กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 143 อาบน้ำแล้วไปอุ่นเตียง
แน่นอนว่ามิได้เสียหาย ทว่าสมุดไผ่เหล่านี้ไม่มีเครื่องหมายอยู่ด้านบนขณะที่ถูกจัดเก็บในคลังตอนแรก หลังจากถูกทำให้ยุ่งเหยิงแล้วก็ต้องเรียงลำดับใหม่ทีละเล่ม!
ซ่งชูอียกขาขึ้นเตะเขา แล้วก้มตัวเก็บสมุดไผ่ที่กระจัดกระจาย
ชูหลี่จี๋เหลือบมองเจ้าอี่โหลว เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถหลบลูกเตะเมื่อครู่ได้ทว่ากลับยอมรับเสียโดยดี คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดก็ยังก้มตัวลงเก็บด้วยกัน
“หวยจิน” ชูหลี่จี๋เก็บของพลางเอ่ย “มีเรื่องใหญ่”
ซ่งชูอีปัดเศษดินบนมือ นั่งลงตรงหน้าโต๊ะ “มีวันใดบ้างที่พวกเราไม่มีเรื่อง? หากสิ่งที่พี่ใหญ่พูดไม่น่าสนใจ ข้าจะลงโทษเสีย!”
ชูหลี่จี๋หัวเราะพร้อมพยักหน้า ในเมื่อตัวเองส่งสัญญาณถึงเพียงนี้ ทว่าซ่งชูอีกลับไม่มีท่าทีจะให้เจ้าอี่โหลวหลบไปก่อนเลยจึงกล่าวต่อ “เกรงว่าหานเว่ยคงไม่ได้ทำสงครามกันแล้ว แผนการหยุดชะงัก ฉะนั้นฝ่าบาทจึงมีพระราชโองการให้เจ้าและข้าสองคนคิดวิธีทำให้สงครามครั้งนี้เกิดขึ้น”
ซ่งชูอีลูบๆ ไป๋เริ่นที่นอนอยู่บนตัวของนาง “ฝ่าบาทช่างเข้าใจทำลายคนเสียจริง กล้านำเรื่องสำคัญเช่นนี้มาวางไว้บนไหล่ที่อ่อนแอของหวยจิน บัดนี้ประชาชนจับจ้องข้าถึงเพียงนั้น จะให้ข้าไปดำเนินการอื่นนับเป็นการบีบบังคับให้ทำเรื่องยากโดยแท้”
“ฮ่า! เจ้าจะค่อยๆ เข้าใจเขา การทำลายคนยังมิใช่สิ่งที่เขารู้สึกสนุกที่สุด” ชูหลี่จี๋ยิ้มเอ่ย
ซ่งชูอีรู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างมาก โน้มตัวไปข้างหน้า “แม้นข้ามิได้มีความสนใจเรื่องนี้…ทว่าในเมื่อมาอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นแล้ว ก็ต้องทำพฤติกรรมให้เหมาะสม พี่ใหญ่ลองเอ่ยมาดูเถิด?”
“หากเอ่ยออกมาแล้วจะสนใจเช่นนั้นหรือ?” ชูหลี่จี๋หัวเราะเสียงดัง ครั้นเห็นคิ้วของซ่งชูอีขดตัวกันเป็นวง อดมิได้ที่จะเลิกคิ้ว “กังวลว่าจะทำเรื่องนี้ได้ไม่ดีรึ? เจ้ามีวิธีแล้วมิใช่หรือ?”
“เป็นวิธีเพียงหยิบมือเท่านั้น นำไปปฏิบัติได้ไม่มากนัก” ซ่งชูอีเอ่ย
หากผู้พูดเป็นคนอื่น ชูหลี่จี๋ก็จะนึกว่าเป็นเพราะไม่กล้าเริ่มภารกิจหนักอึ้งนี้ ทว่าในแววตาเกียจคร้านของซ่งชูอี เขารู้สึกได้เพียงว่านางไร้ความสนใจต่อเรื่องนี้ก็เท่านั้น “หวยจินจะเป็นฝ่ายชนะกระมัง”
“เฮอะ! ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ชื่นชมข้า น้องชายเพียงแค่ขาดความสนใจก็เท่านั้น” ซ่งชูอีพูดด้วย “รอยยิ้มเสแสร้ง”
ชูหลี่จี๋ประหลาดใจเล็กน้อย เขายังนึกว่านางจะชื่นชอบเรื่องพรรค์นี้เสียอีก
“ได้ยินว่ารัฐปาและรัฐสู่มีเรื่องเบาะแว้งอยู่เสมอ ระยะหลังนี้ก็จะสู้กันแล้ว” มือข้างหนึ่งของซ่งชูอีหนุนศีรษะ อีกมือลูบขนไป๋เริ่น พร้อมเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
ชูหลี่จี๋อึ้งไปครู่หนึ่ง แน่นอนว่าเขาไวต่อข่าวสารมาก แม้นจะรู้เรื่องรัฐปาและรัฐสู่ละเอียดกว่าซ่งชูอี ทว่าครั้นได้ยินคำพูดของนางแล้วก็อดที่จะครุ่นคิดมิได้ ในแง่ของภูมิประเทศแล้ว รัฐปามีผลต่อการยับยั้งรัฐฉู่เป็นอย่างมาก ดังนั้นแม้นว่ารัฐฉู่มีความแข็งแกร่งมานานหลายปี ทว่ากลับไม่เคยทำอะไรรัฐป่าเถื่อนนี้ได้เลย!
ซ่งชูอีเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเขา มุมปากยกยิ้มน้อยๆ “ครั้งนี้จะต้องทำสงครามกับรัฐเว่ย ทว่าก็ไม่ควรหนักเกินไป ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรปล่อยรัฐเว่ยผ่านไปง่ายๆ”
ดูจากรูปการณ์แล้วรัฐฉินจำต้องเข้าสู่สงคราม ประเด็นหลักคือเบี่ยงเบนความสนใจของเหล่าตระกูลเก่าแก่ส่วนใหญ่ เพื่อที่อิ๋งซื่อจะสามารถตัดกำลังจากเบื้องหลังและหลีกเลี่ยงการก่อกบฏได้
ซ่งชูอีโน้มตัวเข้าหาชูหลี่จี๋ กระซิบเสียงเบา “ดูจากรูปการณ์แล้วต้าฉินจะต้องรักษากำลังไว้ หากข้าเดามิผิดล่ะก็ จากนี้อีกไม่นานจะมีสงครามระหว่างปา สู่และจูสามรัฐ หากฉวยโอกาสนี้ผนวกสามรัฐในคราเดียว รัฐฉินก็จะกลายเป็นคมศรที่อยู่ยงคงกระพันอย่างแท้จริง!”
ชูหลี่จี๋ครุ่นคิดเล็กน้อย ถ้าหากสามารถยึดครองดินแดนปาสู่จริง อาณาเขตแห่งรัฐฉินก็จะสามารถปราบปรามหกรัฐแห่งจงหยวนได้ เดินหน้าก็สามารถโจมตี ถอยหลังก็สามารถป้องกัน อยู่ยงคงกระพันดังที่ซ่งชูอีได้กล่าวไว้!
ดังนั้นคราวนี้รัฐฉินก็จะสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับสถานการณ์ทางการเมืองและรักษาความแข็งแกร่งในระหว่างที่ล้มล้างตระกูลเก่า รอโอกาสที่จะกินปาสู่และรัฐอื่นๆ
ชูหลี่จี๋สามารถดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่ารัฐในละแวกปาสู่กำลังจะต่อสู้กัน ทว่าเขากลับถูกอิ๋งซื่อดึงดูดความสนใจไปที่หกรัฐแห่งซานตง จึงมิใคร่ใส่ใจรัฐที่ซ่อนเร้นอยู่ในหุบเขาลึกและเข้าออกลำบากมากนัก
หากตีเอาดินแดนเหล่านั้นได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการครอบครองใต้หล้าของรัฐฉินอย่างมหาศาลอย่างแน่นอน ทำงานเพียงกึ่งหนึ่งทว่าความสำเร็จเป็นเท่าตัว ครั้นคิดเช่นนี้ หากไม่ใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในการโจมตี รัฐฉินก็ไม่มีกำลังและโอกาสที่จะชนะอีกแล้ว
“ข้าจะต้องเข้าวังเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ หวยจิน เจ้าก็ไปด้วยกัน!” ชูหลี่จี๋ลุกขึ้น เอื้อมมือต้องการจะดึงตัวซ่งชูอี ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงสายตาอันเยือกเย็นที่คล้ายกับว่าต้องการจะแทงทะลุเขาอย่างไรอย่างนั้น
ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าเป็นเจ้าอี่โหลว ทว่าเขาก็ยังเอื้อมมือลากซ่งชูอีราวกับต้องการยั่วยุมิปาน
“ไปเถิด” ซ่งฉู่อี้ขยับศีรษะของไป๋เริ่นไปที่ตักของเจ้าอี่โหลว ส่งเสียงเย้ยหยัน เอ่ยกับเจ้าอี่โหลว “ต่อไปอย่าให้เนื้อมันมากอีก ดูสิว่ากลายเป็นอะไรไปแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็แทบจะเทียบเท่าลูกม้าได้แล้ว!”
“หยุดวาจาประชดประชันเสียที เจ้าก็เลี้ยงเองแล้วกัน!” เจ้าอี่โหลวกล่าวอย่างหัวเสีย ความอยากอาหารของไป๋เริ่นมีผลมาจากการเลี้ยงดูของซ่งชูอี เนื้อแห้งก็ต้องมีความเหนียวทว่าไม่แข็งจนเกินไป ไม่กินเนื้อที่ดิบทั้งหมด แต่ก็ไม่กินเนื้อที่สุกทั้งหมด จะต้องสุกสี่ส่วนและมีเลือดติดมาบ้าง เจ้าอี่โหลวเลี้ยงเขาทั้งวันจนเหนื่อยแทบตาย
ซ่งชูอีสำรวจสีหน้าของเขาโดยละเอียด ยื่นมือตบๆ ไหล่ของเขา โน้มตัวเข้าหาพร้อมกระซิบว่า “อย่าทำตัวเป็นเด็กขี้งอแง อาบน้ำแล้วกลับไปอุ่นเตียงเสีย”
สีหน้าของเจ้าอี่โหลวแดงก่ำเป็นตับหมูภายในพริบตา ถ้าหากไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เขาอยากจะด่ามารดานางเสียจริง เขารีบเดินทางมาไกลเช่นนี้ก็เพื่อแม่งอาบน้ำอุ่นเตียงให้นางเช่นนั้นหรือ?!
อย่างไรก็เมื่อคิดดูแล้ว หากมิใช่เพราะสิ่งนี้ แล้วเหตุใดจึงต้องใช้เวลาเดินทางอย่างยากลำบากหนึ่งวันหนึ่งคืนและต้องข้ามภูเขาสองลูกเพื่อมาพบหน้านางด้วยเล่า?
“ไปไป!” ครั้นซ่งชูอีเห็นการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าอี่โหลวกับชูหลี่จี๋แล้วก็รีบเผ่นหนีทันทีพร้อมเอ่ยรบเร้า
ชูหลี่จี๋เหลือบมองเจ้าอี่โหลว ก้าวเท้ายาวๆ ตามออกไป
แสงจันทร์ภายนอกส่องแสงสลัว สามารถเห็นเพียงอวัยวะเลือนลางเท่านั้น ทั้งสองคนขี่ม้าออกมาจวนทางประตูด้านข้าง เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เสียงของชูหลี่จี๋ก็ดังขึ้นท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัด “น้องสาว ระหว่างที่เจ้ากินยา อย่าห้ามทำเรื่องพรรค์นั้นจะดีที่สุด”
เสียงของเขาเบามาก ทว่าซ่งชูอีได้ได้ยินอย่างชัดเจนและเข้าใจยิ่งเช่นกัน อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “หากทำแล้วจะเป็นเยี่ยงไร?”
มือของชูหลี่จี๋ที่กำบังเหียนม้ากำแน่น ทันทีที่ได้ยินนางถามเช่นนี้ก็รู้ว่ามันยังมิได้เกิดขึ้น จึงเอ่ยด้วยความโล่งใจ “ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ว่ากันว่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง และอาจจะส่งผลต่อการฟื้นตัวในภายภาคหน้า”
“ฮ่า เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรภายภาคหน้าข้าก็มิได้คิดที่จะฟื้นตัวอยู่แล้ว” ซ่งชูอีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ชูหลี่จี๋ตะลึงงัน
ที่จริงแล้วต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ผลลัพธ์ก็มิได้เลวร้ายอย่างที่เขากล่าว ที่กล่าวเช่นนี้มันเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวเท่านั้น ทว่าเขาก็ยังเข้าใจซ่งชูอี หากเขากล่าวว่าเสพสมกันแล้วก็จะกลับไปเป็นสตรีทันที เช่นนั้นซ่งชูอีก็คงจะรักษาตัวราวกับชิ้นหยกไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน
หลังจากออกมาจากตรอกแล้ว ทั้งสองก็ควบม้าไปตลอดทาง ครั้นถึงประตูพระราชวังแห่งเสียนหยางก็ถูกขวางไว้ “พระราชวังต้องห้าม ท่านทั้งสองได้โปรดหยุดด้วย!”
“นี่เป็นป้ายราชโองการของฝ่าบาท ชูหลี่จี๋มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเข้าเฝ้า” ชูหลี่จี๋ยื่นป้ายราชโองการออกมา
นายทหารรับป้ายราชโองการมา มองดูครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้าน้อยจะเข้าไปทูลรายงานก่อน”
พูดจบก็ประสานมือคำนับ พุ่งเข้าไปในพระราชวังพร้อมกับป้ายราชโองการ
ครั้นตกกลางคืน ผู้ที่เข้าไปในวังจะต้องมีคำสั่งจากองค์จวินให้เข้าเฝ้าด่วน หรือถือป้ายราชโองการหรือป้ายราชโองการจากจวินองค์ก่อน มิฉะนั้นจะถูกตัดศีรษะ