กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 102 เจ้าเสี่ยวฉงผู้อวดเก่ง
กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 102 เจ้าเสี่ยวฉงผู้อวดเก่ง
“คิดจะหยุดข้า ก็ข้ามศพข้าไปก่อน!” เจ้าอี่โหลวพูดจบก็ก้าวเดินออกไปข้างหน้าโดยไม่กลัวคมดาบเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าร่างกายกำลังจะสัมผัสกับคมมีด ยามผู้อารักขาก็รีบเก็บดาบทันที ส่งสายตาให้กันและกัน คนหนึ่งรีบวิ่งไปรายงานองค์ชายฟ่าน อีกคนนำทหารสิบกว่านายวิ่งตามเขาออกไปจากกระโจมใหญ่
เจ้าอี่โหลวกล่าวเช่นนี้ ทว่าไม่มีใครคิดว่าเขาอยากฆ่าตัวตาย พวกเขาล้วนเคยเห็นความดุร้ายของเจ้าอี่โหลวมาก่อน ขณะที่ถูกล้อมจับในรัฐเว่ยนั้น เจ้าอี่โหลวขัดขืนอย่างไม่รักตัวกลัวตาย ราวกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่ถูกกักขังไว้ไร้ซึ่งหนทาง อีกทั้งยังแข็งแรงยิ่ง มีผู้เสียชีวิตห้าคนและบาดเจ็บสิบกว่านายก่อนที่เขาจะถูกควมคุมตัวไว้ได้
หากหุนหันพลันแล่นขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็ไม่สามารถฆ่าเจ้าอี่โหลว ไม่แน่ว่าผู้คนบาดเจ็บและล้มตายอาจจะเป็นพวกเขาเสียเอง
เจ้าอี่โหลววิ่งไปกับซ่งชูอีจนถึงหน้าประตูใหญ่ เห็นบุรุษรูปร่างกำยำดุจขุนเขาผู้หนึ่งยืนค้ำดาบห่างออกไปสิบจั้ง หนวดเครายุ่งเหยิงราวกับวัชพืช สีหน้าดำคล้ำถูกปกคลุมไปด้วยเลือดและฝุ่น เสื้อเกราะบนตัวแตกหักเล็กน้อย เขาคือจี้ฮ่วนจริงๆ
ลูกศรของมือธนูโดยรอบอยู่บนสายธนูแล้ว ซ่งชูอีสาวเท้าเข้าไปหาจี้ฮ่วน
ไม่รอให้ซ่งชูอีเอ่ยถาม จี้ฮ่วนก็กล่าวด้วยความร้อนรน “ท่านหวยจิน ฝ่าบาทส่งคนมาจับกุมท่านแล้ว ท่านรีบหนีไปเถิด!”
ซ่งชูอีเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ นางยังนึกว่าเพราะจี้ฮ่วนขัดขืนกองทหารรัฐเจ้าจึงได้ตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมเช่นนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้รับข่าวนี้!
เจ้าอี่โหลวเอ่ย “เขาบาดเจ็บ เข้าไปก่อนเถิด”
“ไป” ซ่งชูอียื่นมือประคองจี้ฮ่วน ตรงเข้าไปในกระโจมของเจ้าอี่โหลวทันที
ชวนผิงรีบไปเชิญหมอมาช่วยจี้ฮ่วนพันบาดแผล
ต้นขาของจี้อฮ่วนถูกดาบแทงบาดเจ็บ บาดแผลไม่ใหญ่ทว่าลึกมาก เลือดที่ไหลซึมออกมาแพร่กระจายเป็นวงกว้าง
ท่านหมอใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองเค่อในการพันแผลทั้งตัวจี้ฮ่วนจนเสร็จสิ้น
“ข้าจะออกไปก่อน หากหวยจินมีเรื่องใดก็เพียงสั่งคนไปเรียกข้า” ชวนผิงพูดคุยกับซ่งชูอีหลายวันก็เริ่มเรียกเพียงชื่อรองของกันและกันแล้ว
หลังจากซ่งชูอีส่งเขาออกนอกกระโจม ก็รีบกลับเข้าห้องไป เอ่ยขึ้น “จี้ฮ่วน เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านขอรับ” จี้ฮ่วนต้องการลุกขึ้นนั่งแต่กลับถูกซ่งชูอีปรามไว้ เขาทำได้เพียงเอนตัวลงนอนต่อ “ข้าก็ไม่ใคร่เข้าใจนักว่าเกิดเรื่องกระไรขึ้น ข้าได้ยินท่านนายพลจี๋กล่าวว่า คล้ายมีพ่อค้าชาวเจ้าเดินไปทางยังผูหยาง บอกว่าท่านกำลังเจรจาหว่านล้อมให้เจ้าโหวโจมตีรัฐเว่ย…”
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว “แสดงว่ามีคนทำให้เรื่องนี้รั่วไหลงั้นรึ”
เว่ย์โหวจะต้องคิดว่าซ่งชูอีหักหลังเจ้านายเพื่อความรุ่งโรจน์ส่วนตนเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้จึงอาศัยช่วงที่รัฐเจ้ามีความวุ่นวายภายในส่งคนมาจับนางกลับไปสอบสวนโทษ?
เรื่องนี้มีเพียงเว่ย์โหว หลงกู่ชิ่งรวมถึงแขกที่ปรึกษาท่านอื่น หมิ่นฉือ จี๋อวี่และซ่งชูอีที่รู้ จี๋อวี่จงรักภักดีต่อรัฐเว่ย์ และไม่ใช่คนวู่วาม เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดโปงเรื่องนี้ ส่วนตระกูลของหลงกู่ปู้วั่งล้วนอยู่ในรัฐเว่ย์ แม้นจะรู้ความจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยเรื่องนี้ออกไป
เช่นเดียวกัน หลงกู่ชิ่งก็คงไม่ผลักตัวเองเข้าไปในหลุมเพลิง อีกทั้งการที่ตอนนั้นได้นำแขกที่ปรึกษามาอยู่ในจวนของตน แสดงให้เห็นว่าไว้ใจพวกเขามากพอ โดยพื้นฐานแล้วจึงสามารถตัดพวกเขาออกไปได้
คนที่น่าสงสัยที่สุดที่เหลืออยู่ก็คือเว่ย์โหวและหมิ่นฉือ
แน่นอนว่าเว่ย์โหวมิได้ทำเรื่องเลวร้ายโดยเจตนา ทว่าเขาได้บอกกับขุนนางท่านอื่นหรือเปล่า?
“หมิ่นฉือ…” ซ่งชูอีบ่นพึมพำ “จะเป็นเขาหรือเปล่า?”
หากเรื่องนี้มิได้แพร่งพรายมาจากทางเว่ย์โหวแต่เป็นหมิ่นฉือ เช่นนั้นก็ไม่อาจมองข้ามแผนการของเขาได้เลยจริงๆ!
ตัวยังอยู่ที่รัฐฉีและฉู่ แต่กลับยืดเหยียดมือได้ยาวถึงเพียงนี้?
“แล้วคนอื่นเล่า?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
จี้ฮ่วนเอ่ย “ล้วนถูกคนที่ฝ่าบาทส่งมาพาตัวกลับไปแล้ว นายพลจี๋สั่งให้ข้าฝ่าวงล้อมเพื่อมาบอกเรื่องนี้กับท่าน”
“เขาต้องการให้ข้าหนี หรือว่าตามกลับไปยังรัฐเว่ย์?” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น
เจ้าอี่โหลวก็พอจะเข้าใจเลือนราง เกรงว่าซ่งชูอีจะต้องไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด จากกันครึ่งปี เขายุ่งกับการเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน ทว่านางมีคนมากมายอยู่ข้างกายแล้ว
ครั้นออกมาจากห้อง เจ้าอี่โหลวถามขึ้น “เจ้าจะไปแล้วหรือ?”
“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้า อธิบายว่า “ข้าไม่อาจปล่อยให้คนที่ติดตามข้าต้องมาสละชีวิต ทว่าหากจะไป เกรงว่าก็ไม่ง่าย”
เจ้าอี่โหลวนั่งคุกเข่าลงข้างกระดานหมาก เอื้อมมือใช้นิ้วเล่นกับตัวหมากที่อยู่ด้านบน
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เจ้าอี่โหลวก็เอ่ยเสียงสูง “ทหาร!”
ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาจากหน้าประตูทันที ประสานมือเอ่ย “องค์ชาย”
“ไปเรียกชวนผิง” นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าอี่โหลวออกคำสั่งที่นี่ ทว่าเขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคย เมื่อหกปีก่อนเขาก็ยังเป็นองค์ชายสูงศักดิ์องค์หนึ่ง ความสูงส่งที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็กยังคงสลักอยู่ในสายเลือดและกระดูก
“ขอรับ!” นายทหารรับคำสั่งแล้วออกไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชวนผิงก็รีบวิ่งเข้ามา
“ข้าต้องการพบฟ่าน” เจ้าอี่โหลวมองดูชวนผิงที่ยังคงหายใจหอบ กล่าวถึงจุดประสงค์ทันที
ชวนผิงประหลาดใจ การมาของซ่งชูอีคล้ายทำให้เจ้าอี่โหลวมีความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง แม้นแววตาของเขายังเปี่ยมด้วยความตื่นตัว ทว่าการที่เขายอมดำเนินการก้าวแรกถือเป็นเรื่องดี
“พะย่ะค่ะ ข้าจะไปกราบทูลองค์ชายฟ่านบัดนี้” ในใจของชวนผิงยินดียิ่ง เจ้าอี่โหลวพึ่งพาเขามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด ต่อให้ภายภาคหน้าเขาจะเป็นเพียงขุนนางคนสนิทขององค์จวินหุ่นเชิดก็ตาม ก็เป็นอนาคตที่ไร้จุดสิ้นสุดแล้ว ตั้งแต่ไหนแต่มาเขาก็ไม่เคยมีความทะเยอะทะยาน ได้ที่มีปักหลัก มีความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“เจ้าจะไปพบองค์ชายฟ่านเพื่ออะไร?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
เจ้าอี่โหลวไม่สนใจนาง ก้มหน้าดูกระดานหมากต่อ
ซ่งชูอีเข้าไปใกล้ ยื่นมือจิ้มๆ เขา “เจ้าต้องการจะขอร้องให้องค์ชายฟ่านปล่อยเจ้าไปกับข้าเช่นนั้นหรือ?”
“ใครจะไปกับเจ้า!” เจ้าอี่โหลวเอ่ยเย็นชา
“เช่นนั้นก็คิดขอร้องให้เขาปล่อยข้า?” ซ่งชูอียื่นมือดึงเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง “ช่างเป็นหนุ่มน้อยที่แย่จริงๆ”
เจ้าอี่โหลวปัดมือของนางออกอย่างแรง กัดฟันกล่าว “ใครว่าข้าจะขอร้อง เหตุใดข้าต้องขอร้องเขา! อีกอย่าง อย่าเรียกข้าว่าหนุ่มน้อย!”
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะสั่งให้เขาทำเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีเอ่ย
เจ้าอี่โหลวเบือนหน้าหนี เริ่มเย้าแหย่ไป๋เริ่น
แม้ว่าเจ้าอี่โหลวจะมีนิสัยมุทะลุเหมือนหลงกู่ปู้วั่ง ทว่าหากเทียบกันแล้ว เจ้าอี่โหลวเป็นคนที่มีทิฐิสูง ไม่ว่าซ่งชูอีพูดอะไร เขาอาจจะโกรธทว่าจะไม่โต้ตอบกลับทันที
กิริยาต่อต้านของเจ้าอี่โหลวจะชัดเจนมากกว่า สำหรับวาจายียั่วนั้นไม่มีผลใดๆ สำหรับเขา
ไม่นานชวนผิงก็กลับมา “องค์ชาย องค์ชายฟ่านเชิญท่านเข้าเฝ้า”
เจ้าอี่โหลวลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก ซ่งชูอีหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วโยนให้เขา “ใส่เพิ่มอีกสักตัวเจ้าจะได้ร้อนตาย!”
“ข้าเป็นคนเยือกเย็น เจ้ารับมือไหวรึ!” เจ้าอี่โหลวปากแข็ง แต่มือของเขากลับสะบัดเสื้อคลุมออกแล้ววางพาดบนตัว
ซ่งชูอีสามารถเดาได้ว่าที่จริงแล้วเจ้าอี่โหลวต้องการหารือกับองค์ชายฟ่านเพื่อให้นางออกไป แม้นเจ้าอี่โหลวไม่ไป นางก็มีวิธีที่จะออกไป เพียงแต่หากเขาคิดจะอยู่ที่นี่ก็จำต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่ง สู้ถือโอกาสตอนที่นางยังอยู่และดูว่าเขาทำได้ถึงขั้นไหนจะดีกว่า
นางมองดูกระดานหมากที่ใกล้ดำเนินมาถึงตอนสุดท้าย ในใจคิดว่าบางทีเจ้าอี่โหลวอาจเหมาะแก่การเป็นองค์จวินก็ได้
ท่ามกลางโลกแห่งความวุ่นวายนั้น ความเป็นและความตายเป็นไปตามโชคชะตามิใช่การกำหนดของมนุษย์ ซ่งชูอีมีความคิดที่เห็นแก่ตัวเล็กน้อย การที่เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดสนใจของผู้คนมากมายเช่นนี้ นางก็สามารถรับข่าวคราวของเขาได้ทุกเมื่อ
ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว
รออยู่เนิ่นนานก็ไม่เห็นเจ้าอี่โหลวกลับมา ซ่งชูอีรู้สึกไม่ใคร่สบายใจนัก องค์ชายฟ่านคงมิได้จงใจทำให้เรื่องราวมันยากสำหรับเขาดอกกระมัง?
กำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นม่านก็ถูกเปิดพรวด เจ้าอี่โหลวเดินเข้ามาพร้อมกับสัมภาระขนาดใหญ่สองใบ ยัดใส่หน้าอกของซ่งชูอี “เจ้าไปเถิด ไปเสียบัดนี้เลย”
ซ่งชูอีวางสัมภาระลง จ้องมองรอยช้ำจางที่ใต้ตาและมุมปากของเขา บันดาลโทสะเล็กน้อย “องค์ชายฟ่านทำร้ายเจ้า?”
ชวนผิงตามเข้ามาด้วยเนื้อตัวสะบักสะบอม ได้ยินดังนี้ก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองเจ้าอี่โหลว กล่าวกับซ่งชูอีเสียงเบา “องค์ชายกับองค์ชายฟ่านทะเลาะกันขอรับ”
“อัยยา เจ้าเสี่ยวฉงอวดเก่งเสียแล้วหรือ?” ซ่งชูอีเย้ยหยัน
นางดึงเจ้าอี่โหลวนั่งลง ให้ชวนผิงนำยาแก้ฟกช้ำเข้ามา หันหน้าไปด่าเขาด้วยความโกรธ “เจ้านี่มันเขลานัก! รู้หรือไม่ว่าวิวาทกับองค์ชายฟ่านผลที่ตามมาจะร้ายแรงเพียงใด? องค์ชายฟ่านคนนั้นก็เสียสติไปแล้ว ยังจะวิวาทกับเจ้าอีก?”
…………………………………