หยางเซียวก็ถอนหายใจยาวๆ ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดจู่โจมเข้ามาพร้อมกันในพริบตา เขานั่งอ่อนแรงอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมขยับเขยื้อน
นับตั้งแต่ที่ปล่อยตัวหยางเจิ้นไป เขามิอาจข่มตาหลับได้ ทว่าครั้นหันมาแล้วเห็นซูหลี หัวใจก็พลันบังเกิดความอบอุ่น คิดเสียว่าเพื่อนางก็แล้วกัน เพื่อนาง เขายอมเอาชีวิตที่เหลืออยู่ในชาตินี้เสี่ยงในการเดิมพันที่อันตรายที่สุด พักผ่อนครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ หมายจะกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักบรรทม แต่ในขณะที่หมุนกาย แขนเสื้อกว้างๆ ได้ปัดไปโดนกล่องไม้ขนาดแคบและยาวกล่องหนึ่งตกพื้น
กล่องไม้ตกกระแทกพื้น ฝากล่องเปิดออก ผ้าไหมสีเหลืองอร่ามม้วนหนึ่งโผล่ออกมา เมื่อหยางเซียวก้มหน้ามอง หน้าพลันเปลี่ยนสี รีบก้มเก็บขึ้นมา นั่นเป็นพระราชโองการสละราชบัลลังก์ที่อดีตฮ่องเต้เขียนเองกับมือ เดิมทีพระราชโองการฉบับนี้ควรถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี หยางเซียวกลับยังไม่ยอมมีคำสั่งลงไปเสียที เขาชินที่จะมองดูมันยามรู้สึกเหนื่อยล้า และเตือนตนเองอยู่เสมอว่ามิอาจทำให้เสด็จพ่อผิดหวังได้
เขาหยิบมันขึ้นมามองดูอย่างละเอียด ครั้นเห็นว่าพระราชโองการไม่ได้เสียหายตรงไหน จึงค่อยถอนหายใจ เขาเช็ดคราบฝุ่นออกอย่างระมัดระวัง แล้วม้วนเก็บใส่กล่องอย่างดี ครั้นกวาดสายตามอง ก็บังเอิญเห็นว่าในกล่องไม้มีช่องลับมิดชิดช่องหนึ่ง ซึ่งมีมุมกระดาษสีขาวโผล่ออกมา!
หยางเซียวพลันบังเกิดความสงสัย จึงยื่นมือไปคว้ามีดเล่มเล็กบนโต๊ะหนังสือ สอดตัวมีดที่บางเหมือนปีกจักจั่นเข้าไปในช่องแคบๆ แล้วออกแรงงัด เสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้น กล่องไม้แยกออกตามเสียง ด้านในกลับมีอีกชั้นหนึ่งซ่อนอยู่ หัวใจของเขาเต้นรัว หยิบกระดาษที่พับอย่างเป็นระเบียบออกมา เมื่อเปิดออกดู อักษรที่ถูกเขียนด้านบน กลับเป็นอักษรลับของราชวงศ์เปี้ยน!
หยางเซียวกลั้นหายใจ หัวใจเต้นรัว นี่เป็นจดหมายลับที่เสด็จพ่อซ่อนไว้! บางทีนี่อาจเป็นคำตอบที่เขาตามหาอย่างยากลำบากมานานแสนนานก็ได้! เขาไม่ลังเล นั่งลงแล้วแปลอักษรบนจดหมายทันที
ดวงจันทร์ค่อยๆ คล้อยต่ำ ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ม่านราตรีอันมืดมิดค่อยๆ จางหายไป ยิ่งตัวอักษรที่ผ่านการแปลบนกระดาษเพิ่มขึ้น อารมณ์ของหยางเซียวก็พลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจควบคุม อักษรที่บันทึกอยู่บนกระดาษแผ่นนี้ ล้วนกำลังบ่งบอกว่ามันคือสิ่งที่เขากำลังตามหามาโดยตลอด!
สิ่งที่เขาปรารถนามาโดยตลอดแต่ไม่รู้จะไปตามหามันได้จากที่ใด ที่แท้ก็อยู่ข้างกายเขาตั้งแต่แรกแล้ว! เสด็จพ่อ…เข้าใจความต้องการของเขามาโดยตลอด ขอบตาพลันร้อนผ่าว เขาพ่นลมหายใจยาวๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วตะโกนสั่งเสียงดัง “ทหาร เตรียมม้า!”
เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นดังทำลายความเงียบสงบในยามเช้ามืดของเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน เมื่อหยางเซียวมาถึงเรือนรับรองทูต ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ในห้องของตงฟางเจ๋อกลับยังจุดโคมไฟไว้อยู่ ฎีกาแคว้นเฉิงที่มีตราประทับสีแดงบนโต๊ะถูกอ่านจนถึงฉบับสุดท้ายแล้ว เขายกมือนวดหัวคิ้ว สีหน้าเหน็ดเหนื่อย คล้ายไม่ได้นอนมาทั้งคืนเช่นกัน
หยางเซียวพลันรู้สึกสงบใจขึ้นมาก เขากระดกคิ้ว กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านเป็นฮ่องเต้แคว้นเฉิง มาเยือนแคว้นเปี้ยนแล้วรั้งอยู่เป็นเวลาหลายเดือน ข้าเองก็ยังประหลาดใจ ว่าเหตุใดท่านจึงได้ว่างงานเช่นนี้? ที่แท้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าสักเท่าใด!”
ตงฟางเจ๋อราวกับไม่ได้ยินแววหยอกล้อในน้ำเสียงของหยางเซียว เขารีบปิดฎีกาในมือ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโดยไม่เงยหน้า “มีเรื่องใด?”
“ตงฟางเจ๋อ ท่านอย่าได้ลืม ที่นี่คือเรือนรับรองแขกของเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน! ข้าจะมาย่อมมาได้ จะจากไปเมื่อใดก็ย่อมได้เช่นกัน” เดิมทีตั้งใจมาเพื่อจะปรึกษาเรื่องนั้น แต่ครั้นเห็นใบหน้านี้ของเขา หยางเซียวกลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก บุรุษผู้นี้ได้รับเมตตาจากสวรรค์มากล้น ไม่ว่ากระทำสิ่งใดล้วนเต็มไปด้วยรัศมีอันเจิดจรัส
ตงฟางเจ๋อชำเลืองมองเขาอย่างเย็นชา “เรื่องที่ข้ารับปากท่าน ล้วนทำหมดแล้ว เมื่อใดท่านจะทำตามที่ให้สัญญาไว้กับข้า? ความอดทนของข้ามีจำกัด”
หยางเซียวหุบรอยยิ้ม สะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลงตรงข้ามเขา แย้มยิ้มแล้วกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “มีปัญหาเล็กน้อย บางทีอาจทำให้ท่าน…ผิดหวัง”
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี สายตาคมปลาบเย็นชาดั่งมีดดาบพุ่งตรงเข้าไปทิ่มแทงบุรุษตรงหน้าทันที ก่อนที่เขาจะแค่นหัวเราะเย็นชา “หากท่านคิดจะเปลี่ยนใจ ก็จำต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนว่ามีปัญญารับผลที่จะตามมาได้หรือไม่!”
คำเตือนของเขาชัดเจนถึงเพียงนี้ หยางเซียวย่อมฟังเข้าใจ จนถึงยามนี้ ยังมีทหารแคว้นเฉิงนับแสนนายปักหลักอยู่ที่เทียนเหมินไม่ยอมถอยทัพกลับ ทันทีที่พวกเขาสองคนเปลี่ยนท่าที อีกฝ่ายจะต้องเปิดฉากโจมตีอย่างดุเดือดแน่นอน ด้วยสถานการณ์ของแคว้นเปี้ยนในปัจจุบันไม่มีทางรับมือไหวเป็นแน่!
สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา แต่กลับยังคงแย้มยิ้ม “ท่านไม่จำเป็นต้องข่มขู่ข้า ข้าไม่กลัว! หยางเซียวพูดคำไหนคำนั้น เมื่อรับปากสิ่งใดไม่มีวันผิดคำพูด! ที่ข้าบอกว่ามีปัญหา เพราะขาดสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบสำคัญชนิดหนึ่งไป”
ตงฟางเจ๋อตึงเครียดเล็กน้อย กล่าวถามเสียงเข้ม “สมุนไพรใด?”
“ได้ยินว่าสมุนไพรชนิดนี้ขึ้นเฉพาะในพื้นที่หนาวเย็นสุดขั้วเท่านั้น ไม่เพียงมีฤทธิ์ฟื้นความตาย แต่ยังเป็นยาวิเศษรักษาอาการบาดเจ็บที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ปรารถนาด้วย ผู้ใดกินใบของมันจะเพิ่มตบะได้ถึงหกสิบปี ในยุทธภพไม่มีใครไม่อยากได้มัน!”
“ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตรัสถึงหญ้าหานซินพันปีใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ในตอนนี้เอง ประตูเปิดออก คนผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาสวมอาภรณ์สีเขียว บุคลิกสุภาพอ่อนโยนสูงสง่าและโดดเด่น เขาก็คือ ‘หลินเทียนเจิ้ง’ คนสนิทของตงฟางเจ๋อนั่นเอง
“ถูกต้องแล้ว!” การตอบสนองอันรวดเร็วของหลินเทียนเจิ้ง ทำให้หยางเซียวประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าครั้นคิดอีกที เขาเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสเสวียนฟงแห่งลัทธิธิดาเทพ หากจะมีความรู้เรื่องยาพิษลึกซึ้งก็มิใช่เรื่องแปลก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีอวี๋เชียนจีที่ช่ำชองเรื่องยาพิษอยู่เคียงข้างกายอีกด้วย!
……………………