กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 471 ฮ่องเต้หญิง พวกเราแต่งงานกันเถิด (7)
ซูหลีเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยกล่าวอย่างทอดถอนใจเสียงเบา “เดิมทีที่เดินทางมาครั้งนี้ หม่อมฉันไม่ได้คิดจะกลับมาอยู่กับเสด็จพ่อ เพียงต้องการสืบเรื่องชาติกำเนิดให้ชัดเจน และพิสูจน์ว่าเสด็จแม่ไม่ได้รักผิดคน เพื่อทำให้ดวงวิญญาณของเสด็จแม่ที่อยู่บนสวรรค์ตายตาหลับ เท่านี้หม่อมฉันก็สมปรารถนาแล้ว นึกไม่ถึงเสด็จพ่อกลับรักหม่อมฉันถึงเพียงนี้ หม่อมฉันไม่รู้จะพูดกับพระองค์เช่นไรดี”
“เจ้าจะไปจากที่นี่หรือ?” หลางฉ่างถามด้วยความตกใจ
ถึงแม้ซูหลีจะอาลัยอาวรณ์ แต่กลับพยักหน้าอย่างหนักแน่น
หลางฉ่างถามอย่างประหลาดใจ “ในวังนี้มีอะไรที่ทำให้เจ้าไม่พอใจหรือ? เจ้าบอกข้า ข้าจะไปพูดกับเสด็จแม่…”
“ไม่เพคะ ที่นี่ดีมาก” ซูหลีรีบรั้งเขาแล้วกล่าวว่า “แต่ก่อนหม่อมฉันไม่เคยคิด ว่าจะมีพระราชวังที่สงบสุขถึงเพียงนี้อยู่ด้วย ไม่มีการแย่งชิงบัลลังก์ ไม่มีการแย่งชิงความโปรดปรานในวังหลัง ทุกคนที่นี่ดีกับหม่อมฉันมาก หม่อมฉันเองก็ทำใจไปจากที่นี่ไม่ได้ แต่หม่อมฉันจำต้องไปเพคะ”
หลางฉ่างถามอย่างสงสัย “เพราะเหตุใดเล่า?”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยตอบว่า “ก่อนจะจากแคว้นเปี้ยนมา หม่อมฉันสัญญากับตงฟางเจ๋อไว้ว่าจะกลับไปภายในสามเดือน ยามนี้ใกล้ถึงเวลาแล้ว หากยังไม่ไปตามสัญญา เกรงว่าเขาคงรอต่อไปไม่ไหวอีก”
หลางฉ่างเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “ที่แท้ก็เพื่อเขา! ดูเหมือนว่าเจ้าจะอภัยให้เขาแล้ว หากรอไม่ไหว แล้วเขาจะทำเช่นไร?”
“เขาก็คงจะมาที่นี่กระมัง” ซูหลีคาดเดา ด้วยนิสัยของเขา…
“เช่นนั้นก็ให้เขามา” หลางฉ่างยิ้มกว้าง กล่าวว่า “องค์หญิงผู้สูงส่งที่สุดของแคว้นเรา เขาย่อมต้องมารับด้วยตนเองอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วคมเล็กน้อย แววกลัดกลุ้มพาดผ่านนัยน์ตาอันอ่อนโยนและอบอุ่นของเขาอย่างหาดูได้ยาก เขากล่าวต่อว่า “ตอนนั้นเขาทำให้เจ้าเจ็บปวดแสนสาหัส ถึงแม้จะพยายามไถ่โทษอย่างถึงที่สุด และได้รับการอภัยจากเจ้า แต่ใครจะรับประกันได้ว่าภายหน้าเขาจะไม่ทำผิดซ้ำรอยเดิมอีก?”
“หม่อมฉันเชื่อเขาเพคะ” ซูหลีแย้มยิ้มและกล่าวอย่างหนักแน่น
นับตั้งแต่วินาทีที่นางตัดสินใจยกโทษให้เขา นางก็เชื่อแล้วว่าเขาจะทำได้
หลางฉ่างกลับกล่าวว่า “ข้ากลับไม่กล้าเชื่อเขาง่ายๆ เสด็จพ่อเองก็คงไม่เชื่อเช่นกัน พวกเราใช้เวลาสิบกว่าปีตามหาเจ้าอย่างยากลำบาก กว่าจะได้อยู่กับเจ้าอย่างพร้อมหน้า เสด็จพ่อตั้งชื่อให้เจ้าว่าฉางเล่อ เพราะหวังว่าต่อจากนี้เจ้าจะมีชีวิตที่มีความสุข เจ้าอยู่แคว้นติ้ง มีข้ากับเสด็จพ่ออยู่ จะไม่มีทางทำให้เจ้าเสียใจอีกแน่นอน แต่หากเจ้าแต่งงานกับตงฟางเจ๋อ…พระราชวังเฉิงอยู่ห่างไกลพันลี้ หากมีปัญหาใด ข้ากับเสด็จพ่อจะวางใจได้เช่นไรเล่า?”
อดีตในแคว้นเฉิงได้ทิ้งปมในใจไว้ให้หลางฉ่างอย่างไม่อาจลืมเลือน เขากลัวว่าซูหลีจะถูกทำร้ายเหมือนในอดีตอีกครั้ง ซูหลีอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อให้เขาวางใจ และไม่เป็นห่วงนางถึงเพียงนี้
นางเอ่ยพร้อมกับยิ้มด้วยความซาบซึ้ง “หม่อมฉันจะดูแลตนเองเพคะ ในเมืองหลวงแคว้นเฉิง หม่อมฉันก็ไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีเสด็จพ่อหลีเฟิ่งเซียน และอัครเสนาบดีซูเซียงหรูอยู่อีก ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพวกเขา แต่เสด็จพ่อเห็นหม่อมฉันเป็นเหมือนลูกแท้ๆ รักยิ่งกว่าหลีเหยา ส่วนซูเซียงหรู…ถึงแม้จะขุ่นข้องใจอยู่บ้าง แต่เพื่ออำนาจและตำแหน่ง เขาจะต้องปกป้องหม่อมฉันให้อยู่รอดปลอดภัยแน่นอนเพคะ”
หลางฉ่างกล่าวอีกว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่หลักประกันที่พึ่งพาได้ เจ้ารู้จักตงฟางเจ๋อดีกว่าข้า เขาเป็นฮ่องเต้ที่มีความทะเยอทะยาน ชำนาญการวางแผนเกินไป ยามนี้เขารักเจ้าหมดหัวใจ วางแผนทุกอย่างเพื่อเจ้า แต่หากภายหน้า หากใจเขาไม่ได้มีเพียงเจ้าอีก และหากเกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับบ้านเมืองของเขา กระทั่งแผนการใหญ่ของเขา…เจ้าจะทำเช่นไรเล่า?”
ซูหลีกล่าวว่า “เสด็จพี่เป็นห่วงว่าหากภายหน้าเขาหมายจะครองโลก หม่อมฉันจะตกที่นั่งลำบากหรือเพคะ? หม่อมฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!”
“เรื่องราวบนโลกนี้ยากจะคาดเดา และไม่ใช่สิ่งที่เจ้าและข้าจะสามารถควบคุมได้” หลางฉ่างมองนางด้วยความหวงแหน ก่อนจะถอนหายใจเสียงเบา แล้วกล่าวว่า “ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นมีแต่ผลดีไร้ผลเสีย แต่สถานการณ์ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนพลิกผันได้แม้เพียงชั่วพริบตาเดียว เจ้าไม่ใช่หมากในการเมืองของพวกเรา ข้าไม่อยากเสียใจภายหลัง”
ซูหลีนิ่งเงียบไป ที่หลางฉ่างเป็นห่วงก็ไม่ใช่ว่าไร้เหตุผล เพียงแต่ชีวิตมนุษย์เรามีเรื่องที่ยากจะคาดเดามากมาย หากแม้แต่เรื่องแต่งงานที่เป็นความสุขทั้งชีวิตยังไม่สามารถกระทำได้ตามใจ เช่นนั้นชีวิตจะมีความหมายอันใดอีก?
ซูหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความเป็นห่วงของเสด็จพี่หม่อมฉันเข้าใจดี แต่เสด็จพี่เองก็พูดแล้ว เรื่องราวในอนาคตยากจะคาดเดา หากไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้เช่นไรว่าเรื่องราวจะไม่จบอย่างมีความสุข? ตงฟางเจ๋อมีจิตใจทะเยอทะยานจริง แต่เขาไม่ใช่คนโหดเหี้ยมทารุณ หม่อมฉันเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนที่จะสร้างความขัดแย้ง และทำให้ชาวบ้านตกทุกข์ได้ยากเพื่อความทะเยอทะยานของตนเองอย่างแน่นอนเพคะ”
“เจ้ากลับเชื่อใจเขามาก” หลางฉ่างอดยิ้มไม่ได้ “ดูเหมือนว่าเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ชาตินี้จะแต่งกับเขาคนเดียวเท่านั้น หากข้ายังยืนหยัดต่อไปก็มีแต่จะขัดความตั้งใจเดิมของเจ้า”
ซูหลีกล่าว “ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ทรงเข้าใจเพคะ”
หลางฉ่างกลับกล่าวว่า “แต่ เกรงว่ากับเสด็จพ่อคงต้องใช้เวลาสักพัก…พวกเจ้าเพิ่งจะได้อยู่ด้วยกันไม่นาน เสด็จพ่ออยากเจอหน้าเจ้าทุกวัน จะทำใจให้เจ้าแต่งออกไปอยู่ไกลๆ ได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นยังแต่งให้เขาอีก”
ซูหลีแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอเพียงเสด็จพี่ยอมช่วย เรื่องเสด็จพ่อย่อมไม่เป็นปัญหา”
หลางฉ่างหลุดยิ้ม “ในเมื่อเจ้าเชื่อในตัวพี่ขนาดนี้ เช่นนั้นเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่ก็แล้วกัน หากตงฟางเจ๋ออยากสู่ขอเจ้ากลับแคว้น ก็ยังต้องดูว่าเขาจริงใจพอหรือไม่” เอ่ยจบก็แย้มยิ้มเบิกบาน ดั่งดวงจันทร์กระจ่างกลางสายลมเย็น ปัดเป่าเมฆหมอกให้จางหาย
เช้าตรู่ของวันงานชุมนุมไป่จี๋ เมืองหลวงแคว้นติ้งผู้คนสัญจรพลุกพล่าน คึกคักเป็นพิเศษ
เทียบกับบรรยากาศหรูหราตระการตาของเมืองหลวงแคว้นเฉิง และภูมิทัศน์ต่างชนเผ่าของเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน เมืองหลวงแคว้นติ้งเหมือนดั่งภาพวาดน้ำหมึก กำแพงสีขาวกระเบื้องสีเทา สะพานเล็กๆ พาดผ่านแม่น้ำ งดงามประณีตทุกกระเบียดนิ้ว ทิวทัศน์งดงามเหมือนอยู่ในภาพวาด เวลานี้อยู่ในฤดูใบไม้ผลิ บุปผาบานสะพรั่ง สายน้ำไหลริน ชวนให้ผู้พบเห็นอิ่มเอมใจ
ท่ามกลางกลุ่มคน คุณชายสวมอาภรณ์สีดำรัดเกล้าสีทองผู้หนึ่งกำลังเดินมา เส้นผมของเขาดำขลับเหมือนน้ำหมึก ใบหน้าล้ำค่าดุจหยก งดงามสะดุดตา เขาก็คือตงฟางเจ๋อที่มีสัญญาสามเดือนกับซูหลีนั่นเอง ด้านหลังมีองครักษ์ชุดดำคนหนึ่งเดินตามมาติดๆ คือเซิ่งฉินนั่นเอง นายบ่าวสองคนเดินไปทางพระราชวังอย่างแช่มช้า
ทิศใต้ของเมืองมีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าวัดหลิงอิน ผู้มีจิตศรัทราแวะเวียนมาจุดธูปกราบไหว้ไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นคู่ชายหญิงที่จูงมือกันมา ยิ้มแย้มเบิกบาน เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุขและความหอมหวาน ตงฟางเจ๋อสังเกตเห็นว่าบนข้อมือของสตรีที่เดินออกจากวัด คล้ายมีสร้อยข้อมือสีแดงผูกไว้ด้วย
เซิ่งฉินชะเง้อมองด้วยความสงสัย “ไม่ใช่งานชุมนุมไป่จี๋หรอกหรือ? เหตุใดดูเหมือนกำลังฉลองเทศกาลแห่งความรักเลยเล่า”
ชายหนุ่มที่วางแผงขายของหน้าประตูได้ยิน ก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทั้งสองท่านมาจากแคว้นเฉิงกระมัง?”
เซิ่งฉินมองพิจารณาเขาแวบหนึ่ง “ใช่แล้ว รบกวนถามท่านหน่อย วันนี้เป็นวันสำคัญอะไรของแคว้นติ้งงั้นหรือ?”
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มแล้วตอบว่า “ทั้งสองท่านมาถูกเวลาจริงๆ วันนี้เป็นเทศกาลถงซินของแคว้นติ้งเราพอดี ไม่ต่างจากเทศกาลแห่งความรักของแคว้นเฉิง ตามธรรมเนียมของเรา ทุกวันที่แปดเดือนสาม บุรุษที่ยังไม่แต่งงานจะทำสร้อยข้อมือแห่งความรักหนึ่งเส้น เพื่อมอบให้นางในดวงใจ เป็นของแทนใจที่ใช้ขอแต่งงานอย่างเป็นทางการ หากอีกฝ่ายรับไปสวม และมอบดอกซิ่วฉิวให้ เรื่องการแต่งงานก็ถือว่าสำเร็จไปกว่าแปดเก้าส่วนแล้ว”
เซิ่งฉินกล่าวด้วยความตกใจ “ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ?”
ชายคนนั้นเอ่ยตอบพลางแย้มยิ้ม “ประเพณีของแคว้นติ้งเราก็เป็นเช่นนี้ ยังมีคนอีกมากที่อาศัยอยู่นอกเมือง เดินทางมาไกลเพื่อแลกเปลี่ยนของแทนใจใต้ต้นพรหมลิขิต หวังว่าจะได้รับความคุ้มครองไปชั่วชีวิต”
เซิ่งฉินถามด้วยความฉงนฉงาย “ต้นพรหมลิขิตคืออะไรงั้นหรือ?”
ชายคนนั้นกล่าวว่า “ในวัดหลิงอินแห่งนี้มีต้นไม้แห่งความรักพันปีอยู่สองต้น ตำนานเล่าว่าเป็นคู่รักที่รักกันด้วยใจจริงกลับชาติมาเกิด ชายหญิงที่แลกของแทนใจใต้ต้นไม้สองต้นนี้ในเทศกาลถงซิน จะได้รับพรจากต้นพรหมลิขิต ไม่มีวันพลัดพรากจากกันตลอดไป ถึงแม้พ่อแม่ของสองฝ่ายจะไม่พอใจ ก็ไม่อาจยกเลิกคำมั่นสัญญาได้ง่ายๆ มิเช่นนั้นจะได้รับการลงโทษจากเทพเจ้า”
……………………