กำเนิดใหม่ทายาทจอมมาร (Lucifer’s Descendant System) - ตอนที่ 60
“นายแน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมมาร์เซล?” ผู้หญิงในกลุ่มที่สวมชุดผ้าบางเบาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนไหวแขนของเธอและไม่ทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าระหว่างการโจมตีในป้อมปราการถามอย่างชัดเจน เพราะเธอคือผู้ถูกเลือกที่เป็นนักเวทย์ของกลุ่ม เธอถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา เพราะเธอไม่คิดว่ามันจะเป็นการถูกต้องที่จะเอาชีวิตของกลุ่มไปเสี่ยงอยู่กับผู้ถูกเลือกแปลกหน้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเธอเห็นว่าเขายังเด็กอยู่ เธอไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าเขาจะมีประโยชน์ ในใจของเธอตอนนี้คิดว่า
‘ถ้านายจะทำให้เขาตายก็ปล่อยให้เขาตายคนเดียว อย่าเอาชีวิตของเธอไปเสี่ยงเพียงเพราะจะพิสูจน์ว่าเขาแข็งแกร่งหรือไม่’
มาร์เซลรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่โดยที่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่อไม่ให้สร้างความบาดหมางโดยไม่จำเป็น
“ไม่ต้องห่วง ฉันแค่พูดเพื่อกดดันเขาและดูว่าเขาทำงานได้ดีภายใต้แรงกดดันหรือเปล่า แจสเปอร์คงจะสามารถจัดการงานได้ทั้งหมดตามลำพัง เขาเพียงคนเดียวก็น่าจะควบคุมทั่วทั้งป้อมปราการได้แล้ว แม้ว่ามันอาจจะส่งผลต่อความเร็วของกลุ่มก็ตาม เพราะแจสเปอร์อาจจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่มันก็แค่นั้นบางทีเราจะเสียเวลาแค่เล็กน้อยเท่านั้นและจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ป้อมปราการนี้ซับซ้อนเฉพาะผู้ถูกเลือกระดับล่างของการจัดอันดับ แต่สำหรับเราจะไม่มีปัญหาแม้ว่าเด็กใหม่จะไม่มีประโยชน์ก็ตาม”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของมาร์เซลผู้หญิงคนนั้นก็สงบลงมากขึ้น เธอได้ไปที่ป้อมปราการหลายแห่งพร้อมกับกลุ่มแล้วและเธอรู้อย่างชัดเจนว่าทั้งกลุ่มของเธอมีฝีมือแค่ไหน เธอไว้วางใจพวกเขาแต่ละคนด้วยชีวิตของเธอเองเมื่อพูดถึงทักษะของพวกเขาแล้ว ถ้ามีคนในกลุ่มอ้างว่าเขาสามารถปกป้องเธอได้ เธอจะเชื่อคนนั้นและจะไม่สนใจที่จะปกป้องตัวเอง อย่างไรก็ตามเด็กใหม่ที่มาถึงวันนี้ไม่ได้สร้างความประทับใจให้เธอเพราะคนอื่นๆมีออร่าของคนที่เข้มแข็งและทรงพลัง แต่เด็กใหม่คนนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าเขาอายุน้อยกว่าทุกคนในกลุ่มมากและยังเป็นเพียงผู้ถูกเลือกระดับ F เท่านั้น นั่นทำให้เหมือนว่าเขาจะไม่มีอะไรมากไปกว่าภาระในสายตาของเธอ
เธอไม่ใช่คนเดียวที่มีความคิดนั้น ไม่มีใครปฏิบัติต่อโนอาห์อย่างเลวร้าย แต่ทุกคนก็พร้อมที่จะเห็นเขาล้มเหลวและอาจตายไปในป้อมปราการ เพราะเขาไม่สามารถทำงานที่เขาควรจะทำได้
เห็นได้ชัดว่าโนอาห์ไม่สนใจสิ่งที่ทุกคนในกลุ่มคิด ทุกคนปฏิบัติต่อเขาด้วยความสงสัย แต่โนอาห์เข้าใจด้านนั้นของทุกคน เพราะที่พวกเขาเป็นเช่นนั้นเพราะพวกเขาจะต้องพึ่งพาโนอาห์เพื่อความอยู่รอด
มีเพียงคนเดียวในกลุ่มเท่านั้นที่มองว่าอายุของโนอาห์ไม่เป็นปัญหาและบุคคลนั้นคือแจสเปอร์ เนื่องจากเขาได้เห็นโนอาห์ใช้ความสามารถของเขาในการต่อสู้กับก็อบลินธรรมดาและหัวหน้าก็อบลิน แจสเปอร์จึงมีมุมมองที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงกับโนอาห์ จากอายุของโนอาห์แทนที่จะเป็นแง่ลบในความคิดของแจสเปอร์แต่มันกลับเป็นไปในทางบวกอย่างมาก เพราะหากเขามีพลังมากขนาดนี้ในวัยนี้แล้วเขาจะเป็นยังไงในอีกสิบปีข้างหน้าล่ะ?
น่าเสียดายที่มีเพียงแจสเปอร์เท่านั้นที่คิดอย่างนั้น และเขารู้ดีว่าคนอื่นๆคิดอย่างไรเกี่ยวกับโนอาห์ แต่เขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับตัวโนอาห์เองว่าเขาจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขาจากขยะไร้ประโยชน์ไปเป็นหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์ที่มีศักยภาพสูงได้อย่างไร
หลังจากทำตามขั้นตอนก่อนบุกป้อมปราการแล้วทั้งหมด กลุ่ม 15 คนก็เดินผ่านประตูมิติไป เมื่อพ้นจากประตูมิติไปอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็เจอป่าที่แตกต่างกัน ป้อมปราการของนกคลั่งเป็นที่รู้จักในด้านพืชพันธุ์ที่แตกต่างจากป้อมปราการระดับ E ที่อื่นมาก
อีกด้านหนึ่งของประตูมิติ พวกเขาได้พบกับผืนดินที่กลายเป็นสีแดงทั้งยังแห้งแล้งและมีต้นไม้สูงถึง 20 เมตร แต่เนื่องจากระยะห่างของแต่ละต้นที่มากขึ้นกว่าปกติ พวกเขาจึงไม่ได้รับความรู้สึกอึดอัดจากพวกมัน แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกเหมือนถูกล้อมรอบไปด้วยป่าสีแดงที่มีเสาหนาๆหลายๆต้นที่มีหลังคาเป็นใบไม้สีแดง
โนอาห์เห็นว่าสถานที่นี้มืดเล็กน้อยและจากมุมมองของเขาที่มองเห็นออกไปเหมือนกับมีคนกำลังใช้ฟิลเตอร์สีแดงกับการมองเห็นของเขา เขายังคงมองเห็นระยะไกลได้ค่อนข้างง่ายในโทนสีแดงนี้ แต่น่าเสียดายที่โทนสีอบอุ่นนี้ไม่เป็นผลดีกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ เพราะเนื่องจากมันทำให้พวกเขาต้องทำงานหนักเพื่อมองจากไปในระยะไกลๆ และการทำเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาเหนื่อยง่ายขึ้นอีกด้วย
ในทางกลับกันโนอาห์รู้สึกว่าเขาได้เปรียบในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ และเขารู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่มี “ตัวกรอง” ของแสงสีแดงนี้ มอนเตอร์ในป้อมปราการแห่งนี้จะต้องปรับตัวให้เข้ากับวิสัยทัศน์นี้แล้วแน่นอน ดังนั้นโนอาห์ที่มีการโจมตีด้วยไฟจึงได้รับประโยชน์อย่างมากจากการมองเห็นที่เขามีอยู่เนื่องจากตัวกรองของเขา
คนในกลุ่มเริ่มจัดรูปแบบเหมือนกับในป้อมปราการป่าก็อบลิน โนอาห์อยู่ในแนวกลางระหว่างแนวหน้าและแนวหลังเพื่อที่เขาจะได้สามารถโจมตีมอนเตอร์และปกป้องแนวหลังได้ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าคนในแนวหลังจะรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อโนอาห์ ‘ปกป้อง’ พวกเขาก็ตาม เพราะพวกเขาคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้ถูกเลือกที่เพิ่งจะมาถึงระดับ E
โนอาห์ไม่สนใจเรื่องนี้และยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้นกับคนพวกนี้
น่าแปลกที่หลังจากเดินมา 10 นาที ทั้งกลุ่มก็ยังไม่พบกลุ่มมอนสเตอร์เลย ปกติแล้วนกคลั่งจะบินไปกับฝูงเสมอ แต่จนถึงตอนนี้คนทั้งกลุ่มก็ยังไม่มีใครมองเห็นพวกมันเลยแม้แต่ตัวเดียว
ห้านาทีผ่านไปในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนอยู่ด้านหลังของพวกเขา จากสิ่งที่พวกเขาค้นคว้าเกี่ยวกับป้อมปราการพวกเขารู้ว่าเสียงร้องนี้มาจากนกตัวหนึ่ง พวกเขาจึงเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่จะมาถึงทันที แต่ละคนภายในกลุ่มยกอาวุธของตัวเองขึ้นมาและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่
“โนอาห์ ให้แจสเปอร์ทำก่อน นายจะได้รู้ว่าต้องทำยังไง” มาร์เซลพูดเสียงดัง เขาไม่มั่นใจว่าโนอาห์จะสามารถทำสิ่งที่จำเป็นได้แม้ว่าเขาจะรู้ว่าควรทำอะไร แต่เขาก็จะไม่ขี้โกงถึงขนาดส่งโนอาห์ไปเพียงลำพังโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะต้องทำอะไร
โนอาห์ยอมรับกับเรื่องนี้และยังคงยืนปกป้องแนวหลังต่อไป
ทันใดนั้นที่มาของเสียงก็มาถึงในที่สุด มีนกสองตัวที่กรีดร้องและตะโกนออกมา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังระคายเคืองบางอย่างอยู่แต่มันไม่ได้โมโหเพราะมันเห็นคนอื่น แต่เป็นเพราะมีสัตว์ประหลาดตัวอื่นที่พยายามจะขี่พวกมันอยู่ตั้งหาก
หมูป่าผิวสีน้ำเงินสองตัวกำลังพยายามทำให้นกเหล่านี้เชื่อง นี่คือเหตุผลที่ป้อมปราการนี้ถูกเรียกว่าป้อมปราการนกคลั่ง เพราะนกทุกตัวที่พวกเขาพบต่างกรีดร้องด้วยความโกรธที่ต้องแบกหมูป่าและเป็นสัตว์ขี่ของพวกมัน
แทนที่จะโจมตีมันโดยตรง กลุ่มนี้กลับอยู่เงียบๆให้มากที่สุด ในขณะที่แจสเปอร์ใช้พรของตัวเองเพื่อวิ่งผ่านป่าสีแดงไปยังนกที่กรีดร้องด้วยความเร็วสูง
เมื่อเขาเข้าไปในขอบเขตของนก เขาก็รีบปีนขึ้นต้นไม้และผลักนกเล็กน้อย ทันใดนั้นหมูป่าที่มีกล้ามซึ่งนั่งอยู่บนหลังของนกก็ตกลงสู่พื้นด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าพวกมันจะรอดชีวิตจากการตกลงมาจากหลังของนก แต่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว พวกเขาชี้ปลายดาบไปที่หมูป่าและรอพวกมันตกลงมาที่พื้นก่อนที่จะกำจัดมัน นักธนูและนักเวทย์กำลังจดจ่ออยู่กับนกที่ยังคงกรีดร้อง แต่นกคลั่งตัวนี้แทนที่มันจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีและกำจัดหมูป่า มันกลับทำสิ่งที่ขัดกับตรรกะทั่วไปโดยสิ้นเชิง
แทนที่มันจะจากไป มันกลับเริ่มกรีดร้องด้วยความโกรธมากขึ้น และคราวนี้ความโกรธของนกก็มุ่งไปที่มนุษย์ที่กำลังจับหมูป่าบนหลังของมัน
ความโกรธของนกพวกนี้ทำงานแบบนี้ พวกมันจำเป็นต้องมีเป้าหมายเพื่อที่จะระบายความโกรธของตัวเองออกมา และในขณะที่หมูป่าทำให้พวกมันเชื่องเพื่อเป็นพาหนะ พวกมันก็มีเป้าหมายความโกรธอยู่ที่หมู่ป่าอยู่เสมอ แต่เมื่อมนุษย์ล้มหมูป่าลง พวกมันก็จะใช้พวกเขาแทนเป้าหมายสำหรับความโกรธของพวกมัน และจะเข้าโจมตีมนุษย์อย่างไม่มีเหตุผล
อย่างไรก็ตาม หมูป่ารู้วิธีที่จะเปลี่ยนทิศทางความโกรธของนกมายังมนุษย์และทำให้มนุษย์ถูกโจมตีโดยนกคลั่ง มอนเตอร์ที่มีสติสัมปชัญญะนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าการถูกโจมตี เพราะมันสามารถควบคุมมอนเตอร์ให้มาโจมตีมนุษย์ได้โดยที่ไม่สนเหตุผลใดๆ หลังจากนั้นนกคลั่งก็เริ่มอาละวาดใส่คนในกลุ่มทันที
เมื่อนกเริ่มบินไปทางด้านหลังเป็นเส้นตรง นักเวทย์และนักธนูก็ฉวยโอกาสที่แจสเปอร์สร้างขึ้นและมุ่งโจมตีไปที่นกตัวนั้นทั้งหมด โชคไม่ดีที่เวทมนตร์และลูกธนูใช้ไม่ได้ผลกับนกเหล่านี้เหมือนการต่อสู้กับมอนเตอร์ของป้อมปราการอื่น เพราะขนของนกเหล่านี้ผลิตเมือกที่ทำให้พื้นผิวของขนเรียบขึ้น
และด้วยขนนกที่ผลิตเมือกขึ้นมาทำให้มันสามารถเปลี่ยนทิศทางลูกธนูที่มากระทบกับขนของมันได้บางส่วน อีกทั้งมันยังสามารถควบคุมเวทมนตร์ที่ถูกปล่อยออกมาได้อย่างดีอีกด้วย
การโจมตีของกลุ่มทำให้นกบาดเจ็บสาหัส แต่ถึงแม้จะมีผู้ถูกเลือกมากกว่า 8 คนโจมตีนกคลั่งแต่มันก็ยังรอดชีวิตและบินออกไปด้วยความโกรธต่อมนุษย์ที่มันเห็นว่าเป็นเหยื่อมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ถูกเลือกไม่ได้วิตกกังวลมากนัก เพราะแจสเปอร์กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งและด้วยการกระโดดอย่างรวดเร็ว เขาก็สามารถตัดปีกนกยักษ์ออกได้ทันที ทำให้มันเสียการทรงตัวและเริ่มล้มลงกับพื้น
ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆรู้ว่าแจสเปอร์จะกลับมาทันเวลา เพราะพวกเขาทำงานด้วยกันมานาน พวกเขารู้ความเร็วของเด็กชายและรู้ว่าเขาสามารถพึ่งพาได้ ดังนั้นเมื่อนกคลั่งกระแทกพื้น นักเวทย์ก็เตรียมการโจมตีของพวกเขาไว้แล้ว ในขณะที่นักธนูก็เตรียมลูกธนูที่จะกำจัดมันในที่สุด
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไรกับมัน ลูกไฟสีส้มก็พุ่งเข้ามาหามันทันที และเมื่อลูกไฟนั้นสัมผัสกับนกที่กำลังบาดเจ็บมันก็ทำให้นกตัวนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง และนั่นก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจ