กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 463 ต้องได้พบกันอีก (ตอนจบแคว้นเปี้ยน) (9)
อวี๋เชียนจีถอนหายใจ “ดูท่าธิดาเทพคงวางแผนจะจากไปแต่แรกแล้ว ถึงได้…”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาไปทางไหน?” หลินเทียนเจิ้งเห็นตงฟางเจ๋อหมดอาลัยตายอยาก ก็อดถามอย่างร้อนใจไม่ได้
อวี๋เชียนจีส่ายหน้า “ตำหนักเซิ่งซินตั้งอยู่ในหุบเขาท่ามกลางแปดยอดเขา จึงมีเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังหลายที่ ซ้ำยังมีเส้นทางลับใต้น้ำอีกด้วย แค่ทางออกอย่างเดียวก็มีไม่น้อยกว่าสิบทางแล้ว…”
หลินเทียนเจิ้งตะลึงงัน ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาใช้เส้นทางไหน แล้วจะไล่ตามไปได้อย่างไร?
ตงฟางเจ๋อยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยโบกมือ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พวกเจ้าถอยไปก่อน ข้าอยากอยู่คนเดียว”
ทุกคนตกตะลึง แต่เขากลับสาวเท้าเดินไปข้างหน้าช้าๆ เขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ทุกที่ล้วนมีกลิ่นอายของนางอยู่ ห้องที่นางเคยอยู่ ยังคงเหมือนเดิม หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีหวีไม้ลวดลายประณีตวางอยู่ ราวกับผู้เป็นเจ้าของไม่เคยจากไปไหน เขาจ้องมองมันอย่างเหม่อลอย แล้วหยิบมันขึ้นมา กระจกทองแดงสะท้อนดวงหน้าของนาง งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทว่าสายตาสุขุมเยือกเย็น
ในยามนั้น เขาคือเซี่ยฝูอัน ถึงแม้ฐานะธรรมดาสามัญ แต่กลับได้พบหน้านางทุกวัน
ยามนี้ เขาเป็นประมุขแห่งแคว้นเฉิง แต่กลับสูญเสียนางไปแล้ว ชาตินี้…ยากจะพานพบอีกครั้ง
“ซูซู…” หัวใจของเขาเจ็บปวดแสนสาหัส ไออุ่นร้อนเอ่อล้นในดวงตา หวีไม้ในมือ แทงนิ้วมือของเขาจนเป็นแผล เลือดสีแดงสดไหลออกจากนิ้วมือ ผสมกับน้ำตาที่ทะลักออกมาอย่างไม่รู้ตัว หยดลงบนก้อนอิฐสีเขียวที่แข็งแกร่งเหมือนน้ำแข็ง จนกลายเป็นรอยเหมือนกลีบดอกไม้สีโลหิต
ผ้าม่านโปร่งสีขาวตรงหน้าต่างปลิวไหวไปตามสายลม กลิ่นหอมเลือนรางยากจะสัมผัสลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศ
เงามืดโฉบไหว ราวกับภาพมายาที่ไม่สมจริง เสียงฝีเท้านุ่มนวลย่ำอยู่บนพื้น เบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง นางย่างกรายไปยืนด้านหลังเขา นิ้วมือนิ่มนวลดั่งหยกวางบนหัวไหล่เขา
หัวใจของตงฟางเจ๋อราวกับหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขารีบหันหลังกลับมา ดวงหน้าที่เขาเฝ้าฝันถึงทุกคืนวันกลับอยู่ตรงหน้า! ความดีใจเข้ามาแทนที่ความตกตะลึงอย่างรวดเร็ว วินาทีถัดมา เขาพุ่งตัวเข้าไปกอดนางเต็มแรง อ้อมแขนกระชับแน่นถึงเพียงนั้น ราวกับกลัวว่าหากคลายแรงแม้เพียงเล็กน้อย นางก็จะกลายเป็นเพียงภาพลวงตาเหมือนดวงจันทร์ที่สะท้อนในกระจกเงาเท่านั้น!
นางไม่ขยับ เพียงปล่อยให้เขากอดแน่นขึ้นเรื่อยๆ มือบอบบางยกขึ้นโอบเขาเบาๆ พยายามสงบอารมณ์อันพลุ่งพล่านในใจ
เขาพลันจ้องหน้านางนิ่งๆ ชื่อของนางดังก้องอยู่ในหัวใจเขานับพันครั้ง แต่เขากลับกลัวจนไม่กล้าขานเรียกออกไป นางมองหน้าเขาเงียบๆ ไม่พูดอะไร เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบงัน ราวกับปมความรักที่พัวพันกันมาพันปี ท่ามกลางการสบตากันอย่างเงียบงันของพวกเขา บุญคุณความแค้นล้วนจางหายไปสิ้น เหลือก็แต่ความรักที่กำลังก่อตัว…
“ข้ากำลังรอท่านอยู่…” จู่ๆ นางก็แย้มยิ้ม นัยน์ตาเปล่งประกาย เจิดจรัสยากจะปิดซ่อน จู่โจมหัวใจของเขาทันที
เขาคล้ายไม่อยากเชื่อ เอ่ยถามเสียงแหบพร่า “เหตุใดจึงยังไม่ไป?”
ซูหลีถอนหายใจเสียงเบา “ข้ารู้ว่าท่านต้องมาแน่ จึงรอท่านอยู่ที่นี่”
หัวใจของตงฟางเจ๋อเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ความยินดีพลุ่งพล่านในใจเขา “เจ้า…ในที่สุด…เจ้าก็ให้อภัยข้าแล้วหรือ?”
“จากห้องหนังสือมาถึงที่นี่ ข้าครุ่นคิดมาตลอดทาง ว่าควรยกโทษให้ท่านหรือไม่?” นางเงยหน้ามองแสงสว่างเหนือศีรษะ คล้ายจมดิ่งสู่ห้วงความคิด
ตงฟางเจ๋อรู้สึกตื่นเต้นด้วยความดีใจระคนกระสับกระส่าย เขากลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว
“ท่าน คือบุรุษที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ข้าเคยเจอ! ความฉลาดปราดเปรื่องของท่านทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง ความอบอุ่นและความใส่ใจของท่านก็ทำให้ข้าใจเต้นไม่เป็นตนเอง…ข้าเคยอยากลืมท่านนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับถูกท่านดึงดูดอย่างไม่อาจควบคุม…” กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็หัวเราะหยันตนเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อเขา หัวใจของตงฟางเจ๋อสั่นสะท้านเบาๆ สายตาที่มองนางลึกซึ้งขึ้นหลายส่วน
ซูหลีมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง “ตอนที่ท่านเอ่ยคำสัญญากับข้าที่สระน้ำพุร้อน ว่าจะไม่ทอดทิ้งตลอดไป ข้าก็รู้แล้วว่าข้าหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว…แม้ลึกๆ ในใจข้าจะพร่ำบอกตนเองว่าจะเชื่อคำท่านง่ายๆ ไม่ได้ แต่ข้ากลับถลำลึกไปกับมันอย่างกู่ไม่กลับ…”
“ซูซู!” สายตาซาบซึ้งของเขาสั่นระริก เขากุมมือนางแน่น “ข้ารู้ ข้ารู้ว่าหัวใจของเจ้ารักข้า”
นางก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ “หากจะไม่รู้สึกอะไรกับท่านเลย เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ความจริงในคดีของหลีซู กลับทำลายความรู้สึกและความเชื่อใจทั้งหมดที่ข้ามีต่อท่าน!”
ยิ่งรักมาก ก็ยิ่งแค้นมาก หัวใจที่แหลกสลายและความสิ้นหวังในวินาทีนั้น ราวกับหวนคืนมาอีกครั้ง น้ำเสียงของนางพลันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
หัวใจของตงฟางเจ๋อบีบรัด เขารีบโอบกอดนางทันที แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “ซูซู…” เสียงสะอื้นดังออกมาจากลำคอ แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ซูหลีหลุบตาต่ำ กล่าวว่า “ข้าไม่อาจเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตนเองที่มีต่อท่าน ฉะนั้น การจากลาที่แม่น้ำหลานชาง ข้าวางแผนปกปิดคนทั้งโลก ตัดใจไปจากท่านโดยยอมละทิ้งทุกอย่าง ไม่ขอพบหน้าท่านไปอีกตลอดชีวิต…”
“ไม่! ซูซู!” ตงฟางเจ๋อร้องด้วยความตระหนก น้ำเสียงสั่นเครือสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดผวาในใจเขา เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า “ยามนั้นข้าทำผิดพลาดไป กลับทำร้ายเจ้าถึงเพียงนั้น ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรข้า ข้าก็จะไม่โกรธ ขอเพียงอย่าจากข้าไปอีก!”
นี่เป็นครั้งที่สอง ที่เขาขอร้องนาง ตลอดชีวิตของเขา เขาเคยขอร้องแค่นางคนเดียวเท่านั้น!
หัวใจของซูหลีเจ็บปวด อดยกมือกอดเขาเบาๆ ไม่ได้ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านทันที อ้อมแขนแกร่งยิ่งกระชับแน่น ราวกับต้องการหลอมนางเป็นหนึ่งเดียวอย่างไรอย่างนั้น
นางถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “สตรีใต้ฟ้านี้มีมากมาย เหตุใดท่านจึงยึดมั่นต่อข้าถึงเพียงนี้?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเบา “ใต้ฟ้านี้สำหรับข้า สำคัญไม่เท่าแม้แต่ส่วนเดียวของเจ้า ไม่มีใครแทนที่เจ้าได้ เจ้าเป็นเพียงหนึ่งเดียวของข้า ใต้ฟ้านี้มีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสอง!”
ราวกับถูกจู่โจมเต็มๆ หัวใจของซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งดวง! ขอบตาร้อนผ่าว นางกล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “ข้าใช้ความตายสร้างสถานการณ์ตัดขาดกับท่าน เชื่อว่าท่านตัดขาดกับข้าไปนานแล้ว ไม่มีทางสานต่อโชคชะตาที่เคยมีร่วมกันอย่างแน่นอน ข้าไม่เคยเชื่อว่าท่านจริงใจต่อข้า หลายครั้งที่โทษท่าน ไม่สนใจท่าน ข้ามีอะไรดี ถึงทำให้ท่านทุ่มเทกำลังใต้ฟ้า และกองทัพทั้งแคว้นเช่นนี้ กระทั่งยอมเสี่ยงชีวิตดำลงไปในสระน้ำแข็ง เพื่อไปตามหาหญ้าหานซินพันปีที่ไม่มีอยู่จริงเพื่อข้ากัน!?”
ตงฟางเจ๋อตะลึงงัน มองหน้านางด้วยความประหลาดใจ
ซูหลีล้วงยาแก้พิษยาไร้รักออกมาจากอกเสื้อ ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย เอ่ยด้วยความปวดใจว่า “ข้านึกว่าสำหรับท่าน บ้านเมืองและอำนาจคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่หยางเซียวกลับบอกข้าว่า ที่ท่านยอมร่วมมือกับเขา เพียงเพราะยาแก้พิษเม็ดนี้เม็ดเดียว…ข้านึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะยอมทิ้งโอกาสในการยึดครองโลกใบนี้เพื่อข้าจริงๆ!” สายตาของนางที่วนเวียนอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา กลับดูลุ่มหลงมัวเมาเล็กน้อย ตลอดมานางนึกว่าเขากับนางผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย หากจะให้ปล่อยวางทุกอย่าง แล้วเริ่มต้นใหม่ คงไม่มีทางเป็นไปได้ แต่นึกไม่ถึง เพื่อความรักแล้ว เขากลับยอมทิ้งทุกอย่าง และยึดมั่นอย่างหนักแน่น
ตงฟางเจ๋อโอบกอดนาง ลูบเส้นผมยาวสลวยของนางเบาๆ จ้องมองนางไม่วางตา พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “หากเสียเจ้าไป แม้ได้โลกทั้งใบมา แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า?!”
สายตาของซูหลีสั่นไหวอย่างรุนแรง แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
“ซูซู…” นิ้วมือเรียวยาวและอบอุ่นลูบไล้เรือนผมนางอย่างอ่อนโยน การกระทำเต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง ทำให้นางจมดิ่งสู่ความหลงใหล
“ตงฟางเจ๋อ” สายตาของนางอ่อนโยนดั่งสายน้ำ ขานเรียกเขาเสียงแผ่วเบา “คำสัญญาที่ท่านให้ไว้กับข้าในพิธีขึ้นครองราชย์ของหยางเซียว ท่านทำได้จริงหรือไม่?”
สายตาของตงฟางเจ๋อเปล่งประกาย เขากล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ข้าทำได้ ข้าตงฟางเจ๋อจะไม่ทอดทิ้ง และจะไม่ทำผิดกับซูซูไปตลอดชีวิต”
…………………….