กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 17 พบกันที่ทะเลสาบกระจก (4)
ซูหลีกระแอมเบาๆ ผลักเขาออกแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อกระบี่เล่มนี้เป็นของสำนักกระบี่เหล็ก แล้วเหตุใดเซี่ยอวิ๋นเซวียนจึงได้มอบให้ท่านง่ายๆ เล่า?”
ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้ว “ซูซูไม่เชื่อใจข้าหรือ?”
ซูหลีถอนหายใจ ลึกๆ ข้างในรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ “ท่านมอบของขวัญล้ำค่าให้ข้า ข้าจะไม่เชื่อใจท่านได้อย่างไร เพียงแต่ข้ากับเซี่ยอวิ๋นเซวียนมีวาสนาเคยพบหน้ากัน จึงรู้ว่าเขาหวงแหนกระบี่เล่มนี้มาก เขามีนิสัยเถรตรง ไม่ชอบเสแสร้ง ใช่คู่ต่อสู้ของท่านเสียที่ไหน? เพียงน่าเสียดาย…”
แววไม่พอใจพาดผ่านดวงตาตงฟางเจ๋อ “เซี่ยอวิ๋นเซวียนทิ้งกระบี่ไว้แล้วหนีไป ไม่ใช่ข้าบังคับเขาเสียหน่อย”
นิ้วมือซูหลีขยับเล็กน้อย ประกายกระบี่พาดผ่าน กระบี่สั้นก็ถูกเก็บในฝัก นางแย้มยิ้มแล้วมองเขา “ถึงแม้ข้าจะชอบกระบี่เล่มนี้มาก แต่หากจะเป็นเจ้าของมัน ก็ยังต้องใช้เวลาอีกหน่อย แต่ว่า ของขวัญชิ้นนี้ของท่าน ข้าชอบมากจริงๆ”
ครั้นเห็นนางเป็นฝ่ายแสดงไมตรีก่อน ในที่สุดตงฟางเจ๋อก็หายหน้าบึ้ง เขากุมมือนาง “ซูซูไม่ต้องคิดมาก ยามนี้ เจ้าก็คือเจ้าของกระบี่เล่มนี้แล้ว ประกายแสงดุจสายน้ำ สองดาบสอดประสาน หัวใจเชื่อมโยง เป็นคู่สวรรค์สร้าง นอกจากเจ้า ยังมีใครที่คู่ควรกับมันอีกเล่า!”
ซูหลีหลุดหัวเราะ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ว่าพูดอะไรท่านล้วนมีเหตุผล ทว่าเริ่มแรกตอนเริ่มเพลงกระบี่ยังไม่มีเสียงขับขาน เหตุใดจึงเพิ่งมีตอนหลังเล่า?”
ตงฟางเจ๋อครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้แปลกอยู่จริงๆ ข้าเองก็ไม่เข้าใจ ตอนแรกข้าเห็นเจ้าตวัดเพลงกระบี่ ข้าก็นึกถึงนกเพลิงสบายปีกขึ้นมา…”
ซูหลีตะลึงงัน นางพึมพำเสียงเบา “ข้าเองก็สับสนเช่นกัน คิดอยู่นาน แต่ต่อมาก็ค่อยๆ ลืมทุกสิ่งไป สายตาจับจ้องเพียงท่าน ในใจ…คิดถึงท่าน เหมือนมีเพียงท่าน…” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ พวงแก้มทั้งสองข้างของนางแดงเรื่อ เสียงพูดเบาลงอย่างไม่รู้ตัว
หัวใจของตงฟางเจ๋อเต้นรัว อดไม่ได้ที่จะรั้งนางเข้ามากอด แล้วก้มลงจูบนาง
แสงจันทร์สงบสุข ประกายน้ำระยิบระยับ ความรักลึกซึ้งตรึงใจ พาให้หัวใจเต้นรัว รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน ตราตรึงในสายตาของกันและกัน อย่างไม่อาจลบเลือนอีกต่อไป
ตงฟางเจ๋อพลันบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา จู่ๆ ก็ร้องขึ้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว หากต้องการให้เกิดเสียงกระบี่ขับขานไม่เพียงตวัดเพลงกระบี่คู่กัน แต่ผู้ถือครองกระบี่จะต้องไม่วอกแวก หัวใจเชื่อมโยงถึงกัน จึงจะสามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพอันน่าทึ่งเช่นนี้ได้”
ซูหลีมองดูกระบี่ในมือ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “คำอธิบายเช่นนี้กลับฟังดูสมเหตุสมผล ไม่รู้ว่าเสียงขับขานของกระบี่นอกจากผู้ถือครองแล้ว คนอื่นจะได้ยินด้วยหรือไม่?”
“เซิ่งฉิน เมื่อครู่เจ้าได้ยินเสียงกระบี่ขับขานหรือไม่?”
เสียงของเซิ่งฉินที่เฝ้ายามอยู่ที่ชั้นหนึ่งดังก้องมาจากที่ไกลๆ “เรียนนายท่าน ข้าน้อยไม่ได้ยินเสียงใดเลยขอรับ”
“ดูแล้ว ความลับของเสียงขับขานของกระบี่สองเล่มนี้ มีเพียงสวรรค์รู้ แผ่นดินรู้ เจ้ารู้ ข้ารู้” หญิงงามอยู่ในอ้อมแขน ตงฟางเจ๋อยกมือชี้ไปที่สวนดอกหลีที่งดงามดั่งแดนสวรรค์เบื้องหน้า แล้วกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ซูซู ที่นี่ เป็นของเจ้าและของข้าเท่านั้น ตั้งชื่อให้มันหน่อยดีหรือไม่”
“เช่นนั้น…ก็ประกายแสงดุจสายน้ำเลยเป็นอย่างไร?” ซูหลีตอบกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ
ตงฟางเจ๋อจูบขมับนางเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ประกายแสงหาดุจสายน้ำซึ่งเป็นดั่งคู่แท้ของมันจนเจอ แต่เจ้าของของมันยังคงตั้งตารอ ซูซู ยามนี้เจ้า…”
ซูหลีแหงนหน้าขึ้นสบตาเขาตรงๆ ความรู้สึกผิดพรั่งพรูในใจ ผ่านไปครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ตงฟางเจ๋อ ทุกอย่างในคืนนี้ ข้าล้วนชอบมาก…”
ตงฟางเจ๋อเพียงมองหน้านางตาไม่กะพริบ สายตาเต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้งและความคาดหวัง
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวอย่างซื่อสัตย์ “ข้าขอโทษ ตอนนี้ข้ายังไม่อาจกลับไปกับท่านได้”
แววผิดหวังพาดผ่านใบหน้าตงฟางเจ๋ออย่างเห็นได้ชัด เขายังคงไม่พูดอะไร เอาแต่กอดนางอยู่อย่างนั้น
แววกังวลปรากฏบนคิ้วงาม นางกล่าวเสียงเบา “เดิมทีหลังจากตามหาเสด็จพ่อจนเจอ ข้าก็หมายจะไปจากที่นี่เลย แต่เสด็จพ่อ…รักข้ามาก ในอดีตเขาและเสด็จแม่ของข้ารักกันมาก ต่อมาต้องแยกจากกันด้วยความเข้าใจผิด นับจากนั้นพวกเขาก็อยู่กันคนละฟากฟ้า หลายปีผ่านมา เสด็จพ่อไม่เคยล้มเลิกที่จะตามหาข้าเลย เจียงหยวนบอกว่า เสด็จพ่อกลัดกลุ้มเกินไป จนเกิดเป็นโรครุมเร้ายากจะรักษา เกรงว่าจะ…เหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้า…ไม่อาจจากเขาไปในเวลาอย่างนี้จริงๆ ฉะนั้น…”
สายตาของตงฟางเจ๋อหม่นหมองลง การตายของหรงซีจินแม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง แต่เรื่องราวที่โยงใยกัน สุดท้ายเขาก็ไม่อาจปัดความผิดให้พ้นตัวได้
ซูหลีเห็นใบหน้าเขาหม่นหมอง หัวใจพลันเจ็บแปลบ นางอ้าปาก แต่กลับทำได้เพียงถอนหายใจ
“ซูซู” ตงฟางเจ๋อขานเรียกเสียงอ่อนโยน นิ้วมือไล้ผ่านคิ้วงาม แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “หากว่าโลกนี้มีเรื่องใดที่ข้าไม่อยากเผชิญหน้าด้วยมากที่สุด ก็คือการต้องแยกจากกับเจ้า แต่ว่า เจ้าเพิ่งพบคนในครอบครัว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เจ้าก็สมควรอยู่ต่อ ถ้าหากว่าเจ้าอยากรั้งอยู่ต่อไปจริงๆ ข้าก็จะเคารพการตัดสินใจของเจ้า ข้า รอได้”
ซูหลีอึ้งงัน นางไม่คาดคิดเลยว่าเขาที่มีนิสัยแข็งกร้าว จะยอมอ่อนข้อให้นางถึงขนาดนี้ นางมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่าน…”
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ทำไมเล่า เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ? ความจริง…ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน” มีวาจานับพันนับหมื่นอยู่ในใจ สุดท้ายกลับหล่อหลอมจนเหลือเพียงประโยคเดียว “ซูซู เจ้าเพียงจำไว้ ความสุขของเจ้า ก็คือความสุขของข้า ข้า…จะรอเจ้า”
สำหรับซูหลีแล้ว เมื่อเทียบกับคำสาบานเหล่านั้นที่เขาเคยกล่าว ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้นางประทับใจยิ่งกว่าเป็นไหนๆ
ตงฟางเจ๋อลูบหน้านาง คิ้วกระบี่กระดกขึ้นเล็กน้อย เขากล่าวด้วยสายตาร้อนแรง “แต่ข้าไม่อาจรออย่างไม่มีเป้าหมาย ข้าจะเข้าวังโดยเร็ว แล้วเสนอเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น พร้อมกับกำหนดวันอภิเษกสมรสให้เรียบร้อย พอถึงยามนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เจ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้อีกแล้ว”
ซูหลีมองหน้าเขานิ่งๆ นัยน์ตากระจ่างชัด คล้ายต้องการมองตรงเข้าไปถึงหัวใจเขา นางพลันแย้มยิ้มงดงาม โอบกอดเขา แล้วจูบกลีบปากเขาเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณท่านมาก เจ๋อ”
หัวใจของตงฟางเจ๋อหยุดเต้นไปชั่วขณะ รอยยิ้มของซูหลีในวินาทีนี้ กลับไร้เดียงสาเหมือนเด็ก ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเพื่อรอยยิ้มนี้ ต่อให้เขาต้องบุกน้ำลุยไฟก็ยอมทั้งนั้น
ตงฟางเจ๋อก้มจูบนางอย่างอดใจไม่ไหว
เสียงตีกลองดังมาจากป้อมปราการเมืองหลวงแคว้นติ้งที่อยู่ไกลๆ
ซูหลีดันเขาออกเบาๆ แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “ใกล้ถึงเวลาห้ามออกนอกบ้านแล้ว…”
ตงฟางเจ๋อหน้างอ แต่กลับจนใจ ทำได้เพียงหยุดการกระทำ ยามนี้นางเป็นถึงองค์หญิง ยังไม่แต่งงานออกเรือนดึกดื่นแล้วยังไม่กลับ หากแพร่ออกไปในวังหลวงจะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างแน่นอน และหากฮ่องเต้แคว้นติ้งรู้ ก็จะยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการแต่งงาน
ซูหลีเห็นเขาทำหน้าหงิกหน้างอ ก็ทั้งเห็นใจและรู้สึกขบขัน ในที่สุดก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาถมึงตาจ้องหน้านาง ก่อนจะก้มลงจูบนางให้สาสม คล้ายเป็นการลงโทษ
บนถนนที่มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว ต้องการจะไปให้ถึงประตูเมืองก่อนเวลาต้องห้าม ซูหลีเอนกายอยู่บนเบาะนั่งอย่างเกียจคร้าน นิ้วมือเขี่ยดอกไม้ในมือเล่น บุปผาสีขาวงดงามส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจ สายตาของนางอ่อนโยน กลีบปากประดับไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับยังคงจมอยู่ท่ามกลางความหอมหวานของสวนดอกหลีในค่ำคืนนี้
ทันใดนั้น รถม้าพลันหยุดวิ่ง ม้ายกเท้าหน้าเปล่งเสียงกรีดร้อง องครักษ์ติดตามบนรถม้าตวาดถามเสียงเกรี้ยว “ใครน่ะ?!”
รอยยิ้มพลันค้างเติ่ง ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย เก็บดอกหลีเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วเปิดม่านมองออกไปข้างนอก
ใจกลางถนนที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งจั้ง เงาร่างสูงหนึ่งต่ำหนึ่งยืนขวางทางเดิน ปิดคลุมใบหน้าด้วยผ้าสีดำ ดวงตาที่ปรากฏให้เห็น เต็มไปด้วยประกายคมปลาบเย็นชา ได้ยินเพียงคนตัวสูงตวาดเสียงเข้ม “ผู้ที่อยู่ในรถม้าใช่องค์หญิงฉางเล่อหรือไม่?”
วันนี้ซูหลีออกจากวังเป็นการส่วนตัว พามาแค่องครักษ์ติดตามธรรมดาสองคน องครักษ์สองคนนั้นได้ยินก็สะท้านไปทั้งใจ รู้ดีว่าสถานการณ์ผิดปกติ รีบเอื้อมมือจับดาบที่เอวทันที หนึ่งในสององครักษ์ตวาดถามเสียงเย็น “พวกเจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก รู้ทั้งรู้ว่าองค์หญิงเสด็จ ก็ยังกล้าล่วงเกินอีกหรือ!”
ซูหลีตึงเครียด ชายตัวสูงผู้นี้เมื่อเอ่ยปากพูด กลับมีสำเนียงของชาวเฉิง นางพลันนึกย้อนไปถึงเรื่องที่ฟู่เจิ้นเทียนหลุดปากบอกในวันนี้ คนที่บีบบังคับเขาอยู่เบื้องหลังก็มีสำเนียงของชาวเฉิงอยู่เช่นกัน หรือว่า…สองคนนี้ก็คือผู้อยู่เบื้องหลัง?
ชายตัวสูงหัวเราะชั่วร้าย เขากวัดแกว่งดาบพุ่งตัวเข้ามาทางรถม้า พริบตาเดียวก็มาถึง พร้อมกับเงื้อดาบฟาดฟันลงมา
องครักษ์ตกตะลึง รีบชักดาบออกจากฝัก แล้วกระโดดลงไปรับมือ ทั้งสี่เข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดอยู่ด้านหนึ่ง ชั่วขณะนั้น ประกายดาบพาดซ้อน ไอสังหารพวยพุ่ง ชายชุดดำปิดบังใบหน้าสองคนนี้มีวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา จู่โจมจุดอ่อนทุกกระบวนท่า ไม่ออมมือแม้แต่น้อย
ไม่นานองครักษ์สองคนก็เริ่มรับมือกับการจู่โจมอันดุดันไม่ไหว หนึ่งในองครักษ์เห็นท่าไม่ดี พยายามปัดป้องดาบของคนตัวเล็ก แล้วรีบวิ่งมาที่รถม้า ตะโกนบอกคนดูแลม้าหญิง “รีบไปเร็ว!”
ใบหน้าของคนดูแลม้าหญิงซีดเผือด นางตกใจจนตัวสั่น มือที่กุมบังเหียนม้าสั่นเทาไม่หยุด องครักษ์ตีก้นม้าอย่างแรง ม้าที่ตกใจเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ก่อนจะออกตัวทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง!
“ไป! อ๊าก” ยังไม่ทันสิ้นประโยค เขาก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวด เขาถูกคนชุดดำตัวเล็กฟันจากข้างหลัง จากนั้นก็สิ้นใจล้มลงไป!
รถม้าทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่อาจควบคุม คนตัวสูงเห็นเช่นนั้นประกายเยือกเย็นพลันพาดผ่านดวงตา เขาไม่มัวเสียเวลากับองครักษ์อีก รีบใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินเดินอากาศ ไม่นานก็กระโดดขึ้นมาบนหลังคารถ ปลายเท้ายันเบาๆ พริบตาเดียวก็กระโดดเข้ามาขวางข้างหน้ารถอีกครั้ง
ผู้ดูแลม้าหญิงตื่นกลัว ยังไม่ทันเปล่งเสียง ประกายเยือกเย็นก็พาดผ่านตรงหน้า เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากลำคอ ร่างกายโน้มเอียงกลิ้งตกจากรถม้า ลงไปนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น!
รถหยุดวิ่งแล้ว
ม่านรถถูกคนชุดดำกระชากทิ้ง นางกำนัลที่ติดตามมาขดตัวด้วยความหวาดกลัวอยู่ด้านหนึ่ง สายตาตื่นกลัวเพิ่งจะสบเข้ากับสายตาของคนชุดดำ นางก็ถูกเขาซัดฝ่ามือใส่จนสิ้นสติไปในทันที
ซูหลีนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ราวกับตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก สมองกลับรีบคำนวณอย่างรวดเร็ว เรื่องที่นางเป็นวรยุทธ์ ในเมืองหลวงแคว้นติ้งไม่มีใครรู้ สองคนนี้กล้ามาลอบโจมตีรถม้าของนาง เดาว่าคงไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน นางยังมีคำถามในใจ เป้าหมายในการลักพาตัวของอีกฝ่ายคือหลางฉ่างแท้ๆ เหตุใดจู่ๆ ก็กลายมาเป็นนาง? ยามนี้เบาะแสจากสองพี่น้องฟู่เจิ้นเทียนได้ขาดหายไปแล้ว หากต้องการคำตอบ ก็จำต้องเริ่มจากสองคนนี้แล้ว!
ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางก็ขดตัวเข้าไปด้านในรถ แล้วแสร้งทำเป็นแตกตื่นหวาดกลัว “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?”
………………….