กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 139 องค์ชายชูหลี่แห่งฉิน
หลังจากที่ซ่งชูอีรู้ว่าโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็เก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ในใจ นางกลายเป็นคนที่อยู่เพื่อปัจจุบันและอนาคต
ซ่งชูอีนั่งยองๆ อยู่ข้างกองเอกสารที่เหมือนภูเขา อ่านอย่างกระหายใคร่รู้ แม้กระทั่งนอนเพียงหนึ่งชั่วโมงเป็นเวลาสามสี่คืนติดต่อกัน เพราะยังเยาว์จึงเปี่ยมด้วยพลังงานและร่างกายก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วยิ่ง
ความร้อนในฤดูร้อนได้พัดเข้ามาในหล่งซีอย่างรวดเร็ว อากาศถูกความร้อนเผาไหม้ แม้แต่วิสัยทัศน์ในการมองเห็นสิ่งต่างๆ ก็รู้สึกบิดเบี้ยวเล็กน้อย
วันนี้ซ่งชูอีพักผ่อนและกำลังนั่งดื่มชาอยู่ใต้ต้นซิ่งในบ้านของตน หนิงยาวิ่งเหยาะๆ เข้ามา “ท่านเจ้าคะ องค์ชายชูหลี่ขอพบเจ้าค่ะ”
“องค์ชายชูหลี่?” ซ่งชูอีวางกาลง คิดอย่างรวดเร็วในสมองว่าเขาคือใคร
เขาคือชูหลี่จี๋! ไม่ช้าซ่งชูอีก็นึกสถานะของผู้นี้ออก ลุกขึ้นจัดกระชับเสื้อผ้า “ข้าจะออกไปต้อนรับ”
ชูหลี่จี๋เป็นองค์ชายในรัฐฉิน และมีชื่อเรียกว่าอิ๋งจี๋ เป็นน้องชายพระบิดาเดียวกันกับอิ๋งซื่อ พระมารดาของเขาเป็นชาวหาน อิ๋งจี๋ได้ย้ายถิ่นฐานไปที่ชูหลี่ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเซี่ยวกง ดังนั้นทุกคนจึงเรียกเขาว่าชูหลี่จี๋
ซ่งชูอีพลางเดินพลางครุ่นคิด ในระยะหลังนี้นางพบผู้คนไม่น้อย มีทั้งฝ่ายซางจวินที่สนับสนุนกฎหมายใหม่ และมีทั้งเหล่าตระกูลเก่าแก่ที่ต้องการฟื้นฟูกฎหมายเก่า ทว่าเหตุใดองค์ชายชูหลี่จี๋ที่อาศัยอยู่นอกเสียนหยางและไม่สนใจโลกจึงต้องการพบนางเล่า?
ครั้นเดินก้าวเท้ายาวๆ ถึงหน้าประตู ซ่งชูอีก็เห็นคนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัว ชายผู้นั้นสวมเสื้อคลุมผ้าสีดำแขนกว้าง รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง
ครั้นผู้นั้นได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหลังมา ภายใต้เงาไม้กระดำกระด่างนั้น ผมสีดำหมึกถูกมัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เค้าโครงหน้าชัดเจน คิ้วหนาและยาว ปลายคิ้วชี้เข้าขมับ หัวท้ายดกดำ ดวงตาสดใส จมูกโด่งเป็นสัน มีเคราสั้นอยู่ที่ขากรรไกรล่าง ขณะที่มองซ่งชูอี ริมฝีปากที่บางพอดิบพอดีนั้นโก่งยิ้มช้าๆ
“หวยจิน ไม่เจอกันเสียนานสบายดีหรือ?” เขายิ้มเอ่ย
ซ่งชูอีเบิกตากว้าง ปากอ้าออกครึ่งหนึ่งทว่าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินเข้าไปหาซ่งชูอี รอยยิ้มสดใสบนใบหน้านั้นเผยให้เห็นฟันที่ขาวสะอาดและทำให้ใบหน้ากระจ่างใสยิ่งขึ้น “จากกันครึ่งปี หวยจินจำข้ามิได้แล้วหรือ?”
“พี่ซิงโส่ว!” ในที่สุดซ่งชูอีก็บีบสามคำนี้ออกมา หัวเราะพร้อมเดินไปข้างหน้าตีๆ เขา “เหตุใดท่านจึงได้กลายเป็นชูหลี่จี๋ไปได้!”
“ข้าว่า ข้าเคยกล่าวว่าเราจะพบกันอีกมิใช่หรือ?” ชูหลี่จี๋ยิ้มเอ่ยน้อยๆ
ซ่งชูอีพยักหน้า “ยากจะเชื่อเหลือเกิน! ข้านึกว่าฝ่าบาทมีนิสัยรีบร้อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าพี่ซิงโส่วรีบร้อนยิ่งกว่า! ไม่สิ ควรจะเรียกว่าพี่ชูหลี่ถึงจะถูก!”
ปีนี้อิ๋งซื่อมีอายุยี่สิบปี ชูหลี่จี๋เป็นน้องชายร่วมพระบิดาของเขา อย่างมากก็อายุไม่เกินยี่สิบปี! ทว่าอาจเป็นเพราะรูปร่างสูงใหญ่ ครั้งแรกที่ซ่งชูอีพบชูหลี่จี๋ยังนึกว่าเขาอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าเสียอีก! ในทางกลับกันใบหน้าของอิ๋งซื่อบอบบางกว่าเล็กน้อย
อย่างไรก็ดีหากเทียบกับเมื่อครึ่งปีก่อนหน้านี้ ชูหลี่จี๋ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีเคราที่ขากรรไกรล่างและร่างกายก็แข็งแรงกว่าเดิม
“ชาวหล่งซีล้วนเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?” ชูหลี่จี๋ยิ้มเอ่ย
“ก็จริง!” ทันใดนั้นซ่งชูอีเพิ่งนึกได้ว่าพวกเขายังคงยืนอยู่หน้าประตู “มา เข้ามาค่อยคุยกันเถิด”
ซิงโส่วคือชูหลี่จี๋ นี่เป็นเรื่องที่ประหลาดใจสำหรับซ่งชูอีมากกว่าความปลาบปลื้มยินดี นางปรารถนาให้เขาเป็นซิงโส่วผู้รักอิสระดุจสายลมเสียมากกว่า
“ข้ามิอาจเปิดเผยตัวตนในรัฐเว่ย์ ด้วยเหตุนี้จึงต้องปิดบังหวยจิน ได้โปรดให้อภัยด้วย” ชูหลี่จี๋สะบัดแขนเสื้อ ค้อมคำนับยาวนานด้วยความเคร่งขรึม
ซ่งชูอียื่นมือประคองเขา เอ่ยเสียงเบา “พี่ชายเอาใจใส่น้องสาวดีทีเดียว พี่ชายมีความลำบากใจ น้องสาวก็มิใช่คนไร้เหตุผลเยี่ยงนั้น”
ชูหลี่จี๋ยืดตัวตรง เหลือบมองนางและกล่าวด้วยเสียงเบาเช่นกัน “หน้าอกของน้องสาวกว้างและราบเรียบนัก”
ซ่งชูอีลูบคลำหน้าอกที่ราบเรียบของตัวเองตามจิตใต้สำนึก หัวเราะเอ่ยแห้งๆ “ราบเรียบโดยแท้”
ชูหลี่จี๋เป็นคนที่ฉลาดยิ่งนัก ครั้นได้เห็นพฤติกรรมของนางก็อดที่จะหัวเราะมิได้ ยื่นมือตบๆ ไหล่ของนาง “หวยจินเอ๋ย เจ้านี่ไร้ความละอายเสียจริง!”
ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ “มา เข้ากำลังต้มชาอยู่ พี่ชายจะลองชิมหรือไม่?”
ในลานไม่ใหญ่นัก ชูหลี่จี๋เหลือบตามองก็สามารถมองเห็นโต๊ะเคลือบสีแดงดำตัวนั้นได้ทันที
ทั้งสองคนนั่งลงหน้าโต๊ะ หลีกหนีผู้คนและความวุ่นวาย ซ่งชูอีรินน้ำชาจากกาแล้วต้มใหม่อีกกา
“หวยจินช่างผ่อนคลายดีนัก เครื่องชาชุดนี้เกรงว่าราคาแพงมากทีเดียว! พี่ชายตัดสินใจว่าจะต้องมาทานอาหารกับเจ้าที่นี่ในอนาคตเสียแล้ว” ชูหลี่จี๋รับจอกชามาแล้วยิ้มเอ่ย
“เช่นนั้นก็วิเศษนัก ข้าต้องกินคนเดียวตลอดเวลา หดหู่เหลือเกิน” ซ่งชูอีจิบชาคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “พี่ชายมาที่เสียนหยางด้วยเรื่องใด?”
หลังจากรัฐฉินปรับใช้กฎหมายใหม่แล้วก็ริบที่ดินพระราชทานกลับคืน แม้กระทั่งเหล่าองค์ชายก็ไม่สามารถได้รับที่ดินพระราชทานอย่างที่ควรจะได้รับ เรียกได้ว่าเป็นความเดือดร้อนอย่างที่สุด ไม่เพียงเท่านี้ องค์ชายหนุ่มส่วนใหญ่ต่างถูกได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก ไม่อาจกลับนครหลวงได้ตามอำเภอใจ
“เพราะฝ่าบาทรับสั่งให้ข้ากลับมา” ชูหลี่จี๋กล่าว “เพื่อหารือเรื่องโจมตีเว่ย”
ซ่งชูอีพยักหน้า มิได้ถามอะไรมากอีก
“ข้านึกว่าหวยจินจะสนใจมากเสียอีก” ชูหลี่จี๋เอ่ย
ซ่งชูอีพิงที่เท้าแขน ยิ้มเอ่ยด้วยความเกียจคร้าน “โลกนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง ข้าไม่รีบ”
“หวยจินน่าทราบข่าวของรัฐเจ้าแล้วกระมัง?” ชูหลี่จี๋เอ่ย
ครั้นได้ยินดังนี้ ซ่งชูอีก็ข่มอารมณ์เอาไว้เล็กน้อย “เจ้าจวินองค์นี้น่าชื่นชมนัก”
เจ้าอวี่เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ อีกทั้งยังเชื่อใจมหาเสนาบดีกงซุนพีอย่างสมบูรณ์ ละทิ้งนครหลวง หลบหนีไปยังชายแดนและลอบใช้ตราพยัคฆ์เคลื่อนย้ายกองทัพ ร่วมมือกับกงซุนพีเพื่อยุติความขัดแย้งภายใน แม้ว่าปล่อยให้องค์ชายฟ่านหนีไปได้ ทว่าเขาไม่มีทหารแม้แต่คนเดียวอยู่ในมือ ฉะนั้นจึงไม่มีภัยคุกคามใดๆ
ความขัดแย้งภายในนี้ถูกขจัดไปอย่างรวดเร็ว
ซ่งชูอีคิดว่าเจ้าอวี่มิใช่องค์จวินที่ทำได้เพียงพึ่งพาขุนนางผู้มีอำนาจเท่านั้น ในทางตรงข้าม อำนาจจักรวรรดิของเขาอาจสูงเกินกว่าที่ทุกคนจะคาดการณ์ได้ เขาก็ยังคิดได้ว่าตอนนั้นหากกงซุนพีมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ก็คงจะไม่สนับสนุนเขา ในอดีตเป็นเยี่ยงไร ในปัจจุบันก็เป็นเยี่ยงนั้น กงซุนพีไม่มีวันยินยอมรับใช้ผู้ที่น่าอดสูเช่นองค์ชายฟ่านอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ดีเมื่อคิดย้อนกลับไป ใช่ว่าองค์จวินทุกคนจะมีความกล้าหาญที่จะกระทำการเช่นเขาได้
อีกทั้งการเดิมพันของเจ้าอวี่คราวนี้เสี่ยงเกินไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่เขารู้ว่าองค์ชายเค่อเก่งกาจแค่ไหน และทำให้เขามีเหงื่อซึมเต็มหลังเพียงชั่วพริบตา
เจ้าอวี่รู้ดีที่สุดว่ากงซุนพีเป็นคนเยี่ยงไร หลายปีมานี้เขาซ่อนเร้นความสามารถที่แท้จริงของตัวเองอย่างระมัดระวังตลอดเวลา ทว่ากลับถูกกงซุนพีพบเบาะแสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไร้ความโกลาหลภายใน องค์จวินและขุนนางต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ต่างแสร้งทำเป็นไม่รู้และประนีประนอมซึ่งกันและกันก็ว่าไปอย่าง ทว่าเจ้าอี่โหลวอ่อนเยาว์เพียงนี้ อีกทั้งยังไม่รู้เรื่องการเมือง แม้แต่ยังมีความป่าเถื่อนเล็กน้อยด้วยซ้ำ กงซุนพีจะไม่คิดริเริ่มวางแผนซ้อนแผนได้เยี่ยงไร?
เคราะห์ดีที่เจ้าอี่โหลวสละบัลลังก์แล้วหนีไป
“สวรรค์ก็ช่วยเขา” ชูหลี่จี๋เข้าใจกงซุนพีเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงสามารถคาดคะเนเรื่องราวภายในได้แทบจะสมบูรณ์
“ฮ่า พี่ชายคิดว่าหากองค์ชายฟ่านเป็นองค์จวินแล้ว พวกเราก็สามารถกัดเนื้อชิ้นอ้วนอย่างรัฐเจ้าได้เช่นนั้นหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
ชูหลี่จี๋ถามกลับ “มิใช่หรือ?”
ซ่งชูอีเอ่ย “หากองค์ชายฟ่านเป็นองค์จวิน เกรงว่ารัฐเจ้าจะกลายเป็นหมาป่าที่บ้าบิ่นตัวหนึ่งเสียมากกว่า จับผู้ใดได้ก็กัดผู้นั้น”
“ฮ่า! ได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้ องค์ชายฟ่านนั้นน่าสนใจทีเดียว!” ชูหลี่จี๋หัวเราะเสียงดัง “ข้ามิได้รู้จักบุคคลผู้นี้อย่างละเอียด ว่ากันว่าเป็นชนชั้นสูง”
“ไม่เพียงเป็นชนชั้นสูง ทว่าเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง” ซ่งชูอีเย้ยหยัน