กำเนิดใหม่ทายาทจอมมาร (Lucifer’s Descendant System) - ตอนที่ 61
ลูกไฟนั้นทำให้เหล่าผู้ถูกเลือกภายในกลุ่มตกใจ พวกเขารู้จักกันเป็นอย่างดีและพวกเขารู้ว่าคนในกลุ่มของพวกเขาไม่มีใครที่ได้รับพรแห่งไฟ เพราะพรแห่งไฟเป็นพรที่ดูธรรมดาสามัญทั่วไป และในทุกๆป้อมปราการที่มีการจัดกลุ่มจะต้องมีหนึ่งหรือสองคนที่มีพรแห่งไฟเสมอ แต่กลุ่มของเขาไม่มีคนเช่นนั้น
แต่ในตอนนี้ลูกไฟที่ไม่รู้ที่มาที่ไปได้พุ่งออกมาและกระทบไปที่นกคลั่งก่อนที่คนในกลุ่มจะได้ยิงธนูหรือปล่อยเวทมนตร์ออกไปด้วยซ้ำ
ผู้ถูกเลือกสับสนเป็นอย่างมาก แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้สับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นคือแจสเปอร์ เขารู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนยิงลูกไฟประหลาดที่ทำให้นกคลั่งร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนที่มันจะตายลง
ในระหว่างการบุกป้อมปราการป่าก็อบลินแจสเปอร์สังเกตเห็นว่าด้วยเหตุผลบางอย่างโนอาห์มักจะชอบโจมตีพวกก็อบลินเป็นครั้งสุดท้ายเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าก็อบลินหรือก็อบลินธรรมดา โนอาห์ก็จะพยายามโจมตีเป็นครั้งสุดท้ายเสมอ
ตอนแรกแจสเปอร์คิดว่ามันเป็นความหุนหันพลันแล่นของโนอาห์ที่อยากจะโจมตีครั้งสุดท้ายเพื่อบอกว่าเขาเป็นคนที่ฆ่ามอนเตอร์นั่นเอง แต่เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย เขาไม่เคยแม้แต่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระทำนี้ที่เขาทำอยู่เสมอ นั่นทำให้แจสเปอร์ยิ่งสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาตระหนักว่าไม่ว่าโนอาห์จะทำเช่นนี้กี่ครั้ง เขาก็มีพลังมากพอที่จะทำมันอีกครั้งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จำเป็นต้องรู้ว่าเมื่อพูดถึงพรที่ทุกคนใช้กันอยู่ทุกวันนี้ยิ่งทักษะแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้พลังงานมากเท่านั้น นี่เป็นความจริงที่รู้กันทั่วไปว่าเมื่อผู้ถูกเลือกมาถึงระดับ A พวกเขาถึงจะสามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่องได้ใกล้เคียงกับผู้ถูกเลือกระดับ F เพราะเนื่องจากพวกเขามีพลังงานจำนวนมากที่พวกเขาได้รับการพัฒนามาเมื่อพวกเขาเลื่อนระดับหรือฝึกฝนขึ้นมาเรื่อยๆเพื่อรองรับกับการใช้พรขนาดใหญ่ และใช้การโจมตีระดับสูงที่มีของพวกเขา
แต่น่าแปลกที่มันใช้ไม่ได้กับโนอาห์ ด้วยเสียงร้องของมอนเตอร์พวกนี้ไม่จำเป็นต้องถามเลยด้วยซ้ำว่าความสามารถของเขาว่าทรงพลังหรือไม่ แต่ถึงกระนั้น โนอาห์ก็ยังรักษาความสามารถนั้นไว้ได้แทบตลอดการบุกป้อมปราการของเขา
นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้แจสเปอร์คิดว่าโนอาห์จะมีชื่อเสียงและมีความสำคัญในอนาคต ไม่เพียงแต่จากความแข็งแกร่งในปัจจุบันที่เขามี แต่มันมาจากศักยภาพที่เขาแสดงออกมาด้วย
ในที่สุด แจสเปอร์ก็ชินกับลักษณะนิสัยของโนอาห์ที่เขามักจะโจมตีมอนสเตอร์ครั้งสุดท้ายเสมอ เพราะเขาชอบทำมันและส่วนใหญ่เขาจะทำในตอนที่เขาทำได้ และเนื่องจากโนอาห์ไม่เหมือนกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆที่ไม่สามารถทนต่อการโจมตีได้บ่อยนัก โนอาห์สามารถทำทุกอย่างได้อย่างที่เขาต้องการ เขาจึงเป็นอิสระมากในการบุกป้อมปราการในแต่ละครั้ง
โนอาห์รู้ดีว่าแจสเปอร์สงสัยในพรของเขาและเขากำลังคาดเดาสิ่งต่างๆในพรของเขา แต่เขาก็ไม่ได้โง่พอที่จะไปอธิบายว่าเขาฟื้นพลังงานเมื่อเขาเผามอนเตอร์ และที่เขามักจะโจมตีเป็นครั้งสุดท้ายเสมอก็เพื่อที่เขาจะได้ค่าประสบการณ์จากมอนเตอร์มากขึ้น
ในขณะที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆกำลังพยายามหาเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้น นกคลั่งอีกตัวก็บินมาทางพวกเขา แต่คราวนี้มีหมูป่าอยู่บนหลังของมันด้วย ซึ่งนี่จะทำให้การต่อสู้มีปัญหามากขึ้น
“โนอาห์ ให้แจสเปอร์ทำอีกครั้ง นายจะจัดการกับกลุ่มต่อไป เราไม่สามารถฉวยโอกาสโจมตีได้เหมือนกับตอนแรกในตอนนี้ ใช้เปลวไฟของนายโจมตีเหมือนกับนายเป็นแนวหลังซะ!” มาร์เซลตะโกนใส่โนอาห์ว่าอย่าพยายามกำจัดหมูป่าในยครั้งนี้ เขาจะได้ไม่ต้องเสี่ยงทำลายทุกอย่าง ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่เขาเห็นว่าโนอาห์เป็นนักเวทย์ที่ทรงพลัง ในหัวของมาร์เซลก็คิดทันทีว่ามันจะเป็นประโยชน์มากกว่าสำหรับกลุ่มหากให้โนอาห์ไปโจมตีระยะไกล
โนอาห์ไม่คัดค้านคำสั่งนี้ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ใกล้ๆแนวหลังโดยถือมีดสั้นไว้ในมืออีกข้างหนึ่งในขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งมีเปลวไฟเล็กๆลอยขึ้นมาพร้อมที่จะยิงออกไปทุกเมื่อ
เขาไม่สนใจว่าคนในกลุ่มนี้จะคิดว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์หรือเปล่า แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขาสามารถจัดการงานนี้ให้กับแจสเปอร์ได้ง่ายกว่ามากจาก [อุโมงค์นรก] ของเขา แต่ [อุโมงค์นรก] ก็แตกต่างจาก [เปลวไฟแห่งนรก] ของเขามาก เพราะการเทเลพอร์ตใช้พลังงานไปและไม่มีทางกู้คืนได้ ไม่เหมือนกับ [เปลวไฟแห่งนรก] ที่สามารถเพิ่มพลังงานของเขาได้อย่างเสมอ สำหรับระยะทางที่เขาอยู่ห่างจากนกในตอนนี้ เขาจะต้องวิ่งเข้าไปใกล้นกก่อนที่จะเทเลพอร์ตตัวเองไปในอากาศและโจมตีหมูป่าด้วยการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว นั่นเป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำหากเขาต้องการจะช่วยแจสเปอร์
โนอาห์ทำได้แต่เขาขี้เกียจเกินไป เพราะหลังจากที่เขาคิดว่าเขาจะต้องพบกับปัญหาแค่ไหนที่จะวิ่งเข้าหานกคลั่งด้วยความเร็วสูง เขาก็หยุดความคิดที่จะทำลง โนอาห์พบว่ามันง่ายกว่ามากที่จะอยู่ในกลุ่มและทำเพียงขว้างลูกไฟใส่นกและหมูป่า ยิ่งไปกว่านั้นการควบคุม [เปลวไฟแห่งนรก] ของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงเลเวลสองแล้วเมื่อไม่นานมานี้ โนอาห์ต้องการทดสอบการเล็งของเขากับเป้าหมายที่กำลังเคลื่อนที่และนี่คือโอกาสที่เขาจะได้ทดสอบตัวเองเช่นกัน
เช่นเดียวกับครั้งก่อนแจสเปอร์วิ่งด้วยความเร็วสูงเพราะพรของเขาที่เพิ่มความว่องไวให้กับเขา และหลังจากใช้ต้นไม้เป็นตัวรองรับ เขาก็กระโดดเข้าไปในเส้นทางที่นกคลั่งกำลังบินอยู่และสกัดกั้นหมูป่าเหมือนกับที่นักฟุตบอลอเมริกันสกัดกั้นผู้เล่นของทีมอื่นแต่ไม่พยายามเกาะหมูป่าไปด้วย
เมื่อเห็นสัตว์สีน้ำเงินตัวใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้า โนอาห์ก็เห็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบ และด้วยการคำนวณวิถีการยิงภายในใจของเขาอย่างรวดเร็ว โนอาห์ก็ยิงลูกไฟด้วยความเร็วสูงไปยังจุดที่เขาคำนวณว่าหมูป่าจะตกลงมา
น่าเสียดายที่เมื่อลูกไฟเข้าใกล้หมูป่าที่ตกลงมา โนอาห์ก็สังเกตว่าเขาคำนวณผิด แม้ว่าค่าสถานะ “ความฉลาด” ของเขาจะสูงขึ้นถึง 20% แต่มันก็ยังพลาดอยู่ดี
หลังจากที่โนอาห์เลื่อนขึ้นไปที่เลเวลสอง ด้วยค่าสถานะความฉลาดของเขาจึงทำให้โนอาห์สามารถคำนวณเช่นนี้ได้ หากเป็นก่อนหน้านี้มันจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขาที่จะคำนวณในช่วงสั้นๆเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขายังต้องการค่าสถานะเพื่อเพิ่มสามารถในประมวลผลข้อมูล ความคิด และการคำนวณให้ได้เร็วเท่าที่จำเป็น
ถ้าลูกไฟยังไปในทิศทางเดิมตอนนี้มันจะพลาดที่จะโดนหมูป่าไปประมาณสองถึงสามเซนติเมตร ดังนั้นเขาจึงใช้การควบคุมที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ทักษะของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเลเวลสองมาช่วยในการควบคุมลูกไฟของเขา
โนอาห์จดจ่ออย่างมากและพยายามเปลี่ยนวิถีของลูกไฟในระหว่างที่มันบินไปเหมือนกับที่อบิเกลทำกับลูกธนูของเธอโดยใช้พรแห่งลมที่เธอมี เธอเป็นคนเดียวที่ทำให้โนอาห์มีความคิดที่จะพยายามทำเช่นนั้นด้วยพรของเขาเช่นเดียวกัน เนื่องจากในป้อมปราการครั้งล่าสุดที่เขาผ่านมา เขาเห็นว่าความสามารถในการโจมตีเป้าหมายโดนเกือบจะทุกครั้งนั้นมีประโยชน์เพียงใด
โนอาห์ตระหนักว่าเขาสามารถเปลี่ยนวิถีของลูกไฟได้ในขณะที่มันปล่อยไปแล้ว แต่ปริมาณพลังงานที่ใช้ไปนั้นมหาศาลเป็นอย่างมากในการเปลี่ยนมุมของการบินของลูกไฟเพียงไม่กี่องศา
พลังงานที่เขาใช้ไปนั้นมันเทียบได้กับการที่โนอาห์ใช้พลังงานในการเรียกลูกไฟออกมาได้อีกถึงสามลูก กล่าวคือเหมือนกับเขาใช้มันเป็นลูกไฟ “นำทาง” ในลูกแรก และเขาจะต้องใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองเพื่อจะทำให้มันเป็นลูกไฟที่จะจัดการกับมอนเตอร์ได้ หากคำนวณพลังงานที่เขาจะต้องใช้ทั้งหมดแล้วเขาจะต้องใช้พลังงานเทียบเท่ากับการที่เขาใช้ลูกไฟปกติถึงสี่ลูกเลยทีเดียว
โนอาห์รู้สึกว่ามันไม่คุ้ม เพราะบางทีมันอาจจะดีกว่าถ้าเขาโยนลูกไฟอีกลูกหนึ่งออกไปแทน แต่เมื่อเห็นลูกไฟพุ่งเข้าใส่หมูป่าเต็มๆก่อนที่มันจะตกลงพื้น ทำให้ผิวของมันเปราะบางมากขึ้นในเศษเสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะตกลงพื้น หลังจากนั้นข้อความในหน้าต่างสีดำที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นและบอกเขาว่าเขาได้รับคะแนนค่าประสบการณ์ 5 หน่วย และนั่นมากกว่าที่เขาได้รับจากการฆ่านกคลั่งที่ถูกโจมตีจากเพื่อนร่วมทีมของเขาถึง 3 หน่วย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่ามันคุ้มค่าเล็กน้อย
เนื่องจากเขาบุกเข้ามาในป้อมปราการพร้อมกับกลุ่ม ด้วยเหตุผลบางอย่างค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับจึงลดลง นี่คือสิ่งที่ทำให้โนอาห์ไม่เข้าใจมากๆ เนื่องจากไม่มีใครนอกจากตัวเขาเองที่มีระบบเขาจึงรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล แต่เขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ เว้นแต่เขาจะมองหาวิธีอื่นเพื่อให้ได้ค่าประสบการณ์มากขึ้น นั่นคือการสร้างความเสียหายให้มากขึ้นและเป็นผู้ส่งการโจมตีครั้งสุดท้ายออกไปปลิดชีพมอนเตอร์พวกนั้น
ผู้ถูกเลือกระยะประชิดได้วิ่งไปหาหมูป่าที่ตกลงมาจากนกคลั่งเพื่อจบชีวิตมันก่อนที่มันจะฟื้นตัวและอาจทำให้กลุ่มมีปัญหามากยิ่งขึ้น แต่เมื่อพวกเขาเข้าใกล้มัน พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าหมูป่าตัวนั้นกรีดร้องอย่างสิ้นหวังขณะที่มันวิ่งมาทางพวกเขา แต่จริงๆแล้วมันได้ตายจากลูกไฟก่อนที่จะมาถึงพวกเขาแล้วด้วยซ้ำ
ตอนแรกพวกเขาแปลกใจมากที่เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าร่วมกลุ่มของเขาสามารถโจมตีหมูป่าได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าพรของเขาที่เขาครอบครองอยู่นั้นยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้มาก
กลุ่มผู้ถูกเลือกทิ้งความคิดนั้นไว้ทีหลังและหันกลับไปช่วยเหลือแนวหลังเพื่อจัดการกับนกคลั่ง แต่เมื่อพวกเขาหันกลับมาพวกเขาก็ต้องเห็นภาพเดิมซ้ำเหมือนกับที่พวกเขาเห็นภาพของหมูป่าเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ร่างกายของนกคลั่งกำลังถูกเปลวไฟเผาไหม้อยู่เช่นเดียวกัน มันกำลังบิดไปมาด้วยความเจ็บปวดและกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง เห็นได้ชัดว่ามันกำลังดิ้นอยู่บนพื้นและขอความช่วยเหลืออยู่
เมื่อมาร์เซลมองไปที่ผู้ถูกเลือกที่อยู่แนวหลัง เขาก็เห็นว่าไม่มีใครที่ไม่มีสีหน้าที่ตกใจ ไม่ว่าจะเป็นทั้งนักเวทย์หรือนักธนูก็ตาม พวกเขาถูกแช่แข็งอยู่ในท่าโจมตีราวกับว่าพวกเขากำลังเตรียมที่จะโจมตีศัตรูที่น่าเกรงขาม แต่ทว่าศัตรูตัวนั้นเพิ่งหายตัวไปในทันที ทำให้พวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรต่อไปในตอนนี้
แต่แทนที่ศัตรูตัวนั้นจะหายไป ในความเป็นจริงนั้นศัตรูที่พวกเขากังวลว่าจะรับมือยังไงกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและปล่อยความโกรธของมันออกไป เหลือแต่เพียงเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ตามที่เห็นมัน ผู้ถูกเลือกบางคนที่มีจิตใจเปราะบางถึงกับรู้สึกสงสารเล็กน้อยต่อมอนเตอร์ผู้น่าสงสารที่กำลังถูกเผาไหม้อยู่ในขณะนี้ เพราะเพียงแค่พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของพวกมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความทุกข์ทรมานที่พวกมันกำลังต้องเผชิญเพื่อพยายามอดทนกับเปลวเพลิงแปลกๆเหล่านี้อยู่
มาร์เซลเป็นหัวหน้ากลุ่ม ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเขาต้องตัดสินใจอย่างฉลาดที่สุดสำหรับความต้องการของกลุ่ม ไม่ว่าคนในกลุ่มจะรู้สึกเจ็บปวด โกรธ หรือรู้สึกอย่างอื่นจากการตัดสินใจของเขา เขาก็จะต้องแบกรับผลที่ตามมาจากการออกคำสั่ง
แต่เมื่อเขารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสพิเศษที่เขาไม่สามารถทิ้งได้ เขาในฐานะผู้ถูกเลือกที่ได้รับพรระดับ B เห็นว่าโนอาสห์ก็เป็นผู้ถูกเลือกที่ได้รับพรระดับสูงเช่นกัน ดังนั้นมาร์เซลจึงคิดว่าโนอาห์มีศักยภาพมากมายที่จะเป็นนักเวทย์ที่ดีที่สุดในกลุ่มของพวกเขา ดังนั้นโดยที่เขาไม่ต้องคิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง เขาจึงออกคำสั่งว่า
“โนอาห์ จากนี้ไปนายเป็นนักเวทย์หลักของกลุ่ม แจสเปอร์จะเป็นคนเดียวที่รับผิดชอบในการดึงดูดมอนเตอร์ เราไม่สามารถทำให้พรสวรรค์ของนายเสียเปล่าได้”
เมื่อได้ยินสิ่งที่มาร์เซลพูดใบหน้าของแจสเปอร์ก็เปลี่ยนสีไปทันทีในขณะที่เขากรีดร้องในใจว่า
‘นี่ไม่ใช่พรสวรรค์ที่แท้จริงของเขา เขามีความสามารถมากกว่าฉันในงานของฉันซะอีก!!!!’
น่าเสียดายสำหรับแจสเปอร์ ที่มาร์เซลไม่รู้ว่าโนอาห์สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าเขาขนาดไหน