กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 140 ตัวอักษรบนหนังสือไหม
ชูหลี่จี๋คิดในใจ คนที่แม้แต่ซ่งชูอีคิดว่าเป็นสัตว์ร้าย จะต้องเป็นสัตว์ร้ายถึงขั้นที่ผู้คนทั่วไปยากที่จะจินตนาการได้อย่างแน่นอน
“โจมตีรัฐเว่ยครานี้ หวยจินต้องการจะตามพี่ชายไปหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
ซ่งชูอีตอบอย่างเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย “กินเงินเดือนราชสำนัก ทำงานภักดีต่อองค์จวิน ฝ่าบาทเพิ่งจะเริ่มให้ข้าทำงาน ข้าจะสามารถไปที่ใดได้?” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็โน้มตัวเข้าหาชูหลี่จี๋ ยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าถ้าหากพี่ชายยืนกรานจะให้ข้าติดตาม ข้าก็จะต้องทำตาม ความจงรักภักดีและความถูกต้องนั้นยากที่จะเติมเต็มทั้งสองสิ่งมิใช่หรือ หึหึ”
วาจานี้กล่าวได้งดงามนัก ทว่าในฐานะขุนนางแน่นอนว่าไม่สามารถไปที่ต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ ความหมายของซ่งชูอีชัดเจนมาก หากชูหลี่จี๋สามารถเกลี้ยกล่อมอิ๋งซื่อได้ นางก็ยินดีที่จะติดตามไป
ชูหลี่จี๋พยักหน้า จากนั้นก็ถามขึ้น “ได้ยินว่าศิษย์ของเจ้าไปยังรัฐฉู่? ไม่กลัวว่าจะเผชิญหน้ากันภายภาคหน้าหรือ?”
“พี่ชายเป็นห่วงหวยจินมาก?” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “ข้ากับเขาเป็นศิษย์อาจารย์กัน ทว่ามีไมตรีจิตแห่งศิษย์อาจารย์มากน้อยเพียงใดนั้นยากจะเอ่ย ในโลกใบนี้มันมิใช่เรื่องแปลกที่ศิษย์สำนักเดียวกันเข่นฆ่ากันเอง อีกอย่างพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากันด้วยความเป็นและความตาย”
หัวใจของซ่งชูอีนั้นกว้างเหลือคณานับ ทว่าในเวลาเดียวกันนางก็เป็นคนที่อยู่กับความจริง เข้าใจอย่างชัดเจนว่าไม่อาจบรรลุ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ในชั่วชีวิตของตน และจะไม่มีช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายระหว่างรัฐฉู่และรัฐฉิน
ทั้งสองคุยกันใต้ร่มเงาของต้นซิ่งเป็นเวลาสองชั่วยาม
ฤดูร้อนกำลังแผดเผา อากาศรอบกายร้อนยิ่งขึ้นทุกที ไอน้ำระเหยขึ้นจากพื้นดิน จนกระทั่งพลบค่ำ ซ่งชูอีจึงปล่อยให้ชูหลี่จี๋จากไป
ซ่งชูอีออกรบในยามราตรีหลายคืนติดต่อกันอีกครั้ง อ่านตำราในห้องไปเกือบครึ่งแล้ว แม้จะจำไม่ได้ทุกอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ได้พอจะนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
มีความคลาดเคลื่อนหลายอย่างระหว่างเรื่องราวต่างๆ กับความทรงจำที่ซ่งชูอีมี นางแทบจะต้องทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์ใหม่อีกรอบ แม้นดูภายนอกยังคงนิ่งเฉยดุจสายน้ำ ทว่าในความจริงนั้นหัวใจปั่นป่วนเสียแล้ว
ซ่งชูอีได้เตรียมใจก่อนที่จะอ่านตำราเหล่านี้แล้ว อย่างไรก็ดีในท้ายที่สุด เมื่อหลักฐานที่วางอยู่ตรงหน้าได้พิสูจน์แล้วว่านี่ไม่ใช่โลกที่เคยมีอยู่เดิม เสาหลักในใจก็ยังไหวเอนเล็กน้อย
ทว่าซ่งชูอีก็ยังคงเป็นซ่งชูอี หลังจากรู้สึกพ่ายแพ้เพียงครึ่งชั่วยามนางก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เนื่องจากแกนกลางที่สำคัญที่สุดในใจของนางไม่เคยอ่อนไหวเลย ไม่ว่าที่นี่จะเป็นที่ใดก็ต้องมีการต่อสู้กันเสียบ้างเพื่อให้คู่ควรกับชีวิตใหม่!
รัฐหานกับรัฐเว่ยไม่ต่อสู้กันเสียอีก ด้วยเหตุนี้เรื่องที่จะโจมตีเว่ยจึงเลื่อนออกไปอย่างไม่มีข่าวคราว ซ่งชูอียังคงรวบรวมข่าวในท้องพระโรงทุกวัน จากนั้นก็ไปที่จวนเพื่อคัดแยกและอ่านเอกสาร
ในฝ่ายไท่สื่อ
บนเฉลียงยาว ชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมผ้าสีดำกำลังเดินไปยังจวนของอวี้สื่อ
จวนของอวี้สื่อตั้งอยู่ข้างสระปทุม ทว่าเพื่อป้องกันการสูญเสียเอกสารจำนวนมากไปกับน้ำ ในจวนจึงมีใบไผ่จำนวนมหาศาล แต่มันกลับก่อให้เกิดทัศนียภาพทอันสวยงามโดยมิได้ตั้งใจ ดอกบัวที่มีเสน่ห์งดงามที่ตั้งเรียงรายอยู่ในจวนอันโอ่อ่าสง่างามแห่งดินแดนฉินราวกับสายน้ำที่ไหลผ่านภูเขาสูง
เส้นทางหนึ่งนำไปสู่ความเงียบสงบ ทันทีที่ประตูหน้าต่างด้านหน้าและด้านหลังเปิดออก สายลมในฤดูร้อนที่เจือปนกลิ่นหอมดอกบัวอ่อนๆ พัดโชยมา เอาเปรียบซ่งชูอีเป็นอย่างมาก
“องค์ชาย” ทหารรักษาการณ์ผู้หนึ่งที่อยู่หน้าประตูจำได้ว่าผู้มาเยือนคือชูหลี่จี๋ จึงกำหมัดคารวะ
“ไม่จำเป็นต้องรายงาน ข้าเข้าไปเองก็พอ” ชูหลี่จี๋เอ่ย
“พะย่ะค่ะ” ทหารรักษาการณ์ตอบรับคำหนึ่งจากนั้นก็มิได้ใส่ใจอีก
เอกสารมีความสำคัญต่อรัฐหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเอกสารส่วนใหญ่ที่อวี้สื่อจัดระเบียบนั้นมิใช่ความลับกระไร หลังจากจัดแจงเอกสารแผ่นไผ่ที่สำคัญกว่าเสร็จแล้วก็จะย้ายไปที่อื่นทันทีและมียามเฝ้าดูแล ดังนั้นด้วยสถานะของชูหลี่จี๋จึงสามารถเข้าออกได้อย่างสบายๆ
ประตูเปิดอ้าออก ชูหลี่จี๋มองเข้าไปข้างในก็ไม่เห็นซ่งชูอี มีเพียงสมุดไผ่กองพะเนิน
“พี่ชายมาแล้วหรือ?” ซ่งชูอีได้ยินเสียงก็โผล่ศีรษะออกมาจากกองภูเขาหนังสือ
ชูหลี่จี๋มองดูตำแหน่งของนาง กวักมือเอ่ย “ออกมา ข้ามีธุระกับเจ้า”
ซ่งชูอีเปิดแหวกทางด้านข้างออก มุดออกมาจากข้างใน “พี่ชายหาข้ามีเรื่องกระไร?”
ชูหลี่จี๋มองดูท่าทีของนาง อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ยื่นมือหยิบหนังสือผ้าไหมออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้นาง
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาไม่พูด ในใจก็คิดว่าอาจเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอ่ยในที่สาธารณะได้ จึงมิได้เอ่ยปากถาม ยื่นมือรับมาอ่าน
หนังสือไหมเล่มนี้อิ๋งซื่อเป็นคนเขียน กระชับและรัดกุมยิ่ง เนื้อหาโดยรวมคือ ดูจากรูปการณ์แล้วรัฐหานและรัฐเว่ยคงไม่ต่อสู้กันแล้ว จึงให้ซ่งชูอีคิดวิธีทำให้พวกเขาสู้รบกัน
ระยะหลังนี้ซ่งชูอีก็เฝ้าสังเกตสถานการณ์ของหานเว่ย วิธีที่อิ๋งซื่อใช้คราวก่อนยังไม่รุนแรงพอ ทั้งสองรัฐหารือกันไปหารือกันมาก็จะหยุดกองทหารแล้ว
ซ่งชูอีครุ่นคิด ครั้นหาปากกาและหมึกได้แล้วก็เขียนหนึ่งตัวอักษรลงบนหนังสือไหม หลังจากรอให้แห้งก็พับส่งให้ชูหลี่จี๋ ยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทต้องการจะทดสอบข้าน่ะ”
อิ๋งซื่อจะคิดหาวิธีไม่ออกเชียวหรือ? ชูหลี่จี๋ที่ขึ้นชื่อเรื่อง “ความฉลาด” มาโดยตลอดจะหาวิธีไม่ได้เช่นนั้นหรือ? ซ่งชูอีคิดว่านี่เป็นเพียงการทดสอบครั้งเดียวเท่านั้น
“ไว้วันหน้าค่อยคุยอย่างละเอียด ข้าจะขอตัวไป…” ชูหลี่จี๋เก็บหนังสือไหม เนื่องจากข้างนอกยังมีคนอยู่ จึงไม่สามารถพูดคำว่า “กราบทูลว่าภารกิจลุล่วง” ออกมาได้
ซ่งชูอีพยักหน้า “พี่ชายไปก่อนเถิด”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน…น้องชาย ฮ่าๆ” ชูหลี่จี๋ประสานมือพร้อมหัวเราะเย้า หันหลังจากไป
แสงอาทิตย์ด้านนอกสดใส ชูหลี่จี๋รีบกลับไปยังพระราชวัง ถือป้ายราชโองการของอิ๋งซื่ออยู่ในมือ ผ่านเข้าไปในท้องพระโรงโดยไร้อุปสรรค
ครั้นอิ๋งซื่อที่ยืนอยู่ด้านหน้าแผนที่ได้ยินเสียงรายงานก็เอ่ยขึ้น “เชิญเขาเข้ามา”
ไม่ช้า ชูหลี่จี๋ก็เดินเข้ามาในท้องพระโรงโดยไม่รีบร้อน ค้อมตัวคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“อืม ตามสบาย” อิ๋งซื่อมองเขา “เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
สองมือของชูหลี่จี๋ยื่นถวายหนังสือไหมเล่มนั้นให้อิ๋งซื่อ
อิ๋งซื่อรับมันมา เหลือบมองครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “อ่านแล้วหรือยัง?”
“ยังพะย่ะค่ะ” ชูหลี่จี๋เอ่ย
อิ๋งซื่อยื่นหนังสือไหมให้เขา
ชูหลี่จี๋เพิ่งจะสะบัดหนังสือไหมออกก็เห็นตัวอักษร “เจ้า” ขนาดใหญ่ รอยยิ้มปรากฏอยู่ในแววตา “เขาต้องการจะไปด้วยกันกับฝ่าบาท”
อิ๋งซื่อเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าไม่คิดเช่นนี้หรือ?” นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็มอบหมายให้เจ้ากับซ่งชูอีทำเถิด”
“พะย่ะค่ะ” ชูหลี่จี๋ตอบรับ
หากกระทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะมีข้อดีมากกว่าข้อเสียต่อซ่งชูอี สาเหตุที่ชูลี่จี๋ตอบรับ ข้อหนึ่งเป็นเพราะว่าอิ๋งซื่อทำงานด้วยความตรงไปตรงมาและมีนิสัยที่ไม่อาจประนีประนอมได้ ข้อสองเพราะว่าเขาเข้าใจซ่งชูอีดี
จุดพลิกผันครั้งใหญ่ของรัฐเจ้าเช่นนี้ ซานจิ้นก็เหมือนกับสัตว์ดุร้ายสามตัวที่ออกล่าเหยื่อกันเป็นกลุ่ม ทว่าตราบใดที่มีผลประโยชน์และโอกาสเพียงพอก็สามารถกัดกันเองได้
สงครามครั้งนี้ไม่ว่ารัฐเว่ยจะต่อสู้กับใครก็ไม่สำคัญสำหรับรัฐฉิน ที่สำคัญคือต้องสู้กันให้ได้ ดูจากรูปการณ์ปัจจุบัน เกรงว่าหานเว่ยสองรัฐคงไม่ต่อสู้กันแล้ว ทว่ารัฐเจ้าเพิ่งผ่านความวุ่นวายภายใน มีบาดแผลฉกรรจ์ เว่ยอ๋องไม่คิดจะลอบกัดเชียวหรือ? บัดนี้พวกเขาเพียงต้องการจุดเปลี่ยนที่ทำให้ต่อสู้กันเท่านั้น
สิ่งที่ชูหลี่จี๋และซ่งชูอีต้องทำก็คือสร้างจุดเปลี่ยนนี้ให้แก่รัฐเว่ย
แม้ว่าอิ๋งซื่อและชูหลี่จี๋จะเป็นพี่น้องกัน ทว่าอิ๋งซื่อเงียบขรึมมาตลอด ไม่ชอบพูดคุยไร้สาระ หลังจากคุยธุระจบแล้ว
ชูหลี่จี๋ก็ถอยออกไป จากนั้นก็ไปที่จวนของซ่งชูอีเพื่อรอนางทันที