กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 481 ตอนพิเศษตงฟางเจ๋อ : สูญเสียคนรักตลอดกาล (3)
- Home
- กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
- บทที่ 481 ตอนพิเศษตงฟางเจ๋อ : สูญเสียคนรักตลอดกาล (3)
เขายืนขึ้น ความแค้นแผดเผาหัวใจ แสดงละครมานานขนาดนี้ ถึงเวลาจบเรื่องเสียที!
ณ ตำหนักเฟยเฟิ่ง ในวังบูรพา
หยางเสวียนนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ มองดูอาหารเลิศรสตรงหน้า แต่กลับไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย ยามนี้จิตใจของนางสับสนวุ่นวาย ย้ายเข้ามาอยู่ในตำหนักเฟยเฟิ่งเจ็ดวันเต็มแล้ว แต่กลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าสถานการณ์ข้างนอกไปถึงไหนแล้ว
ย้อนนึกถึงเหตุการณ์สองวันก่อน นางเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากตำหนักเฟยเฟิ่ง ก็ถูกองครักษ์หน้าประตูขวางทาง ‘ยามนี้สถานการณ์คับขัน หากไม่มีคำสั่งขององค์รัชทายาท ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามไปจากที่นี่โดยพลการพ่ะย่ะค่ะ’
‘บังอาจ! ข้าเป็นนายหญิงแห่งตำหนักบูรพา จะไปถวายพระพรฝ่าบาท ก็ยังต้องได้รับอนุญาตจากองค์รัชทายาทอีกหรือ?’
‘กระหม่อมเองก็ได้รับพระบัญชามาจากองค์รัชทายาทอีกที ว่าให้ดูแลความปลอดภัยขององค์หญิง องค์หญิงโปรดอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ’
‘ยามนี้องค์รัชทายาทอยู่ที่ใด? ข้าจะไปพบเขา!’
‘องค์รัชทายาทไม่ได้ประทับอยู่ในวัง เชิญองค์หญิงเสด็จกลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ’ องครักษ์กล่าวด้วยสีหน้าไม่วอกแวก ไม่แข็งกร้าวแต่ก็ไม่อ่อนน้อมจนเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้โต้เถียง
นางกัดฟันแน่น ทำได้เพียงกลับห้อง อยากรู้ข่าวคราวของเขาใจแทบขาด แต่เจ็ดวันผ่านไปแล้วตงฟางเจ๋อก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา ดูจากสีหน้าขององครักษ์ก็ไม่เหมือนโกหก เป็นไปได้มากว่าตงฟางเจ๋อยังไม่กลับวัง เช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ว่าเขายังมีชีวิตอยู่?
ถ้าหากว่าเขา…แล้วนางจะทำอย่างไร? ไม่ เขาจะต้องไม่เป็นไรแน่ นางปลอบใจตนเองไม่หยุด แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน หยางเสวียนวางตะเกียบลง โบกมือสั่งสาวรับใช้ประจำกายนามว่าชิงหลวน “เก็บสำรับอาหารเถิด”
ชิงหลวนรับคำ สาวเท้าเร็วๆ เข้ามาเก็บถ้วยชามอย่างระมัดระวัง เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตู บานประตู กลับเปิดออกดัง ‘แอ๊ด’
ครั้นประตูใหญ่เปิด รัศมีสีแดงส้มเจิดจ้าสะดุดตาสาดส่องเข้ามาทันที หยางเสวียนหรี่ตา มองไม่ออกว่าผู้มาเป็นใคร เงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่หน้าประตู มีไอเย็นแผ่กำจายอยู่รอบกาย
ชิงหลวนรีบค้อมกาย “ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
ตงฟางเจ๋อ!
เขาค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง ชำเลืองมองอาหารที่ยังไม่ถูกแตะต้องแม้แต่น้อยในมือชิงหลวน แล้วกล่าวถากถาง “มีเรื่องในใจจึงกินข้าวไม่ลง เพราะเขา? หรือกำลังเป็นห่วงตัวเจ้าเอง?”
หยางเสวียนสะท้านไปทั้งใจ เห็นใบหน้าตงฟางเจ๋อขึ้งเคียด แต่กลับซีดขาวกว่าปกติหลายส่วน จ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา นางรีบตั้งสติ ยิ้มแล้วกล่าวเหมือนไม่รู้เรื่อง “องค์รัชทายาททรงหมายความเช่นไร? เจาหวาไม่เข้าใจ”
“หยางเสวียน” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ ขานเรียกชื่อของนางตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “จั้นอู๋จี๋อยู่ที่ใด? เจ้าสารภาพมาดีกว่า บางทีข้าอาจปรานีให้เจ้าตายดีสักหน่อย!”
เขากำลังถามถึงเบาะแสของจั้นอู๋จี๋? วงล้อมทหารแน่นหนาขนาดนั้น คนผู้นั้นกลับหนีไปได้แล้ว?! หัวใจที่ตึงเขม็งมาหลายวันพลันผ่อนคลายลงในที่สุด ในใจกลับมีความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา บอกไม่ถูกว่ายินดีหรือเจ็บปวด ฝ่ามือที่กำแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่กลับแสร้งย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “องค์รัชทายาททรงถามแปลกเกินไปแล้ว พระองค์เป็นคนไล่จับเขา เจาหวาไม่ได้ก้าวเท้าออกจากตำหนักเฟยเฟิ่งเจ็ดวันแล้ว จะรู้ได้เช่นไรว่าเขาอยู่ที่ไหน?”
“กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ?” ตงฟางเจ๋อกล่าวเยาะเย้ย “ในพิธีแต่งงาน อุบาย ‘ไร้ร่องรอยเหมือนสายน้ำ’ นั่น มิใช่ฝีมือเจ้าหรอกหรือ!”
สีหน้าของหยางเสวียนเปลี่ยนไปทันที นางลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ตงฟางเจ๋อ! ท่านจะพิสูจน์ได้เช่นไรว่าพิษนั่นเป็นฝีมือข้า? ข้ารู้ ท่านเกลียดข้าที่เปิดโปงเรื่องที่ซูหลีแอบซ่อนแผนผังการสร้างพิรุณบุปผา[1]ต่อหน้าทุกคน จนถูกฝ่าบาทถอดยศท่านหญิง แต่ทั้งหมดนี้นางเป็นคนรนหาที่เอง! ท่านอย่าได้ลืม ถึงแม้พิธีแต่งงานยังไม่เสร็จสิ้น เจาหวาก็เป็นพระชายาเอกในองค์รัชทายาทที่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงทรงเป็นผู้ประกาศแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง!”
“เจ้าคิดว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้าจริงหรือ? พระชายาเอกของตงฟางเจ๋อมีเพียงคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นั่นก็คือซูหลี!” ใบหน้าของตงฟางเจ๋อมืดมนสุดขีด เขาสาวเท้ามาข้างหน้าช้าๆ เงาร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ทอดเงาปกคลุมตัวนางจนมิด “ส่วนเจ้า เป็นเพียงเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ในละครฉากนี้ก็เท่านั้นเอง”
นางมองเห็นไอสังหารอันรุนแรงในดวงตาเขาอย่างชัดเจน หยางเสวียนที่ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดอดสูดหายใจด้วยความตกใจไม่ได้ นางถอยกรูด ชี้หน้าเขาแล้วตะโกนเสียงดัง “ตงฟางเจ๋อ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่? ในท้องข้ายังมีเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอยู่นะ!”
“เหอะ เจ้าน่ะหรือจะคู่ควร?” เขาแค่นเสียงอย่างดูแคลน ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ “เลือดชั่วในท้องเจ้า เป็นของจั้นอู๋จี๋ต่างหาก!”
หยางเสวียนสั่นสะท้านไปทั้งใจ สีหน้าสงบเยือกเย็นที่นางพยายามรักษาไว้อย่างสุดชีวิต ปรากฏแววแตกตื่นในที่สุด เขารู้ได้อย่างไร? คืนนั้น…
เงาร่างสูงใหญ่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา กลิ่นอายโหดเหี้ยมเหมือนเทพแห่งความตายห่อหุ้มนางจนมิด ไอพิฆาตเหมือนดั่งอสรพิษที่เลื้อยรัดเกาะกุมหัวใจนาง และแผ่ลามไปทั่วร่างกาย หยางเสวียนตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
“ทำไมเล่า? พูดแทงใจดำเจ้าหรือ?” น้ำเสียงเย็นชายังคงกล่าวต่อไป “เจ้าต้องแปลกใจมากแน่ๆ ว่าเหตุใดข้าจึงรู้ว่าคืนนั้น ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นระหว่างข้ากับเจ้า”
หยางเสวียนหน้าถอดสี
“ไม่รู้ว่าเจ้าไร้เดียงสาหรือโง่เขลากันแน่ คิดว่าก้อนหินเพียงก้อนเดียว ยาเสน่ห์เพียงน้อยนิด จะสามารถทำให้จิตใจของข้าตงฟางเจ๋อสับสนและล้วงความลับในใจข้าได้? หยางเสวียน เจ้าประเมินแผนการของเจ้าสูงเกินไปแล้ว!”
นัยน์ตางามของหยางเสวียนเบิกกว้าง แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังได้ยิน!
นั่นใช่เพียงก้อนหินหนึ่งก้อน กับยาเสน่ห์เพียงน้อยนิดเสียที่ไหนกัน?! หินก้อนนั้นชื่อว่าศิลาลืมทุกข์ เขียวมรกตทั้งก้อน เป็นสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์เปี้ยน ใช้สำหรับทำให้จิตใจคนสับสนวุ่นวาย ยาฮั่วเซียงที่เขาเรียกว่ายาเสน่ห์ เป็นยาที่นางปรุงขึ้นด้วยตนเอง เป็นยาที่สามารถล่อลวงใจคนได้ ใช้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้อีกฝ่ายลดการระวังตัวได้อย่างง่ายดาย และฉวยโอกาสนี้ล้วงความลับที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดของใจคนได้ ก่อนมาแคว้นเฉิง นางทำการทดลองนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว และไม่เคยผิดพลาดสักครั้ง!
หากใช้อย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ก็จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้ แต่ในช่วงเวลาที่อยู่กับตงฟางเจ๋อ นางสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมาก เขามีจิตอันตั้งมั่นและสุขุมเยือกเย็น มิอาจประมาทได้เด็ดขาด ฉะนั้นนางจึงได้เลือกใช้อาวุธพิฆาตทั้งสองอย่างนี้กับเขา ในค่ำคืนนั้นที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
เพียงแต่ค่ำคืนนั้น ทั้งที่เขาถูกล่อลวงสำเร็จ อีกทั้งยังตอบคำถามด้วยสติอันเลือนราง กระทั่งถึงเช้าวันต่อมา ก็ไม่ได้แสดงอาการผิดปกติแต่อย่างใด เกิดปัญหาขึ้นตรงที่ใดกันแน่?
คล้ายอ่านใจนางออก เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “คืนนั้นเจ้าวางแผนแกล้งตกจากหน้าผา ซ้ำยังทำให้ข้อเท้าพลิก เพื่อฉวยโอกาสใกล้ชิดข้า”
ใบหน้าหยางเสวียนสะท้อนแววอึดอัดใจ นางเพียงจ้องหน้าเขาเงียบๆ ไม่พูดอะไร
“จำต้องยอมรับ ว่าเจ้าแสดงละครได้ดีมากจริงๆ หากเป็นคนอื่น คงถูกเจ้าหลอกสำเร็จแล้ว เพียงเสียดาย…การแสดงของเจ้า สมบูรณ์แบบเกินไป จนทำให้ข้าฉุกสงสัยขึ้นมา”
สายตานางไหวระริก
“เจ้าพยายามแสดงออกว่าชอบข้ามาก แต่สายตาที่เจ้ามองข้า กลับไร้ซึ่งความรู้สึก”
หยางเสวียนอดตะลึงงันไม่ได้ เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
ยามสตรีอยู่ต่อหน้าบุรุษที่ตนเองรัก สีหน้าและสายตาที่แสดงออกมาจากใจจริง เป็นสิ่งที่งดงามที่สุด ยามเขาสัมผัสได้ถึงสายตาหยาดเยิ้มของหยางเสวียนที่จับจ้องมาที่ตนเอง นัยน์ตากระจ่างชัดและจริงใจของซูหลีกลับผุดขึ้นมาในสมองเขาโดยสัญชาตญาณ เพราะความแตกต่างอันเล็กน้อยนี้เอง ที่ทำให้เขาหวาดระแวงนางขึ้นมาทันที
แม้ใช้ทักษะการแสดงขั้นสูงอีกเพียงใด ก็ไม่อาจปกปิดความปรารถนาแท้จริงในใจไว้ได้มิด
โลกใบนี้มีเรื่องหลอกลวงนับหมื่นนับพัน มีเพียงหัวใจที่แท้จริงเท่านั้น ที่ไม่อาจโกหกได้
………………………………