กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 13 พบกันอีกครั้งในงานชุมนุมครั้งใหญ่ (4)
ซูหลีตวาดเสียงเกรี้ยว “ขวางพวกเขาไว้!”
หลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นพุ่งกายไปทางประตูด้วยความเร็วสูง แต่กลับเร็วไม่สู้ชายคนนั้น ชายคนนั้นซัดทหารรอบกายด้วยฝ่ามือเดียว ก็หมายจะวิ่งออกไป ซูหลีรีบผลักสตรีร่างสูงให้พ้นทาง แล้วเอื้อมมือคว้าไปที่ชายคนนั้น
ชายคนนั้นตกตะลึง รับมืออย่างรวดเร็ว ด้วยการพลิกฝ่ามือเกี่ยวเอวชายชรา ยกขึ้นด้วยแขนข้างเดียว พยายามจะหามเขาขึ้นบนไหล่ นึกไม่ถึงซูหลีเคลื่อนไหวรวดเร็ว แผ่นหลังของชายชราถูกนางคว้าไว้ได้แล้ว ขณะยื้อยุดฉุดแย่ง เสียง ‘แควก’ พลันดังขึ้น หลังเสื้อของชายชราพลันฉีกขาด เผยให้เห็นชุดผ้าต่วนสีขาวด้านใน!
ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี ลวดลายบนชุดผ้าต่วนตัวนี้เป็นลายเดียวกับตัวที่หลางฉ่างสวมทุกประการ!
ชายคนนั้นเมื่อเห็นว่าความจริงถูกเปิดเผย จึงจับเอาตัวหลางฉ่างมายืนบังหน้า สายตาฉายแววเหี้ยมเกรียม ตะโกนข่มขู่ว่า “อย่าเข้ามานะ!”
หลิงเฟิง หลิงอวิ๋น และเหล่าทหารรุ่มร้อนใจ ยืนอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับองค์รัชทายาท บรรยากาศในห้องโถงพลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด! แขกที่กำลังกินข้าวพากันกุมหัวตัวสั่นวิ่งหนีออกไป ด้วยกลัวว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย
สตรีร่างสูงชิงโจมตีก่อน นางพุ่งตัวไปทางซูหลี พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า ซูหลีคำนวณโอกาสอย่างแม่นยำก่อนจะซัดฝ่ามือออกไปที่กลางอก อีกฝ่ายกระเด็นออกไปด้านหลังอย่างแรงดุจว่าวที่เชือกขาด และฟุบล้มบนโต๊ะ ร่างกายถูกกระแทกอย่างแรงจนแทบสิ้นสติ
สตรีร่างสูงยังไม่ทันลุกขึ้น ก็ถูกหลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นจับกุม แล้วกระชากหน้ากากออก เป็นฟู่เจิ้นไห่ตามคาด! ทั้งสองรีบจับกุมตัวเขาแล้วลากไปยืนข้างกายซูหลี
ซูหลีกล่าวเสียงเข้ม “น้องชายเจ้าอยู่ในมือข้าแล้ว รีบปล่อยองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะพิจารณาไว้ชีวิตพวกเจ้า” นางกล่าว ขณะเดียวกันก็สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยหางตาอย่างรวดเร็ว ยามนี้ชายคนนั้นจับตัวหลางฉ่างอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเพียงไม่กี่ก้าว ถนนข้างนอกนั้นเชื่อมต่อถึงกันทั่วเมือง ทหารทุกคนล้วนอยู่ในห้องโถง หากบีบบังคับเขามากเกินไป แล้วเขาหนีออกไปกลางถนน ทำให้สถานการณ์โกลาหล เกรงว่าจะยิ่งจับตัวเขาได้ยากกว่าเดิม
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ สองคนนี้มีวิชามายากลที่ยอดเยี่ยม ชำนาญด้านการแปลงโฉมอยู่บ้าง ระดับวรยุทธ์อยู่ในระดับธรรมดามาก หากมีทูตทั้งสี่คอยติดตามอยู่ข้างกายเหมือนแต่ก่อน บางทีอาจฉวยโอกาสตอนเขาไม่ระวังตัวช่วยหลางฉ่างไว้ได้อย่างปลอดภัย และไม่ทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากนัก น่าเสียดายที่หลังจากนางเข้าวัง นางก็ให้ทั้งสี่คนไปพักผ่อน ยามนี้มีเรื่องด่วน แม้จะเรียกตัวมาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว!
ซูหลีลอบวิตก ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย จ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของฟู่เจิ้นเทียนอย่างไม่ละสายตา
ฟู่เจิ้นไห่ตะโกนสุดเสียง “พี่ใหญ่ อย่าเชื่อนางเด็ดขาด ท่านไม่ต้องสนใจข้า! รีบหนีไป! หากชักช้าจะไม่ทันกาล!” ฝ่ามือของซูหลีรุนแรงไม่น้อย ยามนี้รู้สึกจุกเสียดหน้าอก สายตาเริ่มพร่ามัว เลือดไหลออกจากมุมปาก
“เสียวไห่!” ครั้นเห็นน้องชายได้รับบาดเจ็บ ฟู่เจิ้นเทียนเดือดดาล มือที่ขยำเอวหลางฉ่างออกแรงบีบมากกว่าเดิม หลางฉ่างสะลึมสะลือ ครั้นรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ก็ขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ
ซูหลีเห็นเช่นนั้นหัวใจก็บีบรัด ก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วตะโกนเสียงดัง “หากเจ้ารับประกันว่าองค์รัชทายาทจะปลอดภัย ข้าก็จะปล่อยเขาไป หากทำอย่างนี้ต่อไปรังแต่จะส่งผลเสียต่อเราทั้งสองฝ่าย”
ฟู่เจิ้นเทียนถมึงตาจ้องนาง ต่อสู้กับความคิดตนเองอย่างหนัก จู่ๆ ก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง “ภารกิจล้มเหลว พวกเราสองพี่น้องมีหรือจะรอดไปได้!”
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “หากเจ้ายอมกลับตัวกลับใจตั้งแต่ตอนนี้ แล้วยอมจำนนแต่โดยดี ข้ารับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้าสองพี่น้อง!”
ฟู่เจิ้นเทียนฝืนหัวเราะอย่างเจ็บปวด “เจ้าก็พูดง่ายน่ะสิ น่าเสียดายที่อีกหนึ่งชั่วยามข้ากับเสียวไห่ก็จะต้องตายแล้ว!”
ซูหลีตื่นตะลึง ไม่นานก็กระจ่าง “คนที่ส่งพวกเจ้ามาวางยาพิษพวกเจ้างั้นหรือ? จบภารกิจจึงจะให้ยาแก้พิษ!”
ฟู่เจิ้นเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “เขาจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิต ทรมานข้ากับเสียวไห่ด้วยสารพัดวิธี แล้วสั่งให้พวกข้าทำงานสกปรกนี้แทนเขา”!
“เขาคือใคร?!” ซูหลีก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างแนบเนียน
ฟู่เจิ้นเทียนตะลึงงัน “เขา…ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ฟังออกเพียงสำเนียงแคว้นเฉิงของเขา” เขายังพูดไม่ทันจบ ฟู่เจิ้นไห่ก็เริ่มไออย่างหนัก เลือดจำนวนมากพุ่งออกจากปากเขา หกเลอะเต็มพื้น สีแดงฉานจนน่ากลัว! หลังจากดิ้นรนอยู่ไม่กี่ครั้ง ก็พลันสิ้นลมไปทันที!
ทุกคนตกตะลึง ซูหลีเดินเข้าไปตรวจชีพจรเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจ “เขาโดนพิษตายไปแล้ว”
ฟู่เจิ้นเทียนตะลึงงันไปทันที ดวงตาแดงก่ำ ราวกับสมองขาวโพลนไปหมด อึ้งงันไปครู่หนึ่ง สายตาเหี้ยมเกรียมดั่งลูกธนู ตวัดมองซูหลี กัดฟันกล่าวอย่างเคียดแค้น “เป็นเจ้า ต้องเป็นเพราะฝ่ามือของเจ้าที่เร่งให้พิษในตัวเขากำเริบเร็วขึ้น! ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเราก็ตายตกไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน!” เอ่ยจบ เขาก็เงื้อฝ่ามือขึ้นสูง สับลงไปที่ศีรษะหลางฉ่างทันที!
ซูหลีตกตะลึง รีบพุ่งตัวเข้าไปแต่ห้ามปรามไม่ทัน ครั้นเห็นหลางฉ่างใกล้ตาย นางก็ร้อนรุ่มไปทั้งใจ ตะโกนเสียงดัง “เสด็จพี่!”
อันตรายถึงชีวิตทำให้หลางฉ่างลืมตา นัยน์ตาที่มักจะเต็มไปด้วยความอ่อนโยนหรี่เล็กลงด้วยฤทธิ์ยา แต่กลับปรากฏแววเด็ดเดี่ยวขึ้นมาในชั่วพริบตา
ครั้นเห็นฝ่ามือของฟู่เจิ้นเทียนใกล้สับลงมาถึงศีรษะ เขาพลันพลิกข้อมือ พยายามดึงกริชออกจากเอวด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด แล้วแทงไปยังฟู่เจิ้นเทียนตรงๆ ฟู่เจิ้นเทียนตื่นตกใจ ฝ่ามือพลาดเป้า ซัดโดนหัวไหล่หลางฉ่างอย่างแรง
หลังจากโดนวางยาสลบ หลางฉ่างอาศัยจิตตานุภาพอันแข็งแกร่งของตนเองยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ ถือว่าถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว ยามนี้ไม่เหลือเรี่ยวแรงสู้กลับ ทำได้เพียงล้มตัวไปทางซูหลี ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี รีบเข้าไปรับตัวหลางฉ่าง ขณะที่คิดจะปัดป้องการโจมตีของฟู่เจิ้นเทียนที่ตามมาติดๆ เสียง ‘ฟิ้ว’ ดังขึ้น ประกายคมกริบสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วปานสายฟ้า พุ่งทะลุขมับของฟู่เจิ้นเทียนอย่างแม่นยำ เหลือให้เห็นเพียงส่วนหางที่เป็นขนนกสีขาว ยังคงสั่นไหวเล็กน้อย
เลือดสาดกระเซ็นทั่วทิศ ฟู่เจิ้นเทียนตัวแข็งทื่อ จากนั้นร่างกายสูงใหญ่ก็ล้มหงายหลังไปทันที
สถานการณ์พลิกผัน ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน
ซูหลีอุ้มร่างที่ล้มลงไปอย่างอ่อนแรงของหลางฉ่าง ขานเรียกด้วยน้ำเสียงรุ่มร้อนใจ “เสด็จพี่?”
หลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นเข้ามาประคองหลางฉ่างซ้ายขวา ตรวจสอบบาดแผลที่ไหล่เขา เห็นเพียงเขาหลับตาสนิท ใบหน้าซีดขาว ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ซูหลีตรวจชีพจรเขา แล้วถอนหายใจเบาๆ “โชคดี แค่อ่อนเพลียเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงชีพจร รีบพาเสด็จพี่กลับไปพักที่วังเถิด”
หลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นรับคำแล้วจากไป
ทหารดึงอาวุธที่ยิงทะลุขมับฟู่เจิ้นเทียนออกมา ก็อดตกตะลึงไม่ได้ เป็นเพียงธนูไม้เล็กๆ เพียงดอกเดียวเท่านั้น! เขายื่นให้ซูหลีดู นางสะท้านไปทั้งใจ นี่มันของที่ชายหนุ่มคนนั้นวางขายบนแผงสินค้าของเขามิใช่หรือ? หรือเป็นฝีมือเขา?
นางมองเข้าไปในกลุ่มคน สายตาจดจ้องไปที่คนผู้หนึ่ง
ท่ามกลางฝูงชน คุณชายสวมชุดดำรัดเกล้าสีทองคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมา เขาเดินตรงมาหาซูหลี แสงตะวันด้านนอกโรงเตี๊ยมเจิดจรัส แต่กลับถูกดวงตาเปล่งประกายของเขาทำให้หมองลงในชั่วพริบตา
“ท่านมาถึงเมื่อใด?” กลีบปากของซูหลีหยักยิ้มอย่างไม่อาจควบคุม ความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งปรากฏชัดเจนบนใบหน้างาม
ตงฟางเจ๋อมองหน้านางตาไม่กะพริบ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เพิ่งมาถึง สัญญาสามเดือน ข้าไม่ลืมแม้แต่วันเดียว นึกไม่ถึงว่าเข้าเมืองมาก็บังเอิญเห็นองค์รัชทายาทถูกจับเป็นตัวประกัน” เอ่ยจบ ใบหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาหมุนกายหันไปมองศพของฟู่เจิ้นเทียนที่นอนอยู่บนพื้น กล่าวเสียงขรึมว่า “เดิมทีหมายจะหาโอกาสจับตัวเขา เพื่อสอบปากคำเขาต่อไป นึกไม่ถึงว่าเขาจะรนหาที่ตายเสียเอง!”
ซูหลีถอนหายใจ การจู่โจมเมื่อครู่ของเขา ธนูไม้ลูกเล็กจมเข้าไปในขมับจนมิดด้าม ทั้งมั่นคง แม่นยำ รุนแรง กอปรกับกำลังภายในอันแข็งแกร่ง จึงทรงพลังได้ถึงเพียงนี้ เกรงว่านอกจากเขา ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าทำเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว
เพียงแต่สองพี่น้องคู่นี้ตายคาที่ เบาะแสขาดหาย หากจะสืบหาจุดประสงค์ของผู้บงการเบื้องหลัง เกรงว่าจะยิ่งยาก ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางก็อดถอนหายใจไม่ได้ รู้สึกได้ว่าเรื่องราวยากจะรับมือ
ตงฟางเจ๋อมีหรือจะไม่เข้าใจความคิดนาง เขากล่าวปลอบใจนาง “อยู่ในเมืองหลวงแคว้นติ้ง ยังกล้ากระทำการกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ อีกฝ่ายจะต้องมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านี้แน่ พักนี้ส่งคนจับตาดูความเคลื่อนไหวในเมือง อย่างไรก็ต้องเจอเบาะแสบ้าง”
“อืม ยามนี้ก็คงทำได้เพียงเท่านี้” สายตาของซูหลีตึงเครียด
เกี้ยวคันหนึ่งจอดหน้าประตูโรงเตี๊ยม หลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นประคองหลางฉ่างขึ้นเกี้ยวอย่างระมัดระวัง ซูหลียืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ นางลังเลเล็กน้อย เสด็จพ่อไม่รู้เรื่องสัญญาระหว่างนางกับตงฟางเจ๋อ กอปรกับความทรงจำที่หลางฉ่างมีต่อเขาก็ไม่ดีนัก หากยามนี้ตงฟางเจ๋อบุ่มบ่ามเข้าวังไป เกรงว่าจะทำให้เข้าใจผิดกันอย่างไม่จำเป็น หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่ารอให้นางหาโอกาสอธิบายกับเสด็จพ่อให้กระจ่างก่อน แล้วค่อยพาเขาไปพบจะดีกว่า
ครั้นตัดสินใจได้ ซูหลีก็เอ่ยปากอย่างลำบากใจ “ข้าส่งเสด็จพี่กลับวังก่อน ตอนนี้เกรงว่าจะไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนท่านได้ ท่าน…”
ตงฟางเจ๋อมีสีหน้าท่าทางปกติ เรื่องบางเรื่องไม่ต้องพูดพวกเขาก็รู้ใจกัน เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย “ข้ามาที่นี่ครั้งแรก ยังอยากเที่ยวชมอีกสักหน่อย วันหลังค่อยเข้าไปถวายพระพรฮ่องเต้แคว้นติ้งในวัง”
ซูหลีรู้สึกอบอุ่นหัวใจ กล่าวตอบเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นก็ดี ข้า…ขอตัวก่อนแล้ว ไว้ค่ำหน่อยแล้วข้าจะไปหาท่าน”
รอยยิ้มพาดผ่านดวงตาตงฟางเจ๋อ เขากล่าวเสียงเบา “คืนนี้ที่ทะเลสาบจิ้งพัวห่างจากตัวเมืองห้าลี้ ข้าจะรอเจ้า”
………………………………………