กำเนิดใหม่ทายาทจอมมาร (Lucifer’s Descendant System) - ตอนที่ 76
เมื่อข้ามประตูมิติไปแล้ว ทั้งกลุ่มก็ได้พบกับสถานการณ์แปลกๆเป็นครั้งแรก แทนที่พวกเขาจะได้อยู่ในสถานที่เดิมๆเช่น ถ้ำ ป่า หรือทะเลทราย คราวนี้พวกเขากลับอยู่ในที่ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
โนอาห์เดินผ่านประตูมิติและรู้สึกว่าพื้นใต้เท้าของเขาเริ่มขยับ มันไม่ได้เคลื่อนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่มันกำลังขยับขึ้นลงราวกับว่าฐานที่เขาเหยียบกำลังประสบกับความไม่สม่ำเสมอ
เมื่อมองไปรอบๆเขาถึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนั้น มันเป็นเพราะโครงสร้างที่แปลกประหลาดรอบๆตัวพวกเขา พวกเขาอยู่ในรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่อยู่
เมื่อคนสุดท้ายเดินผ่านประตูมิติ ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่เห็นรอบตัวพวกเขา ในป้อมปราการระดับ E ไม่มีพวกนี้ มอนสเตอร์ที่พวกเขาต้องรับมือในป้อมปราการระดับ E นั้นดังเดิมเป็นอย่างมาก
พวกเขารู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสน้อยมากที่พวกเขาจะเจอป้อมปราการที่มีอารยธรรมที่ก้าวหน้าในหมู่ป้อมปราการระดับ D
เพราะความเป็นไปได้นั้นต่ำมากจนแม้แต่ผู้ถูกเลือกที่บุกป้อมปราการระดับ D มาสองสามปีก็ยังไม่ค่อยจะเจอเลยด้วยซ้ำ และเมื่อพวกเขาไม่เจอป้อมปราการที่มีอารยธรรมที่ก้าวหน้าพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องพบเจอกับมอนเตอร์ที่วิวัฒนาการมามากจนสามารถแสดงสติปัญญาที่แท้จริงออกมาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดว่าพวกเขาจะ “โชคดี” ไปตกอยู่ในป้อมปราการเช่นนั้น
ข้อได้เปรียบของมนุษย์ที่อยู่เหนือมอนเตอร์ไม่ใช่ความสามารถทางกายภาพหรือพลังเวทย์ที่ทรงพลัง แต่เป็นสติปัญญาและการสื่อสารที่ประสารกันของมนุษย์ นั่นทำให้มนุษย์ได้เปรียบมอนเตอร์ในเวลาที่พวกเขาเผชิญหน้ากัน
แต่ในป้อมปราการแบบนี้ ความได้เปรียบนั้นไม่ได้ให้ผลเช่นเดิม มันอาจจะได้ผลน้อยลง
แต่กลุ่มของพวกเขามีการทำงานร่วมกันในแบบที่กลุ่มอื่นไม่มี ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถผ่อนคลายได้มากขึ้นเมื่อต้องรับมือกับมอนเตอร์ เพราะพวกเขาสามารถที่จะรักษาข้อได้เปรียบนั้นได้ไว้
แจสเปอร์กังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าป้อมปราการมีลักษณะอย่างไร เขาคิดว่ามันจะต้องลำบากมากที่จะต้องดึงความสนใจของมอนเตอร์เหล่านี้ที่ไม่ได้ตอบสนองด้วยสัญชาตญานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกมันยังคิดและตัดสินใจอย่างมีเหตุผลด้วย
แต่เมื่อเขาจำได้ว่าเขาจะไม่ใช่คนเดียวที่ทำแบบนั้นในป้อมปราการแห่งนี้ และโนอาห์จะช่วยเขาด้วย หรือโนอาห์จะเป็นคนแรกที่จะทำเช่นนั้น มันก็ทำให้แจสเปอร์เบาใจลงได้ เพราะเขาสามารถสังเกตการกระทำของโนอาห์ และเมื่อเขาเห็นสิ่งที่โนอาห์ทำเขาก็จะสามารถนำวิธีนั้นมารวมเข้ากับวิธีของเขาเพื่อที่จะทำให้เขาได้กลยุทธ์ที่จะใช้ตอบโต้กับมอนเตอร์หรือป้อมปราการแห่งนี้ได้
เหตุผลที่เขาต้องนำมารวมกันนั้นเนื่องจากเพราะวิธีการของโนอาห์และแจสเปอร์ต่างกันมาก เพราะขณะที่แจสเปอร์ต้องวิ่งเข้าหามอนเตอร์และใช้ความเร็วสูงสุดของเขา โนอาห์จะสามารถเคลื่อนไหวได้ทันที และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ดวงตาของแจสเปอร์เป็นสีเขียวด้วยความอิจฉา
โนอาห์เหลือบมองไปรอบๆรถไฟแปลกๆที่พวกเขาอยู่และสังเกตว่าถึงแม้จะเป็นรถไฟ แต่เทคโนโลยีที่ใช้บนรถไฟนั้นก็ยังล้าหลังกว่ารถไฟที่มนุษย์ผลิตขึ้นหลายศตวรรษ มันแตกต่างกันที่มีควันจำนวนมากที่ก่อตัวขึ้นที่ภายนอก มันอาจจะขัดต่อกฏหมายอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งหมดเลยก็ได้
สิ่งที่บอกได้จากสิ่งที่เขาเห็นคือ มอนเตอร์ที่ควบคุมรถไฟขบวนนี้จะไม่ได้โง่เหมือนกับมอนเตอร์ที่พวกเขาเผชิญตามปกติ เพราะการที่มอนเตอร์สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้นั้นมันหมายความว่าพวกมันก็เหมือนกับมนุษย์ที่พัฒนาสิ่งต่างๆในโลกของพวกเขา
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าโนอาห์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีวิวัฒนาการ เนื่องจากในขณะที่เขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ F เขาก็ได้เห็นความโง่เขลามากมายที่มนุษย์ได้ก่อขึ้นจนบางครั้งเขาถึงกับสงสัยว่าเขาเป็นสายพันธุ์กับคนเหล่านี้จริงๆยังงั้นหรอ
เมื่อทรงตัวและอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในรถไฟแล้ว ทั้งกลุ่มก็เริ่มเดินเข้าสู่ขบวนรถไฟ
สิ่งที่แตกต่างจากรูปแบบปกติที่พวกเขาทำในป้อมปราการระดับ E คือโดยปกติแล้วโนอาห์จะอยู่ด้านหลังพร้อมกับนักเวทย์และแจสเปอร์จะอยู่ด้านหน้าคนเดียว คราวนี้โนอาห์อยู่กับแจสเปอร์ด้านหน้าในขณะที่ด้านหลังมีนักเวทย์อยู่
เดิมทีโนอาห์ถูกเรียกให้เข้าร่วมทีมเพื่อเติมตำแหน่งว่างสำหรับสมาชิกของกลุ่มที่เสียชีวิตไป และคนๆนั้นก็มีบทบาทเหมือนกับแจสเปอร์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แปลกใจกับรูปแบบนี้
ภายในรถไฟมีแสงสว่างน้อยมาก รถไฟขบวนนี้เหมือนจะไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าเลยด้วยซ้ำ โนอาห์คิดว่าตัวอะไรก็ตามที่สร้างรถไฟขบวนนี้ขึ้นมายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับไฟฟ้าเลย ดังนั้นเขาจึงคิดว่ารถไฟขบวนใหญ่ขบวนนี้เป็นรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยถ่านหิน
โนอาห์รู้สึกซาบซึ่งมากสำหรับบทเรียนวิดีโอประวัติศาสตร์ที่เขาดูในตอนที่เขามองหาเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ในการบุกป้อมปราการระดับ F
เนื่องจากในรถไฟมีแสงน้อยและแสงเดียวที่ส่องสว่างภายในรถไฟคือแสงที่มาจากแสงอาทิตย์ที่ผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาและทำให้พวกเขาเห็นทางเดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะมันเป็นรถไฟโบราณจึงทำให้ทางเดินค่อนข้างกว้าง ทางเดินสามารถเดินได้สิบคนโดยที่สามารถยืนข้างกันได้โดยที่ไม่รู้สึกคับแคบ
ลักษณะพิเศษอีกอย่างในป้อมปราการแห่งนี้คือป้อมปราการแห่งนี้เป็นเส้นทางตรงซึ่งมันแตกต่างจากป้อมปราการปกติที่พวกเขาสามารถเลือกทิศทางและเพิกเฉยต่อมอนเตอร์ต่างๆได้ แต่ในป้อมปราการนี้พวกเขาไม่สามารถทำได้ พวกเขามีทางเดียวเท่านั้นที่จะไปได้ และเพื่อที่พวกเขาจะไปต่อได้พวกเขาอาจจะต้องฆ่ามอนเตอร์ทั้งหมดที่พวกเขาพบ
แต่สิ่งนี้โนอาห์ไม่ได้กังวลเลย เพราะเขาเป็นผู้ที่ต้องการมอนเตอร์อย่างเร่งด่วนเพื่อที่เขาจะฆ่าและรับค่าประสบการณ์จากมันเพื่อเพิ่มระดับของเขา
ขณะที่พวกเขาเดินผ่านเก้าอี้ที่วางอยู่ไปเรื่อยๆ เขาก็มาถึงจุดสิ้นสุดของโบกี้แรกของขบวนรถไฟ โนอาห์ที่เป็นหน่วยสอดแนมของทีมก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับเปิดประตูเพื่อไปสู่โบกี้ที่สองของขบวนรถไฟ
โบกี้ที่สองนี้แตกต่างจากโบกี้ก่อนอย่างมาก ในโบกี้นี้แทนที่จะเป็นเก้าอี้ที่สะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารที่จะนั่ง แต่มันกลับเต็มไปด้วยกล่องโลหะหลายกล่องวางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบซึ่งทำให้ส่วนข้างของโบกี้ถูกกีดขวางไว้อย่างสมบูรณ์
นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเพราะมันหมายความว่ามันจะต้องมีมอนเตอร์ให้พวกเขาจัดการภายในโบกี้ แต่มันก็เป็นสัญญานที่ดีเช่นกันเพราะสิ่งที่พวกเขากำลังจะเจอน่าจะเป็นมอนเตอร์กลุ่มเล็กๆและพวกเขาจะไม่ต้องเปลี่ยนเป็นการต่อสู้เต็มรูปแบบ
แต่ก็ยังมีบางอย่างในใจของโนอาห์ที่บอกเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติ ยิ่งเขาเดินไปตามรถไฟมากเท่าไรเขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ดูเหมือนว่าเขากำลังจะมาจัดการกับมอนเตอร์ แต่ศัตรูของพวกเขาเป็นอย่างอื่นซึ่งเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร
ทั้งกลุ่มค่อยๆเคลื่อนที่อย่างช้าๆ
ปัจจุบันค่าประสบการณ์ของโนอาห์อยู่ที่ 392 แต้มจาก 400 แต้ม ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือให้มอนเตอร์บางตัวปรากฏขึ้นในไม่ช้า เขากังวลมากว่าจะเป็นทักษะใดของเขาที่จะได้รับการเพิ่มเลเวลในตอนที่เลเวลของเขาเพิ่มขึ้น
แม้ว่ากลุ่มของพวกเขาจะเดินไปตามโบกี้เป็นเวลาสองถึงสามนาที กลุ่มของพวกเขาก็ยังไม่เจอมอนเตอร์เลยแม้แต่ตัวเดียว
ไม่ใช่แค่มอนเตอร์เท่านั้นที่พวกเขาหาไม่เจอ จุดสิ้นสุดโบกี้นี้พวกเขาก็ยังหาไม่เจอเช่นกัน ตอนแรกพวกเขาคิดว่านี่เป็นเพียงโบกี้ใหญ่ๆที่ใหญ่กว่าโบกี้ก่อนที่เขาเจอ แต่โบกี้ที่เขาอยู่ตอนนี้เหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อพวกเขาเดินอยู่ในโบกี้ที่สองนี้นานกว่า 15 นาที ในที่สุดพวกเขาก็เจอปลายทางและมันก็ยังทำให้กลุ่มของเขาเริ่มกังวลเพราะตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาต้องจัดการกับศัตรูประเภทไหน
เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาคิดจะปีนขึ้นไปบนกล่องเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นจุดสิ้นสุดของโบกี้นี้ แต่กล่องโลหะที่ซ้อนกันทั้งหมดก็สูงถึงเพดานของขบวนรถไฟนี้ทำให้ไม่มีที่ว่างที่ใครสามารถมองผ่านไปได้
พวกเขาพยายามหาทิศทางที่จะไปโดยการที่พวกเขาจะทำลายกล่องเหล่านั้นและเปิดทางให้ใหญ่ขึ้น แต่กระทั่งผู้ถูกเลือกที่ชื่อว่า บิ้กบูลล์ ที่ได้รับพรในด้านพละกำลังของกระทิง เขาก็ไม่สามารถขยับกล่องได้เกินสองถึงสามเซนติเมตร พวกเขาจึงจำใจต้องเดินตามเส้นทางที่เล็กลงนี้ต่อไป
ยิ่งพวกเขาเดินผ่านสถานที่ที่น่าอึดอัดนี้มากเท่าไหร่ ความกังวลของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
นี่เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อต้องรับมือกับมอนเตอร์ที่ฉลาดกว่ามอนเตอร์ปกติที่จะทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง
เพราะพวกมันเป็นเช่นเดียวกับมนุษย์ที่ถึงแม้พวกมันจะมีร่างกายที่อ่อนแอกว่า แต่กลวิธีที่พวกมันจะใช้ในการจัดการกับศัตรูนั้นอันตรายกว่ามาก และจากสิ่งที่พวกเขาเห็นตอนนี้พวกเขาคิดว่าพวกเขาอาจจะตกลงไปในกับดับของมอนเตอร์ที่พวกเขากำลังจะเผชิญอยู่
ทันใดนั้น ความแปลกประหลาดที่พวกเขารู้สึกขณะเดินไปมาระหว่างโบกี้ของตู้บรรทุกสัมภาระที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอันตรายทันทีที่พวกเขาสังเกตเห็นรอยเลือดยาวที่ลากไปตามทางที่ตัดกันระหว่างกล่อง รอยเลือดนี้ทำให้กลุ่มของพวกเขาเข้าสู่ทางตันที่จะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
โนอาห์ซึ่งอยู่หน้ากลุ่มจึงหันไปถามผู้ถูกเลือกที่เหลือว่า
“เราควรทำยังไงดี รอยเลือดนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเราจะพบบางอย่างที่เราจะต้องต่อสู้ด้วยหากเราเดินทางรอยเลือดนี้ไป แต่ถ้าหากเราเลือกที่จะไม่สนใจรอยเลือดนี้และหาเส้นทางอื่นก็เหมือนกับพวกเราเลือกความปลอดภัยและไม่ต้องการพบกับมอนเตอร์ระดับ D ตัวนี้ที่เป็นไปได้ว่ามันเป็นคนทำให้เกิดรอยเลือดนี้ขึ้น”
เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูด ผู้ถูกเลือกบางคนซึ่งไม่มั่นใจนักในตอนที่เข้าสู่ป้อมปราการระดับ D จึงคิดว่าพวกเขาควรจะไม่สนใจต่อรอยเลือดนี้และพยายามหาทางออกจากรถไฟขบวนนี้โดยหลีกเลี่ยงทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา
แต่ในขณะนั้น มาร์เซลกลับคิดต่างจากคนอื่นๆ
“เราต้องตามรอยเลือดนี้ไป ไม่อย่างนั้นเราจะต้องเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายระหว่างกล่องพวกนี้ บางทีเราอาจต้องอยู่ในเขาวงกตนี้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเราอาจจะต้องอดตายหรืออะไรสักอย่าง อย่างน้อยการตามรอยเลือดนี้ไปก็รับประกันได้ว่าเราจะพบกับมอนเตอร์และทางออกอื่นๆที่เป็นไปได้ เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อค้นหาสถานที่ปิกนิกในสวนสาธารณะ แต่พวกเรามาที่นี่เพื่อค้นหาเลือด เพื่อค้นหามอนเตอร์ที่เราจะฆ่าและรางวัลที่เราจะได้รับ!”
คำพูดของมาร์เซลมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของทีมอย่างมาก และโนอาห์ก็สังเกตเห็นแล้วว่ามาร์เซลมีความเป็นผู้นำที่ดีอย่างแท้จริง
“ไปกันเถอะ” โนอาห์พูดอย่างเงียบๆขณะที่เขามองดูรอยเลือดบนพื้นซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันถูกสร้างโดยสิ่งมีชีวิตที่ถูกลากด้วยบาดแผลเปิดขนาดใหญ่