กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 111 บุรุษเยี่ยงนี้
กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 111 บุรุษเยี่ยงนี้
จีเหมียนเบะปาก “หากเจ้ายืนกรานจะไม่ใส่ ข้าก็ทำได้เพียงสนับสนุนเจ้าด้วยความยากลำบากแล้ว”
ซ่งชูอีซดโจ๊กจนหมดชาม แล้วยื่นมือตักให้ตัวเองอีกชาม ซดโจ๊กพร้อมผักดองอย่างเงียบๆ จนหมดชาม
“คิดจะไม่ใส่จริงหรือ!” จีเหมียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งและเฉยเมยของนาง
“เจ้าตะโกนอะไรกันตั้งแต่เช้า!” ซ่งชูอีกัดผักดองไปคำหนึ่ง กินโจ๊กอีกคำ เอ่ยขึ้น “ข้าแค่กำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ”
จีเหมียนร้องเสียงหลง “เจ้ามีความคิดเช่นนี้จริงหรือ? ข้านึกว่าเจ้าพูดเล่นเสียอีก”
“เรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ ข้าจะเอามาพูดเล่นได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีมองค้อนเขา
จีเหมียนสีหน้าเหลือเชื่อ บัณฑิตผู้หนึ่งที่เข้าสู่สงครามด้วยร่างไร้อาวุธ…นี่มันเป็นผลลัพธ์ที่น่าตกใจแค่ไหนกัน? เขาได้ยินมาตลอดว่าศิษย์สำนักจวงจื่อบ้าคลั่งและไร้กำหนดกฎเกณฑ์ วันนี้นับว่าได้มาเห็นกับตาแล้ว!
ขณะที่เขาดึงสติกลับมาจากความประหลาดใจ ข้าวในหม้อดินก็ไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียว!
ซ่งชูอีนั่งแน่นิ่งพร้อมท้องที่ยื่นออกมา พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ข้าพิจารณาแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่ใคร่เหมาะสมกับข้านัก”
“ซ่งชูอี!” จีเหมียนจ้องมองนางด้วยความเศร้าโศกและขุ่นเคือง ครู่หนึ่งก็โบกไม้โบกมืออย่างจนปัญญาพร้อมเอ่ยขึ้น “ช่างเถิด เจ้ากินมื้อนี้แล้วไม่รู้ว่าจะมีมื้อต่อไปหรือเปล่า ข้าไม่ลดตัวเองลงไปเทียบกับเจ้าดอก”
จีเหมียนลุกขึ้นไปหาหวีเขาโค แล้วส่งให้ซ่งชูอี “ธุระในวันนี้มีชัยชนะกี่ส่วน?”
ซ่งชูอีใช้หวีดึงผมตัวเองพร้อมกับยิ้มยิงฟัน ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็ตอบว่า “สิ่งใดที่เรียกว่าชัยชนะ? เมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผยข้าก็พ่ายไปนานแล้ว ทว่าหากข้าโด่งดังแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็นับว่าข้าชนะ”
“รักษาชีวิตของตัวเองด้วย” จีเหมียนเอ่ยมองนาง “ข้าจะรอเจ้ากลับมาชนะลิ่วป๋อสักตา”
ซ่งชูอีส่งเสียงออกจากทางโพรงจมูก ถือว่าเป็นการตอบรับแล้ว
หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ซ่งชูอีมองดูตัวเองผ่านกระจกสีทองแดง นางสวมใส่ชุดแขนกว้างธรรมดาชุดหนึ่ง ผมดกดำครึ่งหนึ่งถูกปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ทับด้วยเสื้อคลุมสีดำ คิ้วตาแสนธรรมดานั้น ดูเหมือนจะไร้เดียงสาน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเสียสามส่วน มันเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นและความอิสระเสรีของบัณฑิต
ซ่งชูอีมิได้สวมเสื้อหรูหราที่จีเหมียนเตรียมไว้ให้ แม้ว่าจำต้องพรางตัวจากผู้คน นางก็คงไม่ขาดความมั่นใจในตนเองถึงขนาดที่จะใส่ชุดอู้ฟู่ทั้งตัว
“นายท่าน ท่านแม่ทัพหลงกู่มาแล้วเจ้าค่ะ!” มีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน
จีเหมียนลุกขึ้นยืนทันที “อยู่ที่ไหนแล้ว?”
“ยังอยู่ในห้องรับรองเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
หรือจะรู้ว่าซ่งชูอีอยู่ที่นี่? จีเหมียนมิกล้าฟันธงในท่าทีของหลงกู่ชิ่ง เพราะหลงกู่ชิ่งสนับสนุนเว่ย์โหวอย่างไม่สั่นคลอนเสมอมา “หวยจิน มีม้าชั้นดีสี่ตัวอยู่ในเพิงม้าที่ลานด้านหลัง เจ้าสวมหมวก แล้วขี่ม้าออกประตูหลังไป ข้าจะไปพบท่านแม่ทัพหลงกู่”
ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง ประสานมือน้อยๆ เดินไปที่ลานด้านหลัง
ในเวลานี้เอง บริเวณใกล้เคียงถนนตะวันออกได้คราคร่ำไปด้วยผู้คนแล้ว ในมุมหนึ่งบนแท่นดินมีเพิงเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราว มีหญ้าปกคลุมรอบด้าน ปิดกั้นมุมมองของผู้คน
บ้างบอกว่าเพื่อให้จี๋อวี่ตายอย่างสมเกียรติ ทว่านี่เป็นเพียงคำบอกเล่าและเพื่อหลอกลวงราษฏรเท่านั้น หลายคนเดาออกอยู่แล้วว่าคงเป็นเพราะเกรงว่าจี๋อวี่ถูกทรมานจนสาหัสเกินไป กลัวว่าสภาพอันน่าอเนจอนาถของเขาจะถูกเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัลและก่อให้เกิดจราจลเสียมากกว่า
ใกล้ถึงเวลาเที่ยง เสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งดังขึ้น “ฝ่าบาทเสด็จ”
ถนนฝั่งตะวันออกส่งเสียงฮือฮาพร้อมคุกเข่าลง บ่าวทาสหมอบตัวลง เหล่าสามัญชนค้อมคำนับจรดพื้น เหล่าบัณฑิตค้อมคำนับยาวนาน
ชายชราในชุดจีนสีน้ำตาลเข้มผู้หนึ่งก้าวขึ้นไปยังเวทีสูงช้าๆ หลังจากนั่งลงก็กล่าวว่า “ตามสบาย”
ขันทีป่าวประกาศพระบัญชาของพระองค์ด้วยเสียงแหลมสูง
เว่ย์โหวราวกับว่าแก่ลงสิบปีภายในระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา ผมที่ขาวประปรายจู่ๆ กลายเป็นขาวโพลนดุจหิมะ เขาเหลือบมองเพิงที่ถูกปกคลุมด้วยหญ้าครู่หนึ่ง ไม่มีใครสามารถเดาความรู้สึกในแววตาได้เลย
ทุกคนทยอยกันลุกขึ้น ในบัดนี้จึงสามารถเห็นว่ามีผู้คนมากมายที่ติดตามองค์จวิน รวมถึงขุนนางท่านแม่ทัพและยังมีราชทูตแห่งรัฐเว่ย
เงาของแสงอาทิตย์เลือนหาย เวลาเที่ยงวันใกล้จะมาถึงแล้ว ทว่าไม่มีใครกล้าเตือนสติและไม่มีใครเต็มใจเตือนสติ
ผ่านไปประมาณครึ่งเค่อ ราชทูตรัฐเว่ยผู้นั้นเอ่ยปากขึ้นก่อน “ฝ่าบาท ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว”
มือของเว่ย์โหวที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น ใบหน้าที่อ่อนโยนอยู่เสมอแสดงให้เห็นถึงความอดกลั้น โชคดีที่มีม่านบางๆ กั้นไว้ นอกจากคนที่อยู่ภายในแล้ว คนอื่นก็ไม่อาจมองเห็น
ลมพัดผ้าม่านปลิวไสว หญ้าตรงจี๋อวี่สั่นไหวเล็กน้อย คนสองคนในฝูงชนที่สายตาแหลมคมอดร้องอุทานมิได้
ฉากเมื่อครู่นั้นผ่านสายตาเพียงชั่วอึดใจ พวกเขาก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เพราะเห็นเพียงรอยเลือดสีแดงฉานอยู่ข้างใน และเห็นว่าชายรูปร่างกำยำที่ถูกมัดไว้ผู้นั้นเป็นเหมือนชิ้นเนื้อเปื้อนเลือดพร่ามัวก้อนหนึ่ง
ซ่งชูอีที่ขี่ม้าอยู่ไม่ไกลก็มองเห็นแล้ว นางจับจ้องไปยังทิศทางนั้นตลอดเวลา
นางเม้มริมฝีปากแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันไปคุยกับจี้ฮ่วนที่ขุ่นเคืองเช่นเดียวกัน “ใช่เขาสินะ?”
“ขอรับ” เบ้าตาของจี้ฮ่วนแทบจะถลนออกมา เขาคลุกคลีกับจี๋อวี่ตั้งแต่อายุสิบเอ็ดขวบ ไม่มีทางจำผิดอย่างแน่นอน
ซ่งชูอีขี่ม้าไปข้างหน้า จี้ฮ่วนรีบยื่นมือห้ามนางไว้ ต้องการให้นางคิดอย่างถี่ถ้วน
อย่างไรก็ดีที่นี่มีผู้คนนับพัน เมื่อเหตุการณ์ยังเงียบสงบ ซ่งชูอีก็ยังอยู่ในที่ลับ ทว่าทันทีที่นางเคลื่อนไหวก็จะดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
นางตัดสินใจเด็ดขาด ถอดหมวดออก กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ซ่งหวยจินอยู่ที่นี่!”
ครั้นลั่นวาจาออกไป สายตานับพันคู่หันมารวมตัวกัน แม้กระทั่งผู้คนเหล่านั้นบนเวทีสูงก็ต่างหันมาด้วย
เงียบงันครู่หนึ่ง ฝูงชนก็หลีกทางให้นางโดยไม่รู้ตัว
ซ่งชูอีขี่ม้าตรงเข้าไปที่หน้าเวทีดินก่อนพลิกตัวลงจากม้า ยื่นสายบังเหียนให้จี้ฮ่วน ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเวทีทีละขั้น
ทุกคนต่างจับจ้องนางพร้อมกับกลั้นหายใจ ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนรัฐน้อยใหญ่ในระยะหลังนี้ล้วนเป็นฝีมือของเด็กหนุ่มผู้อ่อนเยาว์ที่อยู่ตรงหน้า!
มีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ท่ามกลางฝูงชน หนึ่งในนั้นก็คือเจินจวิ้นที่ถลึงมองซ่งชูอีด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความตกใจ ครั้งแรกที่เขาพบกับซ่งชูอีก็รู้สึกได้ว่าบุคลิกของนางไม่สามัญและจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต ฉะนั้นจึงผูกมิตรด้วยความจริงใจ คิดไม่ถึงว่าบุคคลนี้ก็คือซ่งหวยจิน!
ซ่งชูอีมิได้พูดอะไรทั้งสิ้น เพียงยืนอยู่ที่ไกลๆ โค้งคำนับให้กับเว่ย์โหว จากนั้นก็ตรงไปยังเพิงหญ้า
นายทหารทั้งสี่ด้านวาดดาบห้ามไว้ทันที
เสียงแหบชราของเว่ย์โหวดังขึ้นจากพระที่นั่งสูง “ปล่อยไป”
ทหารได้ยินดังนั้น ก็เก็บอาวุธแล้วถอยลงไป
ซ่งชูอีก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในม่านหญ้านั้น สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือมนุษย์โชกเลือดสีแดงเข้มผู้หนึ่ง เขาถูกเฆี่ยนจนผิวหนังถลอกปอกเปิกทั่วร่างกาย ซ่งชูอีรีบสำรวจแขนขาของเขา เพียงแวบเดียวก็เห็นว่าขาที่ยืนอยู่บนพื้นขาดไปสามนิ้ว บาดแผลยังมิได้หายสนิทและยังมีเลือดไหลออกมาภายนอก อีกทั้งใบหน้าแข็งแกร่งนั้นก็เปลี่ยนไปจนจำไม่ได้!
เขาเหลือบตาขึ้นอย่างรวดเร็ว ประสานสายตากับซ่งชูอี
ซ่งชูอีเห็นว่า ดวงตาที่สงบนิ่งจนเกือบจะเฉยเมยอยู่ตลอดเวลาคู่นั้นเจือปนรอยยิ้มจางๆ
“อวี่ ข้ามาแล้ว” ซ่งชูอีกล่าว
จี๋อวี่มองนางสักพักก่อนเอ่ยว่า “ท่านไม่กลัว?”
“อืม” ซ่งชูอีตอบอย่างคลุมเครือเสียงหนึ่ง ใน้วลานี้การแก้แค้นที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่วางยาพิษอยู่เบื้องหลังก็คือการฉีกม่านหญ้ารอบๆ ปล่อยให้ชาวเว่ย์ได้เห็นว่าคนที่จงรักภักดีได้รับการปฏิบัติเยี่ยงไร!
อย่างไรก็ดีบุรุษเช่นจี๋อวี่ ไม่ต้องการให้ผู้คนมาสงสาร ซ่งชูอียืนสงบนิ่งครู่หนึ่ง เลือกที่จะรักษาศักดิ์ศรีของเขา