กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 9 องค์หญิงฉางเล่อ (5)
ครั้นเห็นซูหลีก้มหน้าไม่พูดไม่จา คล้ายมีเรื่องหนักใจ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยจึงอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นอะไรไป? มีเรื่องหนักใจหรือ?”
ซูหลีค่อยๆ เดินไปที่ริมศาลา จ้องมองกิ่งต้นหลิวที่ลอยไหวไปตามสายลม แล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “เดิมทีที่เดินทางมาครั้งนี้ ข้าไม่ได้คิดจะกลับมาอยู่กับเสด็จพ่อ เพียงต้องการสืบเรื่องชาติกำเนิดให้ชัดเจน และพิสูจน์ว่าเสด็จแม่ไม่ได้รักผิดคน เพื่อทำให้ดวงวิญญาณของเสด็จแม่ที่อยู่บนสวรรค์ตายตาหลับ เท่านี้ข้าก็สมปรารถนาแล้ว นึกไม่ถึงเสด็จพ่อกลับรักข้าถึงเพียงนี้ ฉางเล่อ…ไม่รู้จะพูดกับพระองค์เช่นไรดี”
“เจ้าจะไปจากที่นี่หรือ?” หลางฉ่างกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยร้องขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขามองเห็นแววตกใจจากสายตาของอีกฝ่าย
หลางฉ่างขมวดคิ้วแน่น คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จึงถามขึ้นว่า “ในวังนี้มีอะไรที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ หรือมีใครทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจงั้นหรือ? เจ้าบอกพี่มา พี่จะไปพูดกับเสด็จแม่…” พูดไป เขาก็อดลุกขึ้นยืนไม่ได้
“เสด็จพี่เข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ! ซูหลีรีบร้องบอก “ทุกอย่างล้วนดีหมด ทุกคนดีกับหม่อมฉันหมด ที่จริงหม่อมฉันเองก็ไม่อยากไปจากที่นี่เลย…”
นัยน์ตาเปล่งประกายของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยฉายแววประหลาดใจไม่ต่างกัน นางรีบถาม “เหตุใดจึงต้องจากไป?” ถึงแม้รู้จักกันได้เพียงไม่นาน แต่พวกนางกลับมีนิสัยที่เข้ากันได้อย่างหาได้ยาก นางเห็นซูหลีเป็นเสมือนพี่น้องแท้ๆ อย่างจริงใจ
ซูหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “พวกท่านยังไม่รู้ ก่อนออกมาจากแคว้นเปี้ยน ฉางเล่อสัญญากับตงฟางเจ๋อไว้ว่าจะกลับไปหาเขาภายในสามเดือน ยามนี้ใกล้ถึงเวลาแล้ว หากยังไม่กลับไปตามสัญญา เกรงว่าเขาคงรอต่อไปอีกไม่ไหว”
“ที่แท้ก็เป็นเพราะเขา…ดูเหมือนว่าเจ้าจะอภัยให้เขาแล้ว” หลางฉ่างทำหน้าครุ่นคิด ค่อยๆ เดินมาตรงหน้าซูหลี จ้องหน้านางแน่นิ่ง นัยน์ตาอ่อนโยนเริ่มมีแววหม่นหมอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เขาทำเจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้น ถึงแม้ยามนี้จะได้รับการให้อภัยจากเจ้า แต่จะรับประกันได้เช่นไรว่าเขาจะไม่ทำผิดเช่นเดิมอีก?”
“หม่อมฉันเชื่อว่าเขาทำได้เพคะ” คำสัญญาของตงฟางเจ๋อยามจากกันผุดขึ้นมาในใจนางอีกครั้ง สายตาของซูหลีอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ตั้งแต่วินาทีที่นางเลือกที่จะให้อภัย นางก็ไม่สงสัยในตัวเขาอีก
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่ยืนมองอยู่ด้านหนึ่ง ก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้
ใบหน้าหลางฉ่างกังวล กล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ “พวกเราใช้เวลาสิบกว่าปีตามหาเจ้าอย่างยากลำบาก กว่าจะได้อยู่กับเจ้าอย่างพร้อมหน้า เสด็จพ่อตั้งชื่อให้เจ้าว่าฉางเล่อ เพราะหวังว่าต่อจากนี้เจ้าจะมีชีวิตที่มีความสุข เจ้าอยู่แคว้นติ้ง มีข้ากับเสด็จพ่ออยู่ จะไม่มีทางทำให้เจ้าเสียใจอีกแน่นอน แต่หากเจ้าแต่งงานกับตงฟางเจ๋อ…พระราชวังเฉิงอยู่ห่างไกลพันลี้ หากมีปัญหาใด ข้ากับเสด็จพ่อจะวางใจได้เช่นไรเล่า?”
ซูหลีครุ่นคิด “ในเมืองหลวงแคว้นเฉิง ข้าเองก็ไม่ได้ตัวคนเดียว” นางยังมีเสด็จพ่อ บุญคุณที่เสด็จพ่อเลี้ยงดูนางมาหลายปี นางจะไม่ตอบแทนไม่ได้
หลางฉ่างนึกว่านางพูดถึงซูเซียงหรู ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าหมายถึงสกุลซู? ฉางเล่อ สกุลซูมิใช่หลักประกันที่พึ่งพาได้! วันนั้นในพระราชวังเฉิง ซูเซียงหรูกลัวว่าจะเดือดร้อนไปด้วย จึงบังคับให้เจ้ารับโทษ กระทั่ง…”
กระทั่งยังตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัล!
ครั้นนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่ซูหลีเคยประสบมาในแคว้นเฉิง หลางฉ่างปวดใจ เพียงเสียใจที่ไม่ได้พานางกลับมายังแคว้นติ้งให้เร็วกว่านี้ เขาเดินเข้าไปกุมมือซูหลี กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉางเล่อ พี่ไม่ใช่อยากจะคัดค้านการตัดสินใจของเจ้า เพียงแต่ตงฟางเจ๋อเป็นคนทะเยอทะยาน ช่ำชองการวางแผน ยามนี้ใจเขามีเจ้าอยู่ วางแผนทุกอย่างเพื่อเจ้า แต่หากภายหน้า หากใจเขาไม่ได้มีเพียงเจ้าอีก และหากเกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับบ้านเมืองของเขา กระทั่งแผนการใหญ่ของเขา…เจ้าจะทำเช่นไรเล่า?”
ซูหลียิ้มอย่างมั่นใจ “เสด็จพี่เป็นห่วงว่าหากภายหน้าเขาหมายจะครองโลก หม่อมฉันจะตกที่นั่งลำบากหรือเพคะ? ฉางเล่อจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!”
“เรื่องราวบนโลกนี้ยากจะคาดเดา และไม่ใช่สิ่งที่เจ้าและข้าจะสามารถควบคุมได้ ฉางเล่อ…เจ้าช่วยพิจารณาอย่างรอบคอบอีกสักครั้งได้หรือไม่?”
สายตาอ้อนวอนของเขา ทำให้ซูหลีปฏิเสธไม่ลง ซูหลีหมุนกายเดินไปอีกด้านของรั้วศาลา มองดูผิวน้ำแน่นิ่งในทะเลสาบ เงียบงันไม่พูดจา การคัดค้านของหลางฉ่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนาง เดาว่าเรื่องของหยางเสวียนในตอนนั้นคงกลายเป็นปมฝังแน่นในใจเขา ทำให้เขามีอคติกับตงฟางเจ๋อ ยากที่จะเปลี่ยนความคิดได้ในเวลาสั้นๆ ส่วนฮ่องเต้แคว้นติ้งจะคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร นางแทบจะคาดเดาคำตอบได้แล้ว
ภายในศาลาเงียบงันไปชั่วขณะ มีเพียงสายลมอ่อนพัดผ่านผิวน้ำทะเลสาบ เกิดเป็นเกลียวคลื่นในฤดูใบไม้ผลิ
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยลอบส่ายหน้าเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้หลางฉ่างว่าอย่าวู่วามเกินไป เดิมทีนางไม่อยากพูดมาก แต่กลับเห็นสองพี่น้องต่างยึดมั่นในความคิดตนเอง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดรา จึงกล่าวทำลายความเงียบ “องค์รัชทายาททรงมีเหตุผลที่ถูกต้อง แต่อวิ๋นฮุ่ยกลับคิดว่า เรื่องของความรู้สึก…คนนอกมิได้ประสบพบเจอด้วยตนเอง จะเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างไรเล่าเพคะ? มิใช่เพียงคำพูดสองสามประโยคก็จะสามารถแก้ไขปัญหาให้กระจ่างได้ ฉางเล่อปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ ในเมื่อนางเลือกที่ให้อภัยฮ่องเต้แคว้นเฉิง แสดงว่านางจะต้องมีเหตุผลของนางเป็นแน่เพคะ”
หลางฉ่างกล่าวด้วยความเป็นห่วง “ข้าเพียงกลัว ว่านางจะเสียใจภายหลัง…”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หากไม่ลอง แล้วจะรู้ได้เช่นไรว่าจะต้องเสียใจแน่? ชีวิตคนเรา มีเรื่องราวมากมายที่ไร้ทางเลือก หากแม้แต่เรื่องแต่งงานที่เป็นความสุขทั้งชีวิตยังไม่สามารถทำตามใจตนเอง เช่นนั้นชีวิตจะมีความหมายอันใดอีก?
ครั้นพูดมาถึงตรงนี้ นางคล้ายรู้สึกโศกเศร้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อดเอื้อมมือออกไปกุมมือซูหลีไม่ได้ มืออันอบอุ่นอ่อนโยนคู่นี้ กลับมีพลังที่หนักแน่นและแข็งแกร่ง
ในใจซูหลีมีความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา ความรู้สึกเข้าอกเข้าใจในวินาทีนี้ อาจมีเพียงอวิ๋นฮุ่ยที่เป็นสตรีเหมือนนาง ที่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริง
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยิ้ม แล้วกล่าวอีกว่า “จากที่หม่อมฉันรู้ ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงมากอุบาย แต่กลับมิใช่คนกระหายเลือด คิดว่าเขาคงไม่สร้างปัญหา ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนเพียงเพราะความทะเยอทะยานของตนแน่นอน”
สายตาหลางฉ่างพลันขรึมลงเล็กน้อย เขาถามโดยสัญชาตญาณ “เจ้าไม่เคยพบเขา เหตุใดจึงมั่นใจถึงเพียงนี้?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “นิสัยใจคอของคนผู้หนึ่ง สามารถวิเคราะห์ได้จากสิ่งที่กระทำในอดีต อวิ๋นฮุ่ยเพียงแสดงความคิดเห็นอันโง่เขลา อาจไม่ถูกต้องเสมอไป เมื่อครู่องค์รัชทายาทเองก็ตรัสแล้ว ว่าอนาคตยังมีเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้อีกมากมาย แต่อนาคตยังมาไม่ถึง แล้วเหตุใดจึงต้องกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงด้วยเล่าเพคะ? ยังจำประโยคนั้นได้หรือไม่ ยึดมั่นใจเจตนาเดิม ไม่ลืมความตั้งใจแรก ทำสุดความสามารถ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามชะตาลิขิต นี่ก็คือหลักคุณธรรมของผู้มีปัญญา”
หลางฉ่างอดตะลึงงันไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยหัวเราะหยันตนเอง “นี่คือวาจาที่ข้าเคยสอนเจ้า ยามนี้กลับต้องให้เจ้าเตือนสติข้า”
“พระองค์เพียงแค่เป็นห่วงจนจิตใจว้าวุ่นเท่านั้นเพคะ” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน
หลางฉ่างครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่ง ก็หันหน้าไปมองซูหลี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เรื่องนี้พี่จะพิจารณาอย่างรอบคอบ หากพี่ยังคงดื้อดึง ก็คงมีแต่จะขัดความตั้งใจเดิมของเจ้า”
ซูหลีค้อมกาย และกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ทรงเป็นห่วงน้องเพคะ”
“ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่เกรงว่าเสด็จพ่อคง…พระวรกายของพระองค์เจ้าเองก็รู้ดี ยามนี้ล้วนอาศัยกำลังใจในการยืนหยัดอยู่ เจ้ากับเสด็จพ่อเพิ่งได้อยู่ด้วยกันไม่นานก็ต้องจากกัน…” หลางฉ่างไม่ได้พูดอะไรต่อ สายตากังวลผุดพรายขึ้นมาอีกครั้ง
หัวใจของซูหลีสะดุด นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล “เพราะเหตุผลนี้ ฉางเล่อจึงมิอาจเอ่ยปาก”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉางเล่อก็ยิ่งสมควรรออยู่ที่นี่อย่างอดทน หากฮ่องเต้แคว้นเฉิงจริงใจต่อเจ้า จะไม่เข้าใจความลำบากใจของเจ้าได้เช่นไร?”
ยามนี้ความคิดของซูหลีสับสนวุ่นวาย สิ่งที่อวิ๋นฮุ่ยพูดก็เป็นสิ่งที่นางคิดเช่นกัน เพียงแต่นางไม่อาจมั่นใจได้ ด้วยนิสัยของตงฟางเจ๋อ หลังผ่านอะไรมามากมาย เพียงแยกจากกันสามเดือนก็เกรงว่าทรมานใจเขามากพอแล้ว หากจะขอให้เขารอต่อไปอย่างไร้จุดหมาย เขา จะยอมหรือไม่?
………………………………………