กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 105 เหตุผลที่ทำให้สบายใจ
กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 105 เหตุผลที่ทำให้สบายใจ
ขณะที่ติดตามขบวนรถของเจินจวิ้นมาจนถึงประตูเมืองผูหยาง ท้องฟ้าก็มืดแล้วและประตูเมืองก็ปิดลงแล้ว
ขบวนรถหาพื้นที่ว่างนอกเมืองเพื่อจอดหลบลม คนรับใช้เริ่มก่อไฟและปรุงอาหาร
“ท่านขอรับ” ในที่สุดจี้ฮ่วนก็ฉวยโอกาสช่วงที่เจินจวิ้นไม่อยู่ “ท่านจะเข้านครจริงหรือ? แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงคนหยาบกระด้าง แต่ก็รู้ว่าครั้นข้าไปแล้วจะพบเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี…ท่านคิดหาวิธีได้แล้วหรือ?”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “แม้แต่ความกล้าหาญในจุดนี้ยังไม่มี แล้วจะคุยเรื่องทางการทูตได้เยี่ยงไร?”
ผู้ที่มีความทะเยอะทะยานในปัจจุบัน จำต้องมีความปรารถนาที่จะกำใต้หล้าไว้ในฝ่ามือ ในขณะเดียวกันก็จำต้องเสียสละชีวิตเพื่อทำให้อุดมคตินี้เป็นจริงได้ทุกเมื่อ จึงจะสามารถทำใจให้สบายได้
ในบางคราวบัณฑิตต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้แม้นต้องแย่งอาหารกับสุนัข ในบางคราวก็สามารถรับโทษและปลิดชีพตนได้เพียงเพราะคำพูดที่ผิดพลาดคำเดียว หรือบางคราวก็สามารถทำสัญญากับความตายได้ทันทีเพียงเพราะการทำงานที่มีอคติ …
ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘บุรุษยินดีอุทิศตนเพื่อผู้ที่ชื่นชมและเข้าใจตนเอง’
“ท่าน…” จี้ฮ่วนไม่เคยกลัวตาย แต่ก็เข้าใจความไร้กฎเกณฑ์ของบัณฑิต ทว่าเขารู้สึกว่าการที่เด็กสาวไร้กฎเกณฑ์ถึงขั้นที่สามารถสละชีวิตได้ ก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
แสงไฟวูบวาบสร้างความอบอุ่นให้แก่ใบหน้าของซ่งชูอี เปลวไฟเริงระบำสะท้อนอยู่ในดวงตา ขจัดบุคลิกอัน
เกียจคร้านตามปกติของนางออกไปจนหมดสิ้น
ไม่ว่าตามปกติแล้วนางจะไม่จริงจังเพียงใด เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องที่ควรจริงจัง นางก็จะไร้ความเฉื่อยชาโดยสิ้นเชิง
“ท่านซ่ง มาชิมเนื้อแกะย่างเถิด ข้านำเนื้อแกะนี้มาจากอี้ฉวี เนื้อแน่นอร่อยมากทีเดียว” เจินจวิ้นยกจานหม้อดินเข้ามาด้วยตัวเอง มีน่องแกะขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งที่เรืองแสงด้วยน้ำมันสีทองวางอยู่ด้านบน กลิ่นหอมสดชื่นลอยโชยมากระตุ้นความอยากอาหารในทันที
ซ่งชูอีหั่นเป็นชิ้นเล็กด้วยมีดแล้วนำเข้าปาก อุทานว่า “รสชาติดี”
“หลังจากเข้านครแล้ว ท่านวางแผนไว้เยี่ยงไร? ข้าพอจะมีเงินทองอยู่บ้าง ที่บ้านก็พอจะพักพิงได้ ถ้าหากท่านไม่รังเกียจก็ไปเป็นแขกที่บ้านข้าดีหรือไม่” เจินจวิ้นเติมสุราให้นางเต็มจอก
ได้คลุกคลีกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ ทว่าซ่งชูอีกลับรู้สึกประทับใจต่อเจินจวิ้นไม่น้อย พ่อค้าส่วนใหญ่ล้วนชอบคบค้าสมาคมกับบัณฑิต อีกทั้งไม่ตระหนี่ที่จะช่วยเหลือด้วยเงินทุนมากมาย เพราะว่าไม่ว่าบัณฑิตจะรับใช้รัฐใดในอนาคต ก็ต่างดูแลการค้าของพวกเขาไม่มากก็น้อย เจินจวิ้นก็คงมีเป้าหมายประเภทนี้ ทว่าเขาก็ต้องการผูกมิตรด้วยความจริงใจ จึงทำให้ไม่รู้สึกว่าน่ารังเกียจ
“พี่เจินปฏิบัติต่อกันอย่างอบอุ่นเช่นนี้ เดิมทีข้าน้อยก็ไม่คิดปฏิเสธ ทว่าหลังจากเข้านครแล้ว เกรงว่าจะมิได้เป็นอิสระแล้ว” ซ่งชูอีซดสุราร้อนไปหนึ่งคำ รู้สึกสบายตัว ชูจอกเหล้าให้เจินจวิ้นพร้อมเอ่ย “รอจนข้าเสร็จธุระแล้ว จะต้องแวะคารวะอย่างแน่นอน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ฝืนใจแล้ว ขอให้ท่านกระทำทุกอย่างด้วยความราบรื่น! หมดจอก!” เจินจวิ้นเงยหน้าขึ้นและดื่มรวดเดียวหมด
ซ่งชูอีก็เช่นเดียวกัน
สายลมยามราตรีส่งเสียงซู่ซ่า หลังจากกินอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว ซ่งชูอีก็ขึ้นรถม้าไป หลับสนิทตลอดคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากติดตามขบวนรถเข้านครแล้ว ก็แยกทางกับเจินจวิ้น
จากนั้นซ่งชูอีก็มิได้กลับจวนหลงกู่โดยตรง หากแต่หาที่นั่งพักในโรงเตี๊ยม แอบฟังข่าวคราวในเมืองผูหยางก่อน
ไม่ฟังก็ไม่รู้ เมื่อได้ฟังก็เข้าใจทันที ซ่งชูอีกับจี้ฮ่วนนั่งลงได้ไม่นาน จี้ฮ่วนก็รู้สึกร้อนใจเล็กน้อยเสียแล้ว ข่าวคราวมีอยู่ทุกที่จริงๆ อีกทั้งล้วนเป็นคำพูดที่มิได้เอื้อประโยชน์ต่อซ่งชูอีเลย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังจะมีโอกาสกลับตัวได้อีกหรือ?
คิ้วของซ่งชูอีเองก็ค่อยๆ ขมวดกัน จนถึงบัดนี้นางมั่นใจแล้วว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง และยังจำได้ว่าหมิ่นฉือ
ชอบใช้ประโยชน์จากเครือข่ายเป็นที่สุด เขาอาศัยอยู่ที่ผูหยางนานขนาดนี้ จะต้องมีทรัพยากรที่สามารถใช้งานได้มากมายอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดีการที่เขาสามารถคิดแผนการนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้นาง “ประหลาดใจ” มากทีเดียว
สถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่คิดไว้ ฉะนั้นซ่งชูอีจึงตัดสินใจไม่กลับจวนหลงกู่ชั่วคราว นางอยู่ข้างนอกยังมีพื้นที่ให้ทำกิจได้บ้าง หากถูกจับไว้จริงๆ มีแต่จะถูกสังหารเท่านั้น
แสงแดดยามอรุณส่องแสงอยู่นอกโรงเตี๊ยม สุรากลมกล่อมมีฤทธิ์ร้อนแรง ทว่าไม่อาจขจัดความหนาวเหน็บได้
หลังจากหานตานในรัฐเจ้าเผชิญกับความเยือกแข็งมานานหลายวัน ในที่สุดความอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิก็แวะเวียนเข้ามา ศพที่นอกเมืองกองสูงดังภูเขา กลิ่นคาวเลือดและความพ่ายแพ้แพร่กระจายอยู่ในอากาศ ทหารบางส่วนกำลังทำความสะอาดสนามรบ
ขณะนี้สงครามครั้งใหญ่ได้ปิดฉากลงแล้ว องค์ชายฟ่านสามารถยึดครองหวังเฉิงไว้ได้ เจ้าโหวถูกบีบบังคับให้หนีไป
แม้นว่ากองทหารและตรารัฐล้วนยังอยู่ ทว่าก็ยังจับเจ้าโหวไม่ได้ องค์ชายฟ่านก็ยังสบายใจไม่ได้เสียที ฉะนั้นเขาจึงปิดข่าวไว้ขณะที่ส่งคนออกไปตามล่า แอบสั่งการออกไปอย่างลับๆ ว่าผู้ที่สามารถนำศีรษะของเจ้าโหวกลับมาได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานะอะไร จะตบรางวัลให้ถึงหนึ่งหมื่นตำลึงทอง พร้อมแต่งตั้งให้เป็นโหวหมื่นครัวเรือน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เขาก็เริ่มบีบคั้นเหล่าขุนนางในราชสำนัก ต้องการให้องค์ชายเค่อขึ้นครองราชย์ทันที
ในท้องพระโรงใหญ่อันหรูหราและเคร่งขรึม องค์ชายฟ่านอยู่ในชุดจีนสีน้ำตาลเข้มสวยงาม สวมเครื่องกวนทรงสูง นั่งอยู่บนที่นั่งที่จัดขึ้นด้านหน้าของพระที่นั่งองค์จวินซึ่งห่างออกไปหนึ่งจั้ง เขาเอนกายพิงที่พักแขน ยื่นมือปล่อยให้สาวใช้นางหนึ่งตะไบเล็บ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ให้องค์ชายเค่อขึ้นครองราชย์เสียบัดนี้ มีใครคัดค้านอีกหรือไม่?”
ภายในท้องพระโรงเงียบงัน เหงื่อบางๆ ผุดซึมอยู่บนหน้าผากของสาวใช้ที่ตะไบเล็บให้องค์ชายฟ่าน เพราะว่ามีเพียงเสียงตะไบเล็บฉึกๆ ที่ดังอยู่ภายในท้องพระโรง
“ดูพวกเจ้าสิทำเอาสาวน้อยของข้าตกใจหมดแล้ว” องค์ชายฟ่านชักมือกลับ แล้วดึงสาวใช้นางนั้นมากอดไว้ในอ้อมแขน ยื่นมือลูบไล้ดวงหน้าที่งดงามของนาง เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีผู้ใดคัดค้าน…”
“สารเลว!” ท่านแม่ทัพผู้หนึ่งตบโต๊ะลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงเยือกเย็น “รัฐเจ้าตกอยู่ในมือของสารเลวเยี่ยงเจ้า จะต้องฉิบหายภายในสามปีแน่! ข้าไม่มีทางก้มหัวให้เด็ดขาด!”
“ช่างเป็นบุรุษใจกล้า!” องค์ชายฟ่านพยักหน้า ยิ้มน้อยๆ “ทหาร ลากตัวออกไป หาบุรุษสิบกว่าคนปรนนิบัติบุรุษใจกล้าท่านนี้อย่างงาม”
คำว่าปรนนิบัตินี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหาหญิงขายบริการมาให้อย่างแน่นอน แต่เป็น…
ทุกคนมีสีหน้าลำบากใจ องค์ชายฟ่านผู้นี้ต่ำช้าเกินไปแล้ว สิ่งที่ทำนี้ถึงขั้นตัดขาดผู้สืบสกุลเชียวนะ! ฆ่าก็ฆ่าไป จะกลับตัวอย่างไรก็ยังทิ้งรอยแผลเป็นขนาดใหญ่เอาไว้ ช่างน่าอดสูยิ่งนัก!
“เจ้ามันไร้ยางอาย!” ท่านแม่ทัพดิ้นรนสุดชีวิต
อาวุธทางทหารทั้งหมดถูกยึดออกไปแล้ว เขาทำได้เพียงสู้ด้วยมือเปล่าเท่านั้น
มือดาบสิบกว่านายเข้ามา สองฝ่ายต่อสู้กันครู่หนึ่ง ท่านแม่ทัพเริ่มที่จะจู่โจมก่อน องค์ชายฟ่านก็ได้พิจารณาถึงสถานการณ์ในวันนี้ไว้แล้ว ทหารอารักขาเหล่านั้นล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านแม่ทัพเลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและเพื่อให้การต่อสู้น่าดูยิ่งขึ้น เขาจึงได้เตรียมมือดาบที่มีทักษะดาบสูงเป็นพิเศษไว้
องค์ชายฟ่านนั่งเท้าศีรษะ มองดูฉากต่อสู้ตรงหน้าด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
เมื่อท่านแม่ทัพผู้นั้นพบว่าตัวเองเป็นตัวตลก ทนความอดสูนี้ไม่ไหว ขบฟันฉวยโอกาสขณะที่มือดาบเหวี่ยงดาบเข้าโจมตี พุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ใบมีดทะลุผ่านช่องว่างของชุดเกราะความแข็งแกร่งของมันก็ลดลง มือทั้งสองของท่านแม่ทัพคว้ามือของมือดาบฉับพลัน ดันดาบเข้าที่หน้าอกของเขาอย่างดุเดือด
ทันใดนั้นเลือดสดสาดกระเซ็นราวกับสายพิรุณ
ไม่มีคนหลบเลี่ยง ทุกคนต่างหลับตาลงอย่างรับไม่ได้
กงซุนกู่จับจ้องฉากนั้น ลอบกัดฟัน ซ่งชูอีจอมกลับกลอกผู้นั้น! คำสัญญายังไม่ดังเท่าผายลมเลย!
“จุ๊ น่าเสียดายจริงๆ” องค์ชายฟ่านมองไปรอบๆ ท้องพระโรง “ยังมีผู้ใดคัดค้านอีกหรือไม่?”
เขาพูดพลางมองไปยังกงซุนพีมหาเสนาบดีที่นิ่งเงียบตลอดเวลา “ท่านมหาเสนาบดีเป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนางนับร้อย ไม่ควรแสดงความเห็นหน่อยหรือ?”
กงซุนพีกล่าวเยาะเย้ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย “องค์ชายก็ต้องการพาชายฉรรจ์สิบกว่าคนมาปรนนิบัติข้าเช่นนั้นหรือ!?”
กงซุนพีมีแขกที่ปรึกษาและลูกศิษย์ทั่วทั้งรัฐ อีกทั้งตัวเขาเองก็เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าบัณฑิตมากมาย องค์ชายย่อมไม่กล้าก่อเรื่องอันเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าบัณฑิตใต้หล้าเป็นธรรมดา ยิ้มเอ่ยน้อยๆ “ท่านมหาเสนาบดีก็กล่าวไปถึงไหนกัน ข้าเตรียมสาวงามสิบคนมาให้ท่านต่างหากเล่า ท่านว่าเยี่ยงไร?”
“หึ!” กงซุนพีไม่เสวนาเรื่องนี้กับเขาอีก กล่าวอย่างเย็นชา “ในเมื่อต้องการจะแต่งตั้งจวินองค์ใหม่ ข้ารอจนถึงป่านนี้แล้วเหตุใดแม้แต่หน้าตาของท่านจวินก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ? องค์ชายเค่อก็อายุสิบเจ็ดแล้ว มิใช่เด็กๆ หรือว่ายังต้องขออนุญาตองค์ชายในการประกอบกิจต่างๆ อีกหรือ?”
วาจาของกงซุนพีเตะองค์ชายฟ่านออกไปข้างนอกทันที โดยไม่มีความเมตตาเลยแม้แต่น้อย
องค์ชายฟ่านแทบทนไม่ได้ที่จะสับชายชราออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น ทว่ากลับยังเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “นับว่าท่านมหาเสนาบดีมีข้อมูลเชิงลึกดีจริง”
เขากล่าวเสียงสูง “หทาร ไปเชิญตัวองค์ชายเค่อ”
……………………………………..