กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 109 สังหารนายพลจี๋
กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 109 สังหารนายพลจี๋
“ข้ามิได้ขาดสตรี” จี้ฮ่วนกล่าวประโยคหนึ่งด้วยความเฉยเมย จากนั้นก็หมุนตัวออกไปพร้อมกับซ่งชูอี
เมื่อออกมา ซ่งชูอีก็เลียนแบบน้ำเสียงของเขา “ข้ามิได้ขาดสตรี”
จี้ฮ่วนหน้าแดงระเรื่อทันที
“ฮาๆๆ!” ซ่งชูอีเห็นท่าทีหงุดหงิดของเขาก็ยิ่งรู้สึกชอบใจ ขณะที่อยู่ในรัฐซ่ง ซ่งชูอีก็รู้ว่าจี้ฮ่วนมีวิสัยทัศน์สูงมาก เขาไม่มีทางชอบผู้หญิงทั่วไป อดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่เป้ากางเกงของเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “จุ๊ ข้าว่าเจ้าคงมิใช่ลูกนกที่ยังไม่เคยออกไข่ดอกกระมัง?”
จี้ฮ่วนทั้งโกรธและอับอายในคราเดียว “หากท่านมีความสามารถก็จริงจังกับงานหน่อยเถิด!”
ซ่งชูอีจิ๊ปาก แต่มิได้ถามอะไรต่ออีก จี้ฮ่วนกับหลงกู่ปู้วั่งนั้นต่างกัน หลงกู่ปู้วั่งดูอารมณ์ร้อน ที่จริงแล้วขีดจำกัดในความอดทนของเขานั้นสูงมาก เมื่อโมโหแล้วก็มิได้คิดแค้นกระไร ทว่าจี้ฮ่วนนั้นมีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจไม่มีที่ว่างจะที่กู้กลับคืนมาได้เลย
ซ่งชูอีมักจะอ่านคนได้อย่างแม่นยำเสมอ รวมถึงตอนนั้นที่นางก็มองออกตั้งแต่แรกว่าหมิ่นฉือเป็นคนเยี่ยงไร เพียงแต่ตอนนั้นนางเชื่อมั่นอยู่ข้างเดียวว่าอย่างน้อยเขาจะไม่หลอกใช้นาง
ทั้งสองเข้ามายังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง นั่งลงในตำแหน่งที่เงียบสงบและซ่อนเร้นจากผู้คน
ในเวลานี้ โรงเตี๊ยมและชมรมป๋ออี้ล้วนเป็นสถานที่ที่สามารถสืบข่าวได้เป็นอย่างดี หากเปรียบเทียบกันแล้ว ข่าวสารของชมรมป๋ออี้จะมีความแม่นยำมากกว่า ทว่าก็ด้วยสาเหตุนี้ ซ่งชูอีเกรงว่าหากปรากฏตัวบ่อยครั้งเกินไป พวกเขาก็จะจำได้ในไม่ช้า โรงเตี๊ยมเล็กๆ ยังจะปลอดภัยเสียกว่า
“ท่านหมิ่นเป็นคนเช่นนี้จริงหรือ?” จี้ฮ่วนเอ่ยถาม
“เจ้าเห็นว่าเยี่ยงไรเล่า?” ซ่งชูอีจิบสาโทคำหนึ่ง เอนกายพิงอยู่บนที่พักแขน หลุบตาลงสนใจข่าวที่ชั้นล่าง
ไม่ว่าหมิ่นฉือเป็นคนเยี่ยงไร นางก็จะให้เขาเป็นคนเยี่ยงนั้น ความจริงแล้ว ขณะที่นางได้ข่าวจากจี๋อวี่ว่าหมิ่นฉือจะไปเป็นราชทูตที่รัฐฉีและรัฐฉู่นั้นนางก็ได้ระวังตัวไว้แล้ว ต่อให้หมิ่นฉือไม่ทำให้นางแปดเปื้อน นางก็จะทำให้หมิ่นฉือแปดเปื้อนเอง
กันไว้ดีกว่าแก้! ความรักอะไรกัน มันจบสิ้นไปตั้งแต่บนกำแพงนครนั่นแล้ว ลักษณะนิสัยของซ่งชูอีก็คือ “หากเจ้าไร้ความปรานี ข้าก็ไร้ความปรานีเช่นกัน”
“ทุกท่าน!”
พ่อค้าวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที ทุกคนต่างหยุดคุย แล้วหันไปมอง
“ข้าคือพ่อค้าชาวหาน เมื่อวานเพิ่งทำการค้าขายได้กำไรก้อนใหญ่จากรัฐฉี ระหว่างมาถึงที่นี่ ข้ามีข่าวหนึ่ง บางทีทุกท่านอาจจะสนใจ” ผู้นั้นกล่าว
ทุกคนต่างหันไปมองด้วยความสนใจ ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “พี่ชายลองว่ามา”
“ช่วงนี้เรื่องของท่านซ่งแพร่สะพัดหนาหู ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าน้อยรู้สึกว่าประหลาดยิ่งนัก ได้ยินว่าตอนนั้นข่าวที่รัฐต่างๆ จะโจมตีเว่ยแพร่สะพัดมาจากรัฐเจ้า รัฐฉีมีชายแดนติดกับรัฐเจ้า ข้าน้อยเดินทางมาจากหลินซือนครหลวงแห่งรัฐฉีมายังผิงอี้ในรัฐเจ้าซึ่งมีระยะห่างเพียงไม่กี่สิบลี้ ทว่าตลอดทางจากผิงอี้ถึงผูหยางกลับมิเคยได้ยินข่าวนี้เลย”
พ่อค้าวัยกลางคนหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อว่า “ถ้าหากเป็นดังคำบอกเล่าจริง ซ่งหวยจินทรยศเจ้านายเพื่อชื่อเสียง รัฐฉีมีรากฐานมั่นคง เหตุใดเขาจึงไม่กระจายข่าวไปยังรัฐฉี แต่กลับกระจายกลับมายังผูหยาง? ข้าน้อยเป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่งไม่เข้าใจเรื่องสงคราม ทุกท่านได้โปรดชี้ความกระจ่างด้วย”
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ?” มีคนถามขึ้นทันที
พ่อค้าผู้นั้นประสานมือเอ่ยทันควัน “หากข้าโป้ปดแม้แต่น้อย ขออย่าได้ตายดี”
กิจกรรมของบัณฑิตแห่งผูหยางส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงผูหยางเท่านั้น ผู้ที่สามารถกระจายข่าวได้ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า บัณฑิตน้อยคนที่จะพเนจรเพื่อหาความรู้ และคนอีกประเภทหนึ่งก็คือสายลับของแต่ละรัฐ
จี้ฮ่วนรู้สึกปรีดายิ่งที่ในที่สุดก็ได้ยินข่าวสารที่มีประโยชน์เสียที ทว่าขณะที่หันไปมองซ่งชูอีนั้น กลับเห็นมุมปากของนางยกยิ้มเล็กน้อย นิ้วเคาะอยู่ที่ราวเบาๆ ราวกับไม่ใส่ใจเลยสักนิด
จี้ฮ่วนโน้มตัวเข้าหานาง กระซิบเสียงต่ำ “หรือว่าจะเป็นฝีมือท่าน?”
สิ้นวาจาในใจของเขาก็รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย หลายวันมานี้ซ่งชูอีอยู่กับเขาตลอดเวลา อาจกล่าวได้ว่าไม่เคยห่างกันแม้แต่นิ้วเดียวด้วยซ้ำ นางไม่มีเวลาไปทำเรื่องเหล่านั้นอยู่แล้ว
“เมื่อจันทราเต็มดวงมันจักดับสูญ เมื่อนทีเต็มล้นมันจักไหลริน คำพูดก็เช่นเดียวกัน มีอะไรน่าประหลาดใจกัน?” ซ่งชูอีกล่าว
จี้ฮ่วนพยักหน้า มันดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ทว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าซ่งชูอีเข้าใจสถานการณ์ดี
ทันใดนั้นชั้นล่างมีคนเอ่ยขึ้น “จะว่าไป ข้าก็ได้ยินข่าวหนึ่ง ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
“เจ้าพูดมา พวกข้าจะฟัง” อีกคนกล่าว
“ได้ยินว่าขณะที่ท่านหมิ่นกำลังเจรจาหว่านล้อมฉีอ๋องอยู่นั้นก็รู้ว่าแผนการนี้มาจากท่านซ่ง อีกทั้งยังกล่าวว่าท่านซ่งคือซุนจื่อคนที่สอง” ครั้นผู้นั้นพูดจบก็หัวเราะแล้วพูดต่อ “เป็นเพียงคำเล่าลือ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ข้าน้อยยากที่จะพิสูจน์”
เดิมทีซุนปิ้นก็คือผู้รับใช้รัฐฉีเชียวนะ เพียงแต่สิ้นใจเมื่อปีกลาย! ครั้นคิดเช่นนี้ การที่ฉีอ๋องตรัสว่าซ่งชูอีเป็นซุนจื่อคนที่สอง อาจมิได้เพียงยกย่องกลยุทธ์ของนางเท่านั้น หรือว่าพระองค์มีจุดประสงค์ที่จะดึงนางเข้าร่วมรัฐฉี?
ซ่งชูอีได้ยินแล้ว สุราที่จรดริมฝีปากหยุดชะงักครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าเบ่งบานยิ่ง ข่าวนี้ช่างมาได้ทันเวลาโดยแท้!
ซ่งชูอีเงยหน้าดื่มรวดเดียวหมด วางจอกสุราลงแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยขึ้น “ไป!”
“ไปไหน?” จี้ฮ่วนลุกขึ้นพรวด
“ข่าวใหญ่! ข่าวใหญ่!”
ขณะที่ซ่งชูอีกำลังจะพูด จู่ๆ ชั้นล่างก็มีคนตะโกนขึ้น ภายในห้องโถงสงบลงทันใด
บัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งยืนหายใจหอบอยู่ใจกลางห้องโถงใหญ่ เอ่ยขึ้นเสียงดัง “เว่ยอ๋องส่งราชทูตมาแล้ว ข้าน้อยได้ยินมาว่าบัดนี้ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของรัฐเว่ยมาถึงกุ้ยหลิงแล้ว เว่ยอ๋องขอร้องให้พวกเรามอบตัวท่านซ่งและท่านหมิ่น สังหารนายพลจี๋ มิฉะนั้นจะเหยียบรัฐเว่ย์เสียให้สิ้น!”
“มอบตัวไม่ได้นะ!” ใครบางคนในฝูงชนลุกขึ้นทันที “นายพลจี๋ยิ่งฆ่ามิได้! ทหารของรัฐเว่ย์มีเพียงไม่กี่คน หากสังหารนายพลจี๋แล้ว จะไปหานักรบที่เก่งกาจด้านการทำสงครามเช่นนี้ได้จากที่ใดอีกเล่า!”
เป็นไปตามที่ผู้นี้บอก ทหารของรัฐเว่ย์มีน้อยเสียจนน่าสงสาร หากวางตำแหน่งนายพลนี้อยู่ในบรรดาเจ็ดมหานครรัฐ ก็จะจมอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งฝูงชน มิได้มีความสำคัญกระไร ทว่ามันกลับเป็นตำแหน่งนายทหารใหญ่สำหรับรัฐเว่ย์
ทุกคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อของจี๋อวี่ ทว่าคนที่สามารถถูกคัดเลือกให้ไปอารักขาราชทูตนั้นจะต้องมีศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมและเก่งกาจด้านการสู้รบอย่างแน่นอน ในความเป็นจริงแล้ว สาเหตุหลักที่จี๋อวี่มิได้ถูกเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นทางการเพราะว่าทหารในรัฐเว่ย์มีน้อย สูงกว่านายพลก็เป็นตำแหน่งท่านแม่ทัพ แม่ทัพเก่าแก่เหล่านี้ล้วนสู้รบกันมานานนับสิบปี หากพวกเขาไม่ถอยออกไป จี๋อวี่ก็ไร้ที่ว่างให้เลื่อนขั้น
“ความจริงยังไม่กระจ่าง จะมอบตัวคนส่งเดชได้เยี่ยงไร พวกเราต้องต่อสู้กับเว่ยอ๋อง!” คนหนึ่งที่มีอารมณ์ฮึกเหิมตะโกนออกมา
อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนที่ตอบสนองต่อคำพูดของเขา การเคลื่อนไหวของเว่ยอ๋องครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนว่าต้องการตัวกุนซือทั้งสองคน และกำจัดผู้ที่เก่งกาจด้านการสู้รบในรัฐเว่ย์ออกไป ตอนนี้ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายก็เคลื่อนตัวแล้ว หากรัฐเว่ย์ไม่สามารถยืมกองกำลังทหารอีก ก็จะถูกลืนกินจนไม่เหลือแม้กระทั่งซาก
“ได้โปรดท่านช่วยนายพลจี๋ด้วย!” จี้ฮ่วนกระซิบด้วยความร้อนรน
ซ่งชีอีส่ายหน้า “แน่นอน วางใจเถิด องค์จวินจะต้องอยากได้ข่าวของข้าจากปากของนายพลจี๋แน่ ตราบใดที่ข้าไม่ปรากฏตัว ในเวลานี้เขาจะไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิตดอก”
แม้ว่าอาจจะลำบากอยู่บ้าง ทว่าซ่งชูอีเชื่อว่าจี๋อวี่จะต้องทนได้อย่างแน่นอน
จี้ฮ่วนครุ่นคิด เป็นจริงตามนั้น ถ้าหากเจอซ่งชูอี ไม่แน่ว่าจี๋อวี่อาจจะจบชีวิตทันที
เว่ย์โหวเป็นคนเยี่ยงไร ซ่งชูอีเข้าใจดี และจี้ฮ่วนก็เข้าใจยิ่งกว่า เขาสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อยุติสงคราม
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่บัณฑิตผู้มากความสามารถในรัฐเว่ย์ล้วนไม่ต้องการเป็นขุนนางรับใช้ในดินแดนมาตุภูมิ
ไม่มีใครไปกล่าวโทษเว่ย์โหว เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อยุติการต่อสู้ ทำให้รัฐเว่ย์ที่เล็กและอ่อนแอดำรงอยู่ ราษฎรหลุดพ้นจากการถูกเข่นฆ่าจนถึงทุกวันนี้ จึงนับว่าไม่มีความผิดกระไร เพราะหากรัฐเว่ย์ต่อต้านก็เป็นการเอาไม้ซีกงัดไม้ซุงเท่านั้น
ซ่งชูอีรู้สึกว่าที่จริงแล้วเว่ย์โหวก็มีความทะเยอทะยาน มิฉะนั้นหากเขาใจเสาะเหมือนหนูจริงก็คงไม่เห็นด้วยกับ
กลยุทธ์ของซ่งชูอีที่เดินทางไปหว่านล้อมรัฐต่างๆ ให้โจมตีรัฐเว่ย ทว่าตอนที่เขาขึ้นครองสู่อำนาจบ้านเมืองก็อ่อนแออยู่ก่อนแล้ว เขาจึงไม่สามารถสนับสนุนความทะเยอทะยานของตนเองได้ด้วยกำลังที่มี
ผู้คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมต่างออกไปข้างนอก เพื่อไปยับยั้งมิให้เว่ย์โหวสังหารจี๋อวี่
ซ่งชูอีกับจี้ฮ่วนก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับฝูงชน จากนั้นก็เดินไปตามถนนสายหนึ่ง ปลีกตัวเข้าสู่ตรอกเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน
“ท่าน พวกเราจะไปที่ใด?” จี้ฮ่วนไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนถาม “ถ้าอย่างไรไปหาท่านเจินจวิ้นดีหรือไม่?”
ระหว่างที่มา จี้ฮ่วนเห็นว่าพวกเขาคุยกันอย่างถูกคอ อีกทั้งนิสัยของเจินจวิ้นก็ดูเหมือนไม่เลว
“ไม่” ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ซ่งชูอีจะไม่เชื่อใจคนที่เพิ่งพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว “กลับไปที่ลานเล็กนั่นเถิด”
ทั้งสองคนเร่งรุดกลับไป
เด็กสาวสองคนที่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนกำลังพลิกหน้าดินด้วยไม้เหลาแหลมอยู่ในลานเล็ก ราวกับกำลังเตรียมการเพาะปลูก
หนึ่งในเด็กสาวเห็นจี้ฮ่วน ยิ้มด้วยความยินดีระคนประหลาดใจพลางดึงเด็กสาวอีกคน
พวกนางทิ้งท่อนไม้ พุ่งไปเปิดประตูด้วยความรวดเร็ว เชิญซ่งชูอีกับจี้ฮ่วนเข้ามาในลานด้วยตัวที่ค้อมขดเป็นกุ้ง
ท่าทางปรีดาของเด็กสาวเมื่อครู่เผยให้เห็นความงดงามสดใส ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะสำรวจพวกนางสองคน
ครั้นจี้ฮ่วนเห็นอาการของซ่งชูอีเช่นนี้ ในใจก็เกรงว่านางจะเกิดความคิดเก็บคนมาเลี้ยงอีก รีบพูดขึ้น “ท่าน พวกเรายังมีงานต้องทำ”
เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ซ่งชูอีก็ดึงความคิดกลับมาชั่วคราว เอ่ยว่า “ข้ากับเขาจะพักอยู่ที่อีกหลายวัน พวกเจ้าทำงานต่อเถิด”
เสียงทอผ้าปึงปังปึงปังดังออกมาจากภายในบ้าน ซ่งชูอีนั่งอยู่บนเฉลียงมองดูเด็กหญิงสองคนพรวนดิน
จี้ฮ่วนเดินไปเดินมาอยู่ในลาน
เมื่อเวลาพลบค่ำ หญิงผู้นั้นจึงเดินออกมาจากในบ้าน เห็นจี้ฮ่วนและซ่งชูอีแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ข้าจะไปหุงข้าว”
พระอาทิตย์ตกดินทอแสงสีแดงทอง ซ่งชูอียืนอยู่ในลานมองดูห่านป่าที่บินอพยพกลับรังบนท้องฟ้า กลิ่นดินลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ ในใจอดมิได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้าง
ราวกับว่าหลายปีมาแล้ว ขณะที่นางกับบิดาของนางอาศัยอยู่ใต้ภูเขา ชายชราคนนั้นก็ชอบที่จะพรวนดินในลาน ดูดวงดาวทุกคืนพร้อมคุยเรื่องสัพเพเหระกับนาง บอกว่าวันไหนๆ จะมีน้ำฝน ทว่าระดับของเขาไม่ได้ต่างจากซ่งชูอีในตอนนี้มากนัก ไร้ความแม่นยำโดยสิ้นเชิง ลานผืนนั้นไม่เคยปลูกสิ่งใดได้เลย
นางจำได้ดีว่าเพิ่งจะย่างเข้าฤดูหนาวในปีนั้น นางกับบิดาหิวโหยอยู่สองวัน อีกทั้งบิดาของนางยังป่วยไข้จากลมหนาว ฉากพลบค่ำในวันนั้นก็เหมือนกับตอนนี้ มีแขกหนุ่มคนหนึ่งแวะมาเยี่ยมเยียน และบิดาก็ได้ฝากฝังนางให้กับเขาด้วยตัวเอง
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้พบเขา ชายชราน้ำตาไหลพราก ขณะที่นางออกไปจากลาน ก็ได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนของเขา
ในใจของจี้ฮ่วนเป็นกังวลมาก ทว่าเมื่อเห็นซ่งชูอีหลับตา รอยยิ้มบนใบหน้านั้นราวกับมีความสุขแต่ก็เจือปนความเศร้าโศก แสงอาทิตย์สีแดงทองส่องอยู่บนตัวของนางทำให้ดูนุ่มนวลไร้ที่เปรียบ
ซ่งชูอีในขณะนี้ดูดีมาก แม้นจี้ฮ่วนรู้สึกว่าความงามนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องว่านางจะเป็นสตรีหรือไม่ก็ตาม
เด็กหญิงสองคนพลิกหน้าดินจนทั่วทั้งลานแล้ว ผู้เป็นมารดาก็นำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะหินด้านนอก
“ท่าน ท่านผู้แข็งแรง” ผู้หญิงคนนั้นเรียก “ได้เวลาอาหารแล้ว”
ซ่งชูอีกับจี๋อวี่นั่งลงที่หน้าโต๊ะ หญิงผู้นั้นเปิดหม้อดินเผาที่มีข้าวขาวอยู่ข้างใน
นางคดข้าวให้ซ่งชูอีและจี้ฮ่วนก่อนที่จะกลับเข้าบ้านไป พร้อมเรียกเด็กสาวทั้งสองคนให้ไปกินในเพิงหลังเล็ก
ซ่งชูอีกินไปได้สองคำ หันกลับไปมอง เพียงแค่เหลือบมองก็สามารถแยกแยะได้อย่างง่ายดายว่าในชามของหญิงผู้นั้นคือข้าวถั่ว ทว่าในชามของเด็กหญิงสองคนกลับเป็นข้าวขาว
เด็กสองคนแบ่งข้าวขาวให้ผู้เป็นมารดาบ้างในบางครั้ง ทว่าหลังจากนางกลับกล่าวกระซิบอะไรบางอย่าง พวกนางก็มิได้แบ่งข้าวให้อีก
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง ยกชามเดินไปหาหญิงผู้นั้นแล้วยื่นให้
……………………………