กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 35 คำอวยพรจากซูหลี (2)
หวั่นซินยืนอยู่กลางห้องโถง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง นางหันหลังให้เซี่ยงหลี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เจ้าจะพูดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นกับข้าไปเพื่ออะไร? ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้าทั้งนั้น ไม่ต้องตามข้ามาอีก!
เซี่ยงหลียิ้มหวาน พลางกล่าวว่า ทำไมต้องโกรธเพียงนี้ด้วยเล่า? หากสตรีโกรธจะแก่ง่ายนะ เมื่อครู่ข้าเลือกปิ่นปักผมมาให้เจ้าอันหนึ่ง เจ้าดูสิว่าชอบหรือไม่? เขาเดินอ้อมมาตรงหน้านาง แล้วแบมือ กลางฝ่ามือกว้างมีปิ่นปักผมสีเขียวมรกตเอนกายอยู่ตรงนั้นหนึ่งอัน สุกใสดั่งน้ำในทะเลสาบ
หวั่นซินตะลึงงัน นางจ้องปิ่นปักผมชิ้นนั้น ดวงตาร้อนผ่าวเล็กน้อย เซี่ยงหลีเอ่ยพร้อมแย้มยิ้ม เจ้าไม่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว ข้าจึงเลือกแบบเรียบง่าย หากเจ้าใช้จะต้องสวยมากแน่นอน! พูดไป เขาก็เอาปิ่นปักบนเรือนผมนาง
หวั่นซินพลันได้สติ นางปัดแขนเขาออกไปโดยสัญชาตญาณ นึกไม่ถึงปิ่นปักผมกลับหลุดออกจากมือเซี่ยงหลี ตกกระแทกพื้นจนหักเป็นสองท่อน!
ทั้งสองตะลึงงัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยงหลีก็ค่อยๆ หุบยิ้ม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจ้าไม่ชอบก็น่าจะบอกตรงๆ เหตุใดต้องระบายอารมณ์กับปิ่นด้วยเล่า มันไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าสักหน่อย
หวั่นซินพูดไม่ออก นางกำมือแน่น ไม่รู้ควรพูดอะไรดี
เซี่ยงหลีกลับมายิ้มอย่างไม่จริงจังอีกครั้ง เขาสะบัดแขนเสื้อคล้ายไม่ใส่ใจ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแช่มช้า ข้ารู้ว่าเรื่องวันนี้ทำให้เจ้าไม่พอใจ แต่นั่นเป็นเพียงการเล่นสนุกชั่วครั้งชั่วคราว เจ้าจะจริงจังไปทำไม? เมื่อก่อนข้ามีสตรีข้างกายมากมายเพียงใด เจ้าเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ นับตั้งแต่วันที่ข้าท่องยุทธภพด้วยฐานะคุณชายมากรัก ข้าก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดเจ้าจึง…
เซี่ยงหลี! หวั่นซินพลันตัดบทเขา นัยน์ตาดำขลับจ้องมองดวงตาเขาอย่างไม่กะพริบ ราวกับต้องการมองเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของใบหน้าหล่อเหลานี้ เหมือนเจ้าจะลืมไปแล้วว่า ข้าไม่เคยตกลงปลงใจเรื่องใดกับเจ้าทั้งนั้น!
เซี่ยงหลีตะลึงงันไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แทบไม่เหมือนเซี่ยงหลีคนเดิม
ความหมายแฝงในวาจานางเหมือนดั่งมีดเล่มหนึ่ง ที่ทิ่มแทงหัวใจเขาอย่างแรง
รอยยิ้มเหยียดหยันผุดพรายขึ้นที่กลีบปากเขา ทว่าเป็นรอยยิ้มที่เย็นชามาก แต่สิ่งที่เย็นชายิ่งกว่ารอยยิ้มนั้น ก็คือสายตาของเขา
หวั่นซินไม่อาจสบตาเขาตรงๆ นางก้มหน้าโดยสัญชาตญาณ ทว่าปิ่นปักผมที่หักเป็นสองท่อนบนพื้น กลับบาดตายิ่งกว่ารอยยิ้มของเขาเสียอีก นางพลันรู้สึกหายใจไม่ออก หมายจะสาวเท้าเดินจากไป นึกไม่ถึงเซี่ยงหลีกลับดึงแขนนางไว้ แววคมปลาบพาดผ่านดวงตา เขาจับต้นคอนางแล้วรั้งเข้ามาในอ้อมแขน…
หวั่นซินตกตะลึง ความโกรธพลุ่งพล่าน นางผลักเขาออก แล้วตวัดฝ่ามือใส่ใบหน้าข้างขวาของเซี่ยงหลีแรงๆ นางทั้งโกรธและอาย ข่มกลั้นอารมณ์อยู่นาน สุดท้ายก็ทำได้เพียงพูดเสียงสั่น ต่ำช้า!
ฝ่ามือของนางรุนแรงมาก เซี่ยงหลีถูกตบจนหน้าหัน แต่ก็มิวายแลบลิ้นออกมาเลียเลือดตรงมุมปาก แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ฝ่ามือนี้แลกกับจุมพิตอันหอมหวานของทูตนารี เซี่ยงหลีไม่เสียดาย
หวั่นซินขอบตารื้นไปด้วยน้ำใสๆ นางทนไม่ไหว รีบวิ่งออกจากห้องโถงไปทันที
รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของเซี่ยงหลี สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาก้มหน้ามองปิ่นที่อยู่บนพื้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่บ้าง
พลันนั้น เสียงของซูหลีก็ดังมาจากมุมห้อง นึกไม่ถึงว่าคุณชายมากรักที่ผ่านผู้คนมามากมาย กลับไม่เข้าใจความรู้สึกของสตรีเอาเสียเลย
เซี่ยงหลีมองไปตามเสียง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา เจ้าสำนักอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ?
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิใช่ว่าข้าตั้งใจจะแอบดู โชคไม่ดีที่ข้ามาถึงก่อน เห็นพวกเจ้าคุยกันเรื่องส่วนตัว ข้าย่อมไม่สะดวกเผยตัว
ใบหน้าของเซี่ยงหลีเย็นชา หันหน้าหนีไม่ยอมมองหน้านาง ซูหลีค่อยๆ เดินไปยืนข้างกายเขา ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า เสียแรงที่เจ้าฉลาดมาทั้งชีวิต กลับเลอะเลือนไปชั่วขณะ ไม่ใช่สตรีทุกคนจะชอบภาษาดอกไม้ของผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้นหวั่นซินเป็นคนเถรตรง มีเพียงต้องรักและปกป้องนางด้วยใจ จึงจะสามารถเปลี่ยนใจนางได้
สายตาของเซี่ยงหลีไหวระริก แต่กลับไม่พูดอะไร
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยว่า ลึกๆ ในใจเจ้าใส่ใจนางถึงขนาดนี้ ต่อไปก็อย่าทำเรื่องที่ทำให้นางเสียใจอย่างนี้อีกเลย
เนิ่นนาน เซี่ยงหลีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ข้าใส่ใจแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า นับตั้งแต่กลับมาถึงเมืองหลวงแคว้นติ้ง นางก็เอาแต่หลบอยู่ในวังหลวงไม่ยอมพบหน้าข้า อุตส่าห์มีโอกาสเจอกัน ก็… เขาถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างผิดหวัง ตอนนี้ข้าใกล้จะออกเดินทางไปด่านเทียนไห่แล้ว ไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อใด เมื่อถึงยามนั้น เกรงว่านางจะหนีไปจากข้าไกลกว่าเดิม
ซูหลีครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า เจ้าชอบหวั่นซินตรงที่ใด?
เซี่ยงหลีตะลึงงัน นั่นสิ เขาชอบอะไรในตัวนางกันนะ? ผู้หญิงคนนี้สุขุมเยือกเย็นไม่ชอบพูดจาหรือแย้มยิ้ม คล้ายน้อยครั้งนักที่จะเห็นนางแสดงความรู้สึกของตนเองออกมา เรื่องหน้าตา นับได้ว่าอยู่แค่ระดับกลาง ห่างไกลกับหญิงงามที่เขาเคยใกล้ชิดด้วยมาก เรื่องนิสัย นางเป็นคนเถรตรง มักชอบพูดจาเสียดสี ยิ่งไม่มีเคล็ดลับมัดใจชายเลยแม้แต่น้อย ดูอย่างเมื่อกี้สิ นางยังลงไม้ลงมือกับเขาอีกด้วย!
เซี่ยงหลียกมือกุมหน้า เขายังรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แก้มไม่หาย จู่ๆ ก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ลึกๆ ในใจกลับตระหนักว่า บางทีอาจเป็นความซื่อสัตย์และความหนักแน่นที่ผู้หญิงซึ่งรู้จักแต่รำดาบรำกระบอง ทั้งยังขาดสีสันจนเรียกได้ว่าน่าเบื่อเช่นนางได้แสดงให้เห็นตอนทำภารกิจร่วมกันก่อนหน้านั้น ที่ทำให้เขาหวั่นไหวและใจเต้นรัวโดยไม่รู้ตัว
ซูหลีไม่ได้ถามต่อ ความรู้สึกที่สะท้อนผ่านดวงตาของเซี่ยงหลีบ่งบอกทุกอย่างชัดเจนแล้ว นางยิ้ม แล้วสาวเท้าเดินออกจากห้องโถงช้าๆ หยุดยืนหน้าประตู แหงนหน้ามองท้องฟ้านอกลานกว้าง ท้องฟ้าสีครามสว่างสดใส ก้อนเมฆสีขาวลอยอยู่สูงและห่างไกล นางกล่าวกับคนที่อยู่ข้างหลังว่า เรื่องที่ด่านเทียนไห่เป็นเรื่องใหญ่ ห้ามปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดเด็ดขาด เพื่อช่วยเหลือทูตมั่งคั่งและทูตกระบี่ ข้าจะสั่งให้ทูตนารีร่วมเดินทางไปขับไล่ศัตรูด้วย โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หวังว่าทูตมั่งคั่งจะใช้มันอย่างคุ้มค่า
ขอบพระคุณเจ้าสำนักที่อวยพรขอรับ! เซี่ยงหลีดีใจสุดแสน รีบรับคำเสียงดัง
สายลมพัดผ่านอากาศสดชื่น กลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนลอยคลุ้ง พาให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบาน เมืองหลวงแคว้นติ้งในยามนี้ได้เข้าสู่ฤดูกาลที่สวยงามที่สุดแห่งปีแล้ว
หวั่นซินรู้ข่าว สีหน้าพลันแข็งค้าง สายตามีแววสับสนพาดผ่าน นางไม่เคยเคลือบแคลงในภารกิจที่ซูหลีมอบหมายให้เลยสักครั้ง นางเงียบงันไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตอบรับเสียงเบา เจ้าค่ะ
วันต่อมา หวั่นซิน เซี่ยงหลี และฉินเหิงเก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็รีบออกเดินทางไปยังด่านเทียนไห่เพื่อรวมตัวกับเสิ่นเจี้ยนอัน ครั้นจัดการเรื่องสำคัญเสร็จ ตงฟางเจ๋อก็ส่งสาสน์เยี่ยมเยือนไปให้ฮ่องเต้แคว้นติ้งอย่างเป็นทางการ โดยจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าในอีกสามวันให้หลัง
—————————–