กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 436 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (2)
“เจ้ารู้หรือว่าหญ้าหานซินอยู่ที่ใด?” ตงฟางเจ๋อหันไปถามเขา
หลินเทียนเจิ้งส่ายหน้า กล่าวอย่างครุ่นคิด “ตามที่บันทึกไว้ในตำรา มันขึ้นตามผนังถ้ำน้ำแข็งที่หนาวจัดเท่านั้น มีคนมากมายทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อตามหามัน แต่กลับไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดตามหามันเจอ”
หญ้าหานซินลึกลับถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว ข่าวคราวที่ตั้งตารอมาเนิ่นนานเริ่มมีเบาะแส ทว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นกลับเป็นความหวังอันริบหรี่
เขาแค่นเสียงเย็นชา “ข่าวลือโดยมากมักถูกเพิ่มเติมเสริมแต่งจนเกินจริง ขอเพียงมีความพยายาม ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะไขว่คว้ามาไม่ได้!”
เขายังคงมั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้!
สายตาของหยางเซียวไหวระริกเล็กน้อย เขากล่าววาจาแดกดันและถากถาง “ใช่แล้ว ก็แค่สมุนไพรชนิดหนึ่งเท่านั้น ฮ่องเต้แคว้นเฉิงออกหน้าเอง มีเรื่องใดบ้างที่ทำไม่ได้?”
ตงฟางเจ๋อไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ เพียงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “แล้วนี่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่ท่านมาในวันนี้หรอกหรือ?”
ครั้นถูกเขาจับไต๋ได้ หยางเซียวไม่กระอักกระอ่วน กลับหัวเราะอย่างเบิกบานกว่าเดิม “ข้าแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น หากมิใช่ว่าปลีกตัวไม่ได้ ข้าคงไปตามหาด้วยตนเองแล้ว อนาคต…”
“ไม่มีคำว่าอนาคตสำหรับท่าน” ตงฟางเจ๋อกล่าวตัดบทมโนภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นของหยางเซียวอย่างเย็นชา แล้วกล่าวเตือนว่า “จัดการภาระหน้าที่อันพึงกระทำของท่านให้ดี แล้วอย่าได้คิดเรื่องไม่เหมาะไม่ควรใดเด็ดขาด”
สายตาของหยางเซียวพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาแสยะยิ้มดูแคลน “นั่นไม่ใช่เรื่องของท่าน! ท่านเพียงตามหาหญ้าหานซินมาให้ได้ เรื่องอื่น พวกเราเพียงต้องวัดกันด้วยความสามารถของตนเอง!” เอ่ยจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป ครั้นเดินไปถึงประตูกลับชะงักเท้า แล้วกล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินเสด็จพ่อบอกว่า สถานที่หนาวจัดส่วนมากล้วนอยู่ที่เมืองเหลียวเฉิง มิสู้ท่านไปดูที่นั่นสักหน่อย”
เงาร่างของหยางเซียวหายลับไปนอกประตู นัยน์ตาของตงฟางเจ๋อขรึมลงเล็กน้อย เขาเอ่ยกำชับ “หลินเทียนเจิ้ง เจ้าไปเตรียมตัวให้ดี หลังยามเช้าตรู่ผ่านไป พวกเราจะออกเดินทางทันที”
หลินเทียนเจิ้งหน้าเสีย รีบกล่าวว่า “ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่เมืองเหลียวเฉิงหรือพ่ะย่ะค่ะ? ที่แห่งนั้นอากาศหนาวจัด…ฝ่าบาทมีเรื่องใด มิสู้สั่งให้เซิ่งฉินไปทำไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้! เรื่องนี้จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด ข้าจะต้องไปด้วยตนเองเท่านั้น!” ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างหนักแน่น แววเด็ดเดี่ยวในดวงตาเขา บ่งบอกว่าได้ตัดสินใจแล้ว และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
หลินเทียนเจิ้งทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนใจ ก่อนจะออกไปเตรียมตัวออกเดินทาง
ในห้องไม่มีผู้อื่นอยู่อีก ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นแล้วเดินไปริมหน้าต่างช้าๆ มองดูทิวทัศน์ในสวนอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย หญ้าหานซินเป็นเพียงความหวังเดียวของเขาในตอนนี้ แม้จะมีความเป็นไปได้แค่หนึ่งในหมื่น เขาก็จะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด!
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน ใบไม้สีเหลืองเข้มค่อยๆ ร่วงโรย อากาศหนาวยะเยือกจับจิต จู่ๆ ก็พลันบังเกิดความรู้สึกเจ็บปวดเศร้าสร้อย เขาทอดถอนใจเงียบๆ ซูซู ต้องรอไปอีกนานแค่ไหน เจ้าจึงจะกลับมาอยู่ข้างกายข้า?
ณ บ้านพักธรรมดาแห่งหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน
ซูหลีนั่งอยู่บนที่นั่งสูงสุด สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่ในห้องโถง กล่าวเสียงเคร่งขรึม “ศิษย์ลัทธิธิดาเทพทุกคนจงฟัง หัวหน้าสำนักทุกสำนักจงนำศิษย์ในสำนักออกจากเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนไปก่อน”
หัวหน้าสำนักทั้งแปดรับคำสั่งแล้วจากไป อวี๋เชียนจีกลับยืนอยู่ที่เดิมอย่างลังเล ทำท่าจะเอ่ยปากแต่ก็หยุด เห็นชัดว่ามีเรื่องอยากพูด
ซูหลีจึงถาม “หัวหน้าสำนักอวี๋มีเรื่องใดอีกงั้นหรือ?”
อวี๋เชียนจีเดินมาตรงหน้าซูหลี ค้อมกายคารวะนางอย่างนอบน้อม “เชียนจีมีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องเจ้าค่ะ”
ซูหลีกล่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ว่ามา”
“เชียนจีมีธุระส่วนตัว อยากจัดการให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับสำนัก มิทราบว่าท่านธิดาเทพจะอนุญาตได้หรือไม่เจ้าคะ?” ยามที่นางกล่าวประโยคนี้ น้ำเสียงอ่อนหวาน สายตาที่มองซูหลีปิดบังความคาดหวังและความกังวลเอาไว้ไม่มิด
ซูหลีสังเกตเห็นแววตานาง ในใจก็กระจ่างว่าเป็นเรื่องใด นางอยากรั้งอยู่ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนอีกสักหลายวัน เพราะหลินเทียนเจิ้ง ยามนี้คณะทูตของแคว้นเฉิงยังไม่ไปจากเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน ฐานะของหลินเทียนเจิ้งก็ถูกเปิดเผยแล้ว ย่อมมิอาจติดตามนางกลับไปที่ลัทธิธิดาเทพได้ ทั้งสองกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก จะอาลัยอาวรณ์ต่อกันก็เป็นเรื่องปกติ
ซูหลีพยักหน้า ไม่ถามอะไรมากความ เพียงกำชับนางว่า “เจ้าจัดการเอาเองก็แล้วกัน แต่จำต้องมั่นใจว่าทุกอย่างในสำนักจะดำเนินไปตามปกติ”
อวี๋เชียนจีกล่าวอย่างเบิกบาน “ขอบพระคุณท่านธิดาเทพ เชียนจีลาแล้วเจ้าค่ะ”
เงาร่างอรชรสีม่วงหายลับไปจากประตู เซี่ยงหลีจึงค่อยละสายตาที่คล้ายกำลังครุ่นคิดบางสิ่งกลับมา จู่ๆ เสียงหยอกล้อของฉินเหิงก็ดังมาจากข้างหลัง “ทำไมเล่า? เห็นบุปผางามมีเจ้าของ เจ้าจึงเสียดายหรืออย่างไร?”
“เหลวไหล!” เซี่ยงหลีหัวเราะอย่างดูแคลน แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยสนใจนางแม้แต่น้อย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าสตรีนางนี้กับหลินเทียนเจิ้งจะถูกชะตาซึ่งกันและกัน” กล่าวจบ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นของเขาก็ชำเลืองผ่านหวั่นซินคล้ายไม่ได้ตั้งใจ
“อ้อ” ฉินเหิงลากเสียงยาวๆ “ไม่เคยสนใจนาง เช่นนั้นเจ้าสนใจผู้ใดเล่า?” เขาถามพลางมองกลับไปกลับมาระหว่างเซี่ยงหลีกับหวั่นซิน รอยยิ้มแฝงความหมาย
เซี่ยงหลีทำเหมือนไม่เห็น โน้มกายเกาะไหล่ฉินเหิงที่อยู่ข้างหน้า แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าย่อมต้อง…สนใจเจ้าอยู่แล้ว เจ้ายังไม่รู้กระมัง คุณชายเช่นข้าได้ทั้งหญิงทั้งชาย ชายรูปงามเช่นเจ้า ต่อไปก็ระวังตัวหน่อยเล่า…” เซี่ยงหลีพูดพลางใช้พัดเชยคางฉินเหิงขึ้นด้วยท่าทางไม่จริงจัง ราวกับกำลังเกี้ยวพาราสีเขา!
รู้ทั้งรู้ว่าเขากำลังเล่นตลก ฉินเหิงก็ยังรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เขาถ่มน้ำลายดัง ‘ถุย’ แล้วปัดฝ่ามือที่ยื่นเข้ามาหา ก่อนจะยกเท้าถีบไปที่ข้อพับเข่าของเซี่ยงหลี
เซี่ยงหลีตาไวมือไว รีบเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว แล้วทั้งสองก็เริ่มปะทะกันในสวนด้วยเหตุฉะนี้ เจียงหยวนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย วันใดที่สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วไม่ปะทะฝีปากกัน วันนั้นดวงตะวันคงขึ้นจากฝั่งตะวันตกกระมัง
หวั่นซินกลอกตาใส่พวกเขาสองคน แสร้งทำเป็นฟังความหมายแฝงในวาจาฉินเหิงไม่ออก หันมาถามซูหลีเสียงเบาว่า “คุณหนู ยังเหลือเวลาอีกพักหนึ่งกว่าจะถึงพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ พวกเราจะรั้งอยู่ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน หรือกลับแท่นบูชาหลักเจ้าคะ?”
ซูหลีชะงักงัน คล้ายเจอปัญหาหนักใจเข้าแล้ว
กลับไป หรือรั้งอยู่ต่อ?
ช่วงนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเหลือเกิน นางเองก็ไม่เคยใคร่ครวญปัญหานี้อย่างถี่ถ้วนสักครั้ง เดิมทีลัทธิธิดาเทพก็มิใช่สถานที่ที่นางตั้งจะรั้งอยู่นานๆ แต่ยามนี้ นอกจากแท่นบูชาหลัก นางก็ยังไม่มีที่ไปที่อื่น อยู่ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนต่อหรือ? ถึงแม้ที่นี่จะเป็นบ้านเกิดของเสด็จแม่ แต่นางกลับไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัดกลุ้มเหมือนอยู่ต่างแดน ทว่าแคว้นเฉิง…กลับเป็นสถานที่ที่นางไม่อยากกลับไปในยามนี้
จู่ๆ ขอบตานางก็ร้อนผ่าว บ้านของนาง อยู่ที่ใดกันแน่?
ซูหลีไม่ตอบ นางเพียงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เหนื่อยมาหลายวันแล้ว พวกเจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
บนถนน ผู้คนสัญจรผ่านไปผ่านมา บรรยากาศในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนยังคงเต็มไปด้วยความยินดีและความสงบสุข คล้ายสงครามที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาแม้แต่น้อย การต่อสู้แย่งชิงอำนาจที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตาย เกี่ยวข้องกับพวกเขาเสียที่ไหนกันเล่า? ขอเพียงคนในครอบครัวแข็งแรงไร้โรคภัย ไม่ว่าจะลำบากอีกสักแค่ไหน สุดท้ายทุกอย่างก็จะผ่านไป
ซูหลีเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ในร้านขายผ้าร้านหนึ่งข้างทาง เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางคนหนึ่งกำลังกระตุกชายเสื้อบิดาตนเองเพื่อออดอ้อน นางอยากซื้อเสื้อผ้าสวยงามถูกใจชุดใหม่
บิดานางทำหน้าหน่ายใจ สายตาเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู เขาถอนหายใจแล้วควักกระเป๋าเงินออกมาจ่ายเงินอย่างไม่เกี่ยงงอน เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของบุตรสาว
เด็กสาวคนนั้นร้องด้วยความดีใจ แย้มยิ้มสดใสดั่งบุปผางดงาม
ภาพเหตุการณ์ธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไปนี้ กลับบาดตาซูหลียิ่งนัก นางรีบสาวเท้าเร็วขึ้น
………………………