กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 101 เสื้อเกราะโชกเลือด
กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 101 เสื้อเกราะโชกเลือด
“เรื่องเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ด่านหน้ารายงานว่า ทางตอนใต้ของนครถูกตีแตกแล้ว ทหารหกหมื่นนายของเราได้บุกเข้าโจมตีนคร คาดว่าไม่นานก็จะสามารถยึดครองหวังเฉิงได้” ใบหน้าชวนผิงเปื้อนรอยยิ้ม
ซ่งชูอีแปลกใจอยู่ในใจเล็กน้อย หรือว่ารัฐเจ้าจะมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจริงๆ?
“อืม” เจ้าอี่โหลวตอบอย่างเรียบง่าย
ชวนผิงเห็นดังนี้ก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า กล่าวด้วยความนอบน้อม “อีกอย่าง เมื่อคืนองค์ชายฟ่านรับสั่ง ก่อนที่จะสามารถยึดครองหวังเฉิงได้ทั้งหมด ห้ามท่านซ่งออกจากค่ายโดยมิได้รับอนุญาต อีกทั้ง…” เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “องค์ชายก็ไม่สามารถออกจากกระโจมได้”
นี่เทียบเท่ากับการกักบริเวณ ทว่าเจ้าอี่โหลวมิได้ใส่ใจ ถึงไม่มีคำสั่งแล้วอย่างไรหรือ? ก่อนหน้านี่ก็ถูกขังไว้ที่นี่อยู่แล้วมิใช่หรือ?
ส่วนซ่งชูอีก็มิได้ประหลาดใจกับคำสั่งเช่นนี้ แต่เพียงมีความอยากรู้อยากเห็นในองค์ชายฟ่านคนนี้มาก นางรู้สึกได้ว่าชวนผิงมีความปรารถนาดีต่อเจ้าอี่โหลวเสมอมา จึงถามขึ้น “ไม่ทราบว่าองค์ชายฟ่านมีตำแหน่งใด?”
ชวนผิงกระตือรือร้นที่จะแสดงออกต่อหน้าเจ้าอี่โหลว ในใจเขามีความยินดียิ่งที่ซ่งชูอีให้โอกาสนี้แก่เขา ทว่ากลับเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและจริงจัง “ตำแหน่งของท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ทว่าองค์ชายฟ่านไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพใหญ่”
“เพราะเหตุใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“องค์ชายฟ่านอารมณ์ไม่แน่นอน ข้าน้อยก็ไม่มีทางคาดเดาได้” ชวนผิงตอบ
ซ่งชูอีเดาคิดน่าจะเป็นเพราะองค์ชายผู้นี้จัดอันดับตัวเองในบรรดาองค์ชาย และรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของสายเลือดนั้นล้ำค่ายิ่งกว่าตำแหน่งท่านแม่ทัพ
“ข้าหลับไปนานแค่ไหน?” ซ่งชูอีหันไปถามเจ้าอี่โหลว
“หนึ่งวัน” เจ้าอี่โหลวตอบ
ดูเหมือนว่าองค์ชายฟ่านจะมีชัยชนะในครั้งนี้ แม้นจะตั้งตาคอยเป็นเวลานานนับเดือน ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบุกเข้าไปในหวังเฉิงภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน
ชวนผิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง กำลังเตรียมคิดหัวข้อคุยกับซ่งชูอี พลันได้ยินเสียงสง่างามของชายผู้หนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก “หวาหรงเจี่ยนขอเข้าเฝ้าองค์ชาย”
เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชวนผิงเห็นอาการน้อยๆ ของเจ้าอี่โหลวเช่นนี้ หัวใจกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข ที่แท้ความพยายามของเขาในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ได้ผลดีมาก อย่างน้อยจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เคยถูกปฏิเสธ
ซ่งชูอีเห็นว่าเจ้าอี่โหลวมิได้ไหวติงอยู่นาน จึงพูดขึ้น “เชิญเข้ามา”
หวาหรงเจี่ยนยังมิเคยได้ยินเสียงของเจ้าอี่โหลวมาก่อน นึกว่าเขาเป็นผู้พูด จึงเลิกผ้าม่านเดินเข้ามาแล้ว
ซ่งชูอียกถ้วยชาขึ้น ทันทีที่จรดริมฝีปากปาก ก็เห็นเด็กหนุ่มในชุดพร้อมเครื่องศีรษะท่าทางอนาคตไกลผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาสวมชุดเซินอีแขนกว้างปักลายเถาวัลย์สีขาวคาดเอวด้วยผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม มีขนแรคคูนพันอยู่รอบคอ รูปร่างสูงโปร่ง มิได้ดูแข็งแรงหรือบอบบางจนเกินไป แม้นใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าให้ความรู้สึกไม่เป็นมิตรอย่างน่าประหลาด
หวาหรงเจี่ยนสะบัดแขนเสื้อ ประสานมือคารวะเจ้าอี่โหลว “กระหม่อมถวายบังคมองค์ชาย”
ซ่งชูอีไม่สามารถก้าวก่ายในสถานการณ์เช่นนี้ได้ จึงจิบน้ำคำหนึ่ง ระหว่างที่ก้มหน้าก็ส่งสายตาให้กับชวนผิง
ชวนผิงเข้าใจในทันที รีบเปลี่ยนหัวข้อ “คิดว่าพี่หรงเจี่ยนคงได้ยินแล้วว่าองค์ชายฟ่านมีคำสั่งให้กักบริเวณ”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ ก็คือเหตุผลที่เจ้าอี่โหลวไม่สนใจเขาเพราะว่ายังขุ่นเคืองกับเรื่องนี้ หาใช่เพราะมีอคติกับเขาไม่ อีกทั้งก็เป็นการไว้หน้าหวาหรงเจี่ยนอีกด้วย
“เพราะเช่นนี้นี่เอง” ทั้งๆ ที่หรงเจี่ยนรู้ว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนี้ ทว่าทำได้เพียงหัวเราะเบาๆ ไปตามสถานการณ์ “หากองค์ชายฟ่านประสงค์ที่จะออกไปก็ออกไปเถิด แม้นองค์ชายฟ่านจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ ทว่าคิดจะควบคุมองค์จวินแห่งรัฐได้หรือ?”
ซ่งชูอีวางถ้วยน้ำชาลง นึกในใจ บัดนี้สกุลหวาขัดแย้งกับองค์ชายฟ่านแล้ว สกุลอู่จะต้องมาทีหลังแต่แซงหน้าไปก่อนเป็นแน่ พวกเขาจะต้องทำให้องค์ชายฟ่านและสกุลหวาไม่อาจลืมได้ว่ายังมีสกุลอู่อยู่
ที่จริงหากต้องการดำเนินการเรื่องนี้ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วย ถึงอย่างไรแล้วอำนาจของสกูลอู่ก็ไม่อาจเป็นที่ละเลยได้ ตราบใดที่เจ้าอี่โหลวแสดงความไว้วางใจต่อชวนผิงมากกว่านี้อีกหน่อยและเตือนสติทั้งสองฝ่ายว่าไม่ให้หมกมุ่นอยู่กับการกักขังตน
“หึหึ เมื่อครู่ได้ยินท่านผิงกล่าวว่า จี้จื่อแห่งสกุลหวานั้นบุคลิกไม่สามัญ ชวนให้หลงใหลตั้งแต่แรกเห็นอย่างแท้จริง” ความหมายของจี้จื่อก็คือ “บุตรชายคนเล็ก” ซึ่งหมายความว่าหวาหรงเจี่ยนมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องสกุลหวา ซ่งชูอียิ้มพร้อมลุกขึ้นยืน โค้งคารวะให้กับหวาหรงเจี่ยน “ข้าน้อยซ่งหวยจิน เป็นสหายขององค์ชายอี่โหลว เห็นว่าคุณชายมีบุคลิกที่สง่างามตั้งแต่แรกเห็น จึงพูดจาโผงผาง ได้โปรดคุณชายอย่าถือสา”
หวาหรงเจี่ยนประหลาดใจเล็กน้อย ข้อหนึ่งประหลาดใจที่เจ้าอี่โหลวยังมีสหายในแวดวงบัณฑิต อีกทั้งผู้ที่บอกให้เขาเข้ากระโจมมาเมื่อครู่ก็คือเด็กหนุ่มผู้นี้ ข้อสองเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้าสะอาดสดชื่นของเจ้าอี่โหลวอย่างชัดเจน มันคือความสง่างามแสนพิเศษที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ข้อสามเขาแปลกใจที่ชวนผิงชมเขาต่อหน้าเจ้าอี่โหลว?
ชวนผิงแปลกใจว่าตนเคยพูดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ทว่าที่ซ่งชูอีพูดก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเลวร้ายกระไร จึงมิได้แสดงอาการสงสัยออกมาทางใบหน้า
“จี้จื่อไม่พูดจา หรือว่าถือสาหวยจิน?” เจ้าอี่โหลวเอ่ยเย็นชา
หวาหรงเจี่ยนยิ้มเอ่ยน้อยๆ “มิบังอาจ ข้าเห็นว่าหน้าตาขององค์ชายหาผู้ใดเปรียบ จึงจ้องจนตกตะลึง” สิ้นวาจาก็โค้งต่ำให้กับซ่งชูอี “ได้โปรดท่านให้อภัย”
ซ่งชูอียื่นสองมือประคองเขา ทั้งสองคนต่างบ่ายเบี่ยงกันนั่ง
เจ้าอี่โหลวมุ่งเน้นความสนใจไปที่กระดานหมากต่อ ซ่งชูอีพูดคุยกับหวาหรงเจี่ยน ครั้นเห็นเขาเช่นนี้ก็รู้สึกกังวลในใจ ในขณะนี้เขาอาจพบว่ามันยากยิ่งที่จะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่ผู้คนต่างเอาชนะซึ่งกันและกัน ทว่าด้วยตำแหน่งของเขาที่ไม่อนุญาตให้เขาทำตามอำเภอใจนั้น หากทิ้งเขาไว้คนเดียวจริงๆ เขาจะไม่เหลือแม้กระทั่งซากเลยหรือเปล่า?
ไตร่ตรองอยู่หลายรอบ ก็คิดว่าคนเราล้วนเติบโตท่ามกลางความทุกข์ยากที่บีบคั้น เจ้าอี่โหลวมีนิสัยดื้อรั้นและค่อนข้างเข้มแข็ง ไม่น่าจะพ่ายแพ้ได้โดยง่าย
หวาหรงเจี่ยนรู้ดีว่าไม่สามารถสานความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับเจ้าอี่โหลวได้โดยตรง เขาจึงยอมแพ้ที่จะทำดีกับคนที่ไม่เคยเหลียวแล อย่างไรก็ดีตั้งแต่ซ่งชูอีมาอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มนั่นใส่ใจสหายคนนี้ไม่เบาเลยทีเดียว
เจ้าอี่โหลวมองดูซ่งชูอีที่พูดคุยราวกับปลากระดี่ได้น้ำ ก็ไม่มีกะใจเดินหมากอีก จึงหันไปหยอกเย้าไป๋เริ่น
สองวันหลังจากนั้น ซ่งชูอีก็มัวแต่ง่วนอยู่กับการจัดการความสัมพันธ์ ไม่มีเวลาสนใจพวกเขาสองคน
หลังอาหารค่ำ
ซ่งชูอีเริ่มเล่าเรื่องราวของสกุลหวา สกุลอู่ องค์ชายฟ่าน รวมถึงสกุลเล็กใหญ่อื่นๆ ให้เจ้าอี่โหลวฟัง พร้อมทั้งกำชับเขาว่าควรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยท่าทีเช่นไร
เจ้าอี่โหลวฟังอย่างตั้งใจ ครั้นเห็นว่านางเงียบไปก็อดถามมิได้ “เจ้าจะไปแล้วหรือ?”
ซ่งชูอีจิบน้ำคำหนึ่ง พยักหน้า “แม้นสองสามวันมานี้ข้ามิได้ข่าวคราวเรื่องสงคราม ทว่าก็พอสัมผัสได้เลือนลาง ข้านัดคนไว้สี่วันให้หลัง อีกทั้งยังมีคนที่มาพร้อมกับข้าในนคร ข้าไม่สามารถละทิ้งพวกเขาได้”
“องค์ชาย องค์ชาย!”
นอกกระโจม เสียงกรีดร้องของชวนผิงยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ซ่งชูอีลุกขึ้นเลิกผ้าม่านที่หนาและหนักขึ้น เห็นชวนผิงวิ่งกระหืดหระหอบเข้ามา “มีทหารในชุดเกราะรัฐเว่ย์อยู่นอกค่าย เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด บอกว่ามีนามว่าจี้ฮ่วน ท่านนายพันให้มาถามว่าท่านรู้จักคนผู้นี้หรือไม่ หากไม่รู้จักก็จะยิงธนูใส่เขาให้ตาย”
“จี้ฮ่วน! เขาเป็นผู้อารักขาของข้า!” ซ่งชูอีพูดพลางกระชากตัวชวนผิง เอ่ยว่า “พาข้าไปหาเขา!”
“องค์ชายได้โปรดกลับกระโจมพะย่ะค่ะ!” ยามอารักขาขวางเจ้าอี่โหลวที่ต้องการจะตามไปด้วย
………………………….