กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 484 ตอนพิเศษตงฟางเจ๋อ : สูญเสียคนรักตลอดกาล (6)
- Home
- กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
- บทที่ 484 ตอนพิเศษตงฟางเจ๋อ : สูญเสียคนรักตลอดกาล (6)
“เผิงอิง!” หยางเสวียนกรีดร้องเสียงแหลม ใบหน้าพลันซีดเผือด น้ำตาไหลรินอย่างไม่อาจควบคุม
เลือดสีแดงสดไหลไปกองรวมกัน ณ จุดหนึ่ง เลี้ยวลดไปตามซอกอิฐสีเทา เหมือนดั่งอสรพิษสีเลือดตัวหนึ่ง
กลิ่นคาวเลือดรุนแรงตลบอบอวลไปทั่วทุกอณูอากาศในลานประหาร เป็นภาพที่โหดร้ายเกินทน ฝูงชนที่เดิมทีแตกตื่นฮือฮาพลันเงียบกริบในพริบตา เสียงอาเจียนดังมาเป็นระยะ คนจำนวนมากเริ่มออกจากลานประหาร เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังคงรอดูการประหารอันโหดร้ายต่อ
ถ้าหากจะช่วยคน เมื่อครู่ตอนผู้คนเบียดเสียดคับคั่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุด แต่กลับไม่ความเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้น
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว สถานการณ์ต่างจากที่คาดไว้เล็กน้อย หรือว่า เขาประเมินความรักที่จั้นอู๋จี๋มีต่อหยางเสวียนสูงเกินไป? นัยน์ตาคมเย็นเยียบ ไม่ว่าวันนี้เขาจะมาหรือไม่ หยางเสวียนก็ต้องตายอยู่ดี
โลหะสีดำเข้ม ปลายกรวยแหลมคม สะท้อนประกายเย็นวาบ รอบวัตถุทรงกรวยเคลือบไว้ด้วยน้ำผึ้ง ส่งกลิ่นหอมหวาน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ามันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
ยามปลายแหลมๆ ของอาวุธทรงกรวยทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ ถึงแม้เตรียมใจไว้แล้ว แต่หยางเสวียนก็ยังคงเจ็บปวดจนร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัว นางกัดฟันแน่น ควบคุมตนเองไม่ให้หลุดร้องออกไป ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่เอาฝูงมดมาเทใส่รูแผล กลิ่นหอมหวานดึงดูดมดให้เริ่มกัดแทะ และพยายามมุดเข้าไปในเนื้อหนังอย่างบ้าคลั่ง การดำเนินโทษไม่ได้ถี่นัก เจ้าหน้าที่จะเว้นระยะช่วงหนึ่งก่อน แล้วค่อยทำต่อ ปล่อยให้นักโทษประหารรับรู้ถึงรสชาติที่ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
ภาพเหตุการณ์อันโหดร้าย พาให้ผู้คนไม่กล้ามองตรงๆ
กระทั่งอาทิตย์ตก จั้นอู๋จี๋ก็ยังคงไม่ปรากฏตัว หยางเสวียนคอตกหายใจรวยริน บนร่างกายเต็มไปด้วยมด มองจากที่ไกลๆ เหมือนสวมเสื้อสีดำ
เซิ่งฉินสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้ามาตรงหน้าลานประหาร กล่าวเสียงขรึมว่า “ทูลฝ่าบาท ไม่พบความเคลื่อนไหวใดในเมืองหลวงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดูเหมือนเขาคงตัดใจทิ้งหยางเสวียนไปแล้วจริงๆ จั้นอู๋จี๋ จิตใจอำมหิตดังคาด วันนี้เจ้าหนีไปได้ แต่กลับไม่อาจหนีไปได้ตลอดชีวิต! หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีสักวันที่ข้าจะจับเจ้าด้วยมือตนเอง หนี้ที่เจ้าติดค้างซูซู อย่างไรก็ต้องชดใช้ด้วยเลือดเท่านั้น!
เขารอไม่ไหวอีกต่อไป ป้ายประหารแผ่นสุดท้ายถูกเขาขว้างออกไปอย่างไร้ความปรานี “ประหาร!”
ครั้นกลับมาถึงพระราชวัง ตงฟางเจ๋อตรงไปที่ห้องบรรทมของฮ่องเต้ทันที
ตั้งแต่วันอภิเษกสมรสที่ฮ่องเต้ถูกจั้นอู๋จี๋จับเป็นตัวประกัน เขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนักจนร่างกายที่เดิมก็ป่วยหนักอยู่แล้วทรุดลงไปอีกครั้ง นอนพักฟื้นติดเตียงอยู่หลายวัน ต้องอาศัยสมุนไพรล้ำค่าจำนวนมากในวังเพื่อประคองลมหายใจอันน้อยนิดนั้นไว้
บนเตียงกว้างใหญ่ ฮ่องเต้ที่ใบหน้าหม่นหมองกำลังปล่อยให้สาวรับใช้ป้อนยา
ตงฟางเจ๋อสาวเท้าเดินไปตรงหน้าเตียงช้าๆ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้รับคำเบาๆ พร้อมกับพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ตงฟางเจ๋อรับถ้วยยาจากมือสาวรับใช้ แล้วป้อนยาให้ฮ่องเต้ต่อ
แววเคียดแค้นสะท้อนชัดในดวงตาฮ่องเต้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “จับตัวกบฏจั้นอู๋จี๋ได้หรือไม่?”
“จั้นอู๋จี๋เป็นตายยังไม่ทราบแน่ชัด ผู้สมคบคิดในวันนั้นคือองค์หญิงเจาหวา มีพร้อมทั้งพยานหลักฐาน วันนี้ได้ทำการบั่นคอไปพร้อมกับคณะทูตจากแคว้นเปี้ยน ณ ลานประหารแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เรื่องที่ได้ยินน่าตกตะลึงเกินไป ฮ่องเต้ตกใจจนลุกขึ้นนั่งตัวตรง “คนที่สมควรจับกลับจับไม่ได้ แล้วเหตุใดคนที่ไม่ควรแตะต้องเจ้ากลับฆ่านางไปเสียแล้ว?” จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ตวาดถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่มารายงานข้าก่อน?”
ตงฟางเจ๋อมองหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา “ทุกคนออกไปให้หมด” เหล่านางกำนัลและขันทีที่อยู่ในตำหนักเดินออกจากห้องไปจนหมด
“พระวรกายของเสด็จพ่อไม่สู้ดี อย่างไรก็พักฟื้นอาการประชวรก่อนจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเล็กแค่นี้ลูกดูแลแทนได้” วาจาง่ายๆ เพียงประโยคเดียว กลับทำให้ฮ่องเต้หน้าถอดสีครั้งใหญ่
เรื่องเล็ก? สังหารองค์หญิงแคว้นเปี้ยนยังเรียกว่าเป็นเรื่องเล็กอีกหรือ? อีกไม่นานข่าวต้องเดินทางไปถึงแคว้นเปี้ยน พอถึงยามนั้นแทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่า สองแคว้นต้องเปิดศึกกันในเร็ววันอย่างแน่นอน
“เจ้า เจ้า!” ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวสุดแสน แทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง “ยามนี้เจ้าเพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วหรือ? เจ้ายังเห็นข้าเป็นเสด็จพ่อของเจ้าอยู่หรือไม่?”
“แล้วท่านเห็นข้าเป็นลูกหรือไม่เล่า?” ตงฟางเจ๋อพลันเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบทีละคำๆ “มีเรื่องหนึ่งที่กู้หยวนถงพูดถูก แท้จริงแล้วท่านไม่เคยรักใครเลย นอกจากตนเอง”
ใบหน้าฮ่องเต้พลันแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึงสุดขีด
“หลายปีมานี้ ภายนอกท่านเหมือนจะปฏิบัติต่อข้ากับตงฟางจั๋วอย่างเสมอภาค ไม่แบ่งแยกสายเลือดหลักหรือรอง นั่นเป็นเพราะท่านอยากให้พวกข้าต่อสู้กันเอง และถ่วงดุลอำนาจกันเอง จะได้ทำให้ตำแหน่งของท่านมั่นคงยิ่งขึ้น แต่น่าเสียดาย ตงฟางจั๋วตายแล้ว ท่านไร้ตัวเลือกอื่น จึงทำได้เพียงแต่งตั้งข้าเป็นรัชทายาท จากนั้นอาการป่วยของท่านกำเริบ ข้าดูแลจัดการเรื่องในราชสำนักอย่างสุดความสามารถ แต่ท่านกลับหวาดระแวง กลัวว่าหากข้ามีอำนาจมากขึ้นก็จะบงการยาก ฉะนั้นตอนที่หยางเสวียนบอกว่าตนเองตั้งครรภ์ ท่านจึงพระราชทานงานอภิเษกสมรสให้ทันที” ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ แววโกรธแค้นและเย็นชาก็ปรากฏในดวงตา
สายตาของฮ่องเต้เปลี่ยนผันไปมา
ตงฟางเจ๋อกล่าวอีกว่า “ข้ากับหยางเสวียนเคยอยู่ด้วยกันหนึ่งคืนจริงๆ แต่คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าข้า! ท่านรู้นิสัยข้าดีว่าหากทำแล้วไม่มีทางที่จะไม่ยอมรับ แต่ตอนนั้นท่านรู้ทั้งรู้ว่าข้าไม่ยินยอม ก็ยังเลือกที่จะเชื่อคำพูดของคนนอกมากกว่า และพระราชทานงานอภิเษกสมรสให้อย่างไม่รีรอ เพราะอะไรเล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
นัยน์ตาของฮ่องเต้หดตัว ได้แต่เงียบงันไม่พูดอะไร
ตงฟางเจ๋อตอบแทนเขา “เพราะท่านต้องการจะใช้เด็กในท้องนางมาแทนที่ข้าอย่างไรเล่า! แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเด็กในท้องนางเป็นสายเลือดของใคร?” เขาเค้นถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน เขาจ้องหน้าฮ่องเต้ และกล่าวทีละคำๆ “เป็นของจั้นอู๋จี๋!”
ใบหน้าฮ่องเต้พลันซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษทันที
ตงฟางเจ๋อกล่าวต่อว่า “ตลอดชีวิตของท่าน สิ่งที่ท่านคิดและกระทำทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อให้บัลลังก์ของท่านมั่นคงเท่านั้น! นี่คือเรื่องที่ข้าเข้าใจตั้งแต่อยู่กับเสด็จแม่ในตำหนักเย็นเมื่อครั้งยังเด็ก…ข้าคิดมาโดยตลอด ถ้าหากมีวันหนึ่ง ท่านต้องสูญเสียอำนาจและบัลลังก์ไป แล้วหันกลับมามอง ตลอดชีวิตนี้ ท่านยังเหลืออะไรอีกบ้างหรือไม่?”
ใบหน้าของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนจากซีดขาวเป็นเขียวคล้ำ สายตามืดมนสุดขีด เห็นได้ชัดว่าถูกตงฟางเจ๋อพูดแทงใจดำ เขาหอบหายใจด้วยความตกใจ สายตาไร้พลังชีวิตพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ เขาตวาดเสียงเกรี้ยว “อำนาจและบัลลังก์ของข้าไม่ใช่ของเจ้าหรืออย่างไร! หยางเสวียนเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นเปี้ยน การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสองแคว้นส่งผลดีต่อการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ข้าไม่สนใจเรื่องนั้น!” ตงฟางเจ๋อใบหน้าเรียบเฉย กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
ฮ่องเต้ตกตะลึง
“ข้าต้องการอะไร ย่อมคว้ามันมาด้วยความสามารถของตนเองได้ แผ่นดินใต้ฟ้านี้อย่างไรข้าตงฟางเจ๋อก็ต้องรวมเป็นหนึ่งให้ได้ ไม่ใช่อาศัยการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หรืออาศัยสตรีเพื่อให้ได้มา! ยิ่งไม่ใช่เพราะดวงชะตาไร้สาระที่จับต้องไม่ได้!”
ฮ่องเต้ปากอ้าตาค้าง ข้อความทำนายดวงชะตาที่หลินเทียนเจิ้งเขียนขึ้นในพิธีคัดเลือกพระชายา ถูกเขาเผาทิ้งทันทีหลังจากอ่านเสร็จ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ารู้นานแล้ว
รอยยิ้มแฝงเลศนัยของเขาในพิธีคัดเลือกพระชายาพลันผุดขึ้นมาในสมอง หรือว่า…ฮ่องเต้ตะโกนอย่างไม่อยากเชื่อ “ดวงชะตา ‘มารดาแห่งแผ่นดิน’ ของซูหลีเป็นเรื่องโกหกงั้นหรือ? หลินเทียนเจิ้งเป็นคนของเจ้า?! หรือว่าเจ้าคอยบงการเขาอยู่เบื้องหลัง! เพราะเหตุใด?” ฮ่องเต้รัวคำถามติดกันหลายคำถาม ใบหน้าตื่นตะลึงอย่างไม่อาจควบคุม
เพราะเหตุใด? ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้ม มนุษย์โลกโง่เขลาและไร้เดียงสา ล้วนถูกข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงปิดหูปิดตา ผู้ใดเป็นคนบอกกันว่าบุตรีอนุภรรยาผู้เป็นตัวอัปมงคลในสายตาชาวบ้าน จะต้องถูกเหยียบย่ำจมดินโคลน? คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่มีทางถูกข่าวลือทางโลกกักขังหน่วงเหนี่ยว มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะทำเช่นไร แล้วเรื่องจริงก็ยืนยันแล้วว่า เขามองไม่ผิดแม้แต่น้อย
“เพื่อนาง เจ้ากลับกล้ากระทำความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง? เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร?” ฮ่องเต้ตื่นตะลึงสุดขีด เดิมทีนึกว่าซูหลีใจกล้าบ้าบิ่นแล้ว นึกไม่ถึงว่าโอรสของเขาจะบ้าบิ่นยิ่งกว่า!
อารมณ์ที่ยากจะคาดเดาพาดผ่านดวงตาลึกล้ำดำขลับ มิอาจมองเห็นด้านที่แท้จริงของเขาได้ ฮ่องเต้มองหน้าโอรสตนเองราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าตนเองไม่เคยเข้าใจตงฟางเจ๋ออย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ถึงแม้ในร่างกายของพวกเขา จะมีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ก็ตาม
ประตูตำหนักบรรทมปิดสนิท แสงสว่างมืดสลัว เขานั่งอยู่บนขอบเตียง มองหน้าฮ่องเต้ด้วยสายตาเย็นชา เหมือนดั่งเทพเซียนผู้สูงส่ง
ความรู้สึกล้มเหลวพรั่งพรูในใจ ฮ่องเต้จำต้องยอมรับว่า ลูกชายคนนี้ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป และได้กลายเป็นพญาอินทรีที่กางปีกบินสู่ขอบฟ้าไปแล้ว เขากระทั่งคิดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า ตงฟางเจ๋อทำอะไรลับหลังเขาอีกบ้าง?
ลมหายใจพลันติดขัด ทำอย่างไรก็หายใจไม่ออก เขาอ้าปากกว้าง ดิ้นทุรนทุรายตาเหลือกขาว และหมดสติไป
ตงฟางเจ๋อมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉยครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกจากตำหนักบรรทมไปช้าๆ แล้วหันไปกล่าวกับขันทีนามว่าโจวหลี่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ตามหมอหลวง” เอ่ยจบ ก็เดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก
สามวันต่อมา ในที่สุดก็ไม่มียาใดรักษาชีวิตฮ่องเต้ไว้ได้ ดวงวิญญาณของฮ่องเต้แคว้นเฉิงกลับสู่สรวงสวรรค์ ทั่วเมืองหลวงเต็มไปด้วยสีขาวแห่งการไว้ทุกข์ แว่นแคว้นไม่อาจขาดประมุขได้แม้เพียงวันเดียว องค์รัชทายาทตงฟางเจ๋อขึ้นครองราชย์ต่อทันที
วันนั้น ท้องฟ้าโปร่งใส มีเมฆน้อย สายลมอ่อนโชยพัด
ณ ตำหนักจินหลวน
ตงฟางเจ๋อสวมอาภรณ์มังกรทองห้ากรงเล็บสีดำ สวมมาลามงกุฎของจักพรรดิ เดินผ่านเหล่าขุนนางที่ยืนค้อมกายอย่างนอบน้อมไปยังที่นั่งของฮ่องเต้ ตำแหน่งที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์อำนาจสูงสุดของจักรพรรดิ
ขั้นบันไดเก้าขั้นที่ทอดสู่บัลลังก์ เขาก้าวเหยียบขึ้นไปด้วยฝีเท้าอันมั่นคง ไม่เร็วหรือช้าเกินไป คล้ายต้องการสัมผัสกับความพากเพียรตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาอีกครั้ง บอกไม่ถูกเช่นกันว่าลึกๆ ในใจรู้สึกอย่างไรกันแน่ พู่หยกสิบสองเส้นที่ห้อยอยู่หน้ามาลามงกุฎกระทบกันเสียงดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ เงามืดทาบทับ ไม่มีผู้ใดมองเห็นสีหน้าของเขาในยามนี้
กระทั่งเขานั่งลงอย่างมั่นคง เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าและร้องสรรเสริญอย่างพร้อมเพรียง “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!” เสียงโห่ร้องดังก้องอยู่ในแก้วหู สะท้อนไปในห้วงอากาศ สายตาของเขาไหวระริกเล็กน้อย จู่ๆ ก็ค้นพบว่าในระดับสายตามองไม่เห็นใครเลยสักคน เขาหลุบตามองลงไปเบื้องล่าง ทุกคนล้วนก้มศีรษะต่ำอยู่ในท่าเคารพนบนอบ
ความรู้สึกหนึ่งพลันบังเกิดในใจ
ข้างกายเขา ไม่มีผู้ใดร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาแล้วหรือ? เขาคิดมาโดยตลอดว่าจะมีคนสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาตลอดไป น่าเสียดายที่สวรรค์ไม่เป็นใจ หลังจากที่เขาเอาชนะอุปสรรคขวากหนามทั้งปวงและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด จึงได้รู้ตัวว่าคนสองคนที่เขาอยากปกป้องมากที่สุด ล้วนไม่อยู่แล้ว
ความอ้างว้างราวกับเถาวัลย์ที่พันรัดหัวใจเขาอย่างเงียบงัน
ที่แท้ นี่ก็คือสิ่งที่นางพูดกับเขา ทำทุกวิถีทางจนได้ครองแผ่นดิน แต่สุดท้ายกลับไม่เหลืออะไรเลย
ไม่เหลืออะไรเลย อย่างแท้จริง
รอยยิ้มเหยียดหยันผุดขึ้นที่มุมปาก ไม่นานก็ตั้งสติ แล้วขานเรียกเสียงขรึม “หยวนเซี่ยง”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” หยวนเซี่ยงแม่ทัพทหารม้าคนใหม่รีบก้าวเท้าออกจากแถวทันที
“ข้าขอสั่งเจ้า จงนำกองทัพทหารสามแสนนายมุ่งหน้าไปยังเทียนเหมิน บุกแคว้นเปี้ยน”
……………………………………….