กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 144 ไปนอนที่เตียงเถิด
ไม่นาน คนผู้นั้นก็รีบวิ่งกลับมา ยื่นป้ายราชโองการคืนให้ชูหลี่จี๋ด้วยความนอบน้อม “ท่านทั้งสองเชิญเข้ามา ฝ่าบาทอยู่ในหออักษร”
พวกเขากล่าวขอบคุณ เข้าพระราชวังไปตามลำพัง
อิ๋งซื่อกำลังอ่านหนังสืออยู่ภายในหออักษร ยังอยู่ในชุดทางการเมื่อตอนกลางวัน ยังมิได้ชำระล้างร่างกาย ใบหน้านั้นดูเยือกเย็นลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิมภายใต้แสงไฟ
“ฝ่าบาท องค์ชายชูกับจู้ซย่าสื่อมาแล้วพะย่ะค่ะ” ขันทีก้าวสั้นๆ เข้ามาอย่างแผ่วเบา ค้อมตัวกราบทูลเสียงกระซิบ
“ให้พวกเขาเข้ามา” อิ๋งซื่อกล่าวโดยมิได้เงยหน้า
ขันทีถอยออกไป นำทางชูหลี่จี๋และซ่งชูอีเข้ามาภายในห้องทันที
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
ทั้งสองคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
“ไม่ต้องมากพิธี นั่งเถิด” บัดนี้อิ๋งซื่อจึงวางสมุดไผ่ลง เงยหน้าขึ้นมองชูหลี่จี๋ “มีเรื่องใด?”
ซ่งชูสบถอยู่ในใจ ช่างมีความสม่ำเสมอเสียจริง ละเว้นคำทักทายใดๆ พูดคุยอย่างตรงไปตรงมา
“กราบทูลฝ่าบาท ที่จริงอวี้สื่อซ่งมีคำแนะนำพะย่ะค่ะ” ชูหลี่จี๋กล่าว
อิ๋งซื่อละสายตามาที่ซ่งชูอีทันที
กิริยาของเขาเช่นนี้ ทั้งสองคนต่างรู้ว่าเขาต้องการให้ซ่งชูอีเป็นคนพูดเอง
“กราบทูลฝ่าบาท ข้าน้อยคิดว่าครั้งนี้เพียงทำทีว่าโจมตีเว่ยเป็นพอ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือทำให้ซานจิ้นเคลือบแคลงกันเอง เพราะการรักษาความแข็งแกร่งของกองทัพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” ซ่งชูอีเงยหน้ามองอิ๋งซื่อ
นี่คือการโจมตีภายนอกครั้งแรกของอิ๋งซื่อนับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ หากล้มเหลวตั้งแต่แรกเริ่ม เกรงว่าจะเป็นผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของเขาเป็นอย่างมาก อีกทั้งด้วยความเข้าใจที่ซ่งชูอีมีต่ออิ๋งซื่อ เขาเป็นองค์จวินที่หากไม่ทำสงครามก็ทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่ ดังนั้นนางจึงคิดว่าจำเป็นต้องเข้าพระราชวังในยามวิกาลเพื่อตักเตือนเขาร่วมกับชูหลี่จี๋
“ความแค้นระหว่างเว่ยฉินนั้นมีมานับร้อยปีแล้ว บัดนี้รัฐเว่ยเป็นเพียงพยัคฆ์ชราตัวหนึ่ง แต่สงครามธรรมดานั้นยากที่จะสั่นคลอนรากฐานของมัน ซึ่งไม่เป็นผลดีใดๆ ต่อรัฐฉินเลย…” ซ่งชูอีพูดแล้วก็หยุดกลางคัน
อิ๋งซื่อกล่าว “พูดมาเถิด ไม่ต้องกังวล ที่นี่มีแต่คนที่ไว้ใจได้”
“พะย่ะค่ะ ในเมื่อฝ่าบาทเพียงต้องการที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของเหล่าตระกูลเก่าแก่ส่วนใหญ่ หากจริงจังมากเกินไปก็กลับกลายเป็นความสูญเสีย” ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ “บัดนี้ดินแดนปาสู่กำลังจะทำสงครามกัน กระหม่อมยินดีที่จะทำลายรัฐปา!”
แน่นอนว่าอิ๋งซื่อรู้ว่าดินแดนที่ชวนจงผืนนั้นมีความหมายต่อรัฐฉินมากเพียงใด! เขาก็ต้องการกลืนกินรัฐปาและรัฐสู่ ทว่าถูกปิดกั้นด้วยสภาพทางธรรมชาติอย่างไม่มีทางเลือก อีกทั้งเขาเพิ่งขึ้นสู่อำนาจได้ไม่นาน จึงยังไม่มีโอกาสและยังไม่เหมาะสมที่จะลงมือกับรัฐปาและรัฐสู่ในทันที
บัดนี้รัฐปาและรัฐสู่มีสัญญาณว่าจะต่อสู้กัน ทว่าก็ไม่แน่ว่าอาจจะหยุดกองทัพเหมือนกับหานเว่ยอีกก็ได้?
ซ่งชูอีมีความคิดที่จะทำลายรัฐปาและรัฐสู่ก่อน นี่มิใช่สิ่งที่ฉุกคิดขึ้นมาฉับพลันเพื่อฉวยโอกาสตรงหน้า ชาติที่แล้วนางก็เคยคิดว่าหากนางออกจากหยางเฉิงก็ควรที่จะสวามิภักดิ์ต่อรัฐใดรัฐหนึ่ง ในเวลานั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วนางก็ได้เลือกรัฐฉินและรัฐฉี ยามว่างก็มักจะวิเคราะห์ว่าจะผนวกรัฐที่อยู่ข้างเคียงอย่างไรจากมุมมองของทั้งสองรัฐ
จากความทรงจำ ไม่นานหลังจากนี้รัฐปาและรัฐสู่จะเข้าสู่ความโกลาหลอย่างแน่นอน อีกทั้งสาเหตุที่ซ่งชูอีตัดสินใจเช่นนี้มิได้อาศัยความทรงจำ ทว่าจากการวิเคราะห์อย่างรอบคอบบนพื้นฐานแห่งการปฏิบัติ ต่อให้พวกเขาไม่มีความวุ่นวายก็สามารถคิดหาวิธีทำให้พวกเขาวุ่นวายได้มิใช่หรือ!
เงียบงันครู่หนึ่ง อิ๋งซื่อเอ่ยขึ้น “เยี่ยม”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” ซ่งชูอีกล่าวประจบด้วยความจริงใจ แม้นคำตอบเช่นนี้ของอิ๋งซื่อจะอยู่ในความคาดหมายของนางอยู่แล้วต่ก็ทำให้นางอดทอดถอนใจมิได้ “หากสงครามครั้งแรกประสบความล้มเหลว เกรงว่าความน่าเกรงขามของฝ่าบาทก็จะสูญเสียไปด้วย แม้นข้อดีข้อเสียจะอยู่ตรงหน้า ทว่าคนธรรมดาไม่สามารถตัดสินได้อย่างเด็ดขาดเช่นฝ่าบาท”
อิ๋งซื่อเอ่ยขึ้นเรียบๆ “กว่าเหรินไม่สนใจขั้นตอนแต่เพียงต้องการผลลัพธ์ เรื่องของปาสู่ก็ยกให้ท่านจัดการแล้วกัน ส่วนเรื่องหานเว่ยก็มิอาจละเลย ท่านจู้ซย่าสื่ออายุยังน้อย ควรจะได้รับการฝึกฝนเสียหน่อย”
พูดจบ ก็มิรอให้ซ่งชูอีได้คัดค้าน เอ่ยขึ้น “กว่าเหรินยุ่งมาก ออกไปเถิด”
ทุกอย่างก็เป็นไปอย่าง “มีความสุข” เยี่ยงนี้ อิ๋งซื่อแสดงอาการผ่อนคลายออกมาให้เห็นเล็กน้อย
ซ่งชูอีได้รับภาระอันหนักอึ้งเพิ่มขึ้นอย่างไร้เหตุผลอีกแล้ว นางรู้สึกหนักหน่วงในใจ ทว่านางสามารถพูดอะไรขัดคำสั่งได้หรือ?
ครั้นออกมาจากพระตำหนัก ชูหลี่จี๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง
“พี่ใหญ่หัวเราะกระไร!” ซ่งชูอีจ้องเขา
“รู้สึกว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญเจ้าเพียงนี้ จึงยินดีแทนเจ้า” ชูหลี่จี๋กล่าวอย่างมีนัยยะ
ซ่งชูอีส่งเสียงหึหึอยู่ในโพรงจมูก “ให้ความสำคัญทีเดียว! บัดนี้ข้าคือไม้เก็บมูลที่สะดวกมือของฝ่าบาท พี่ใหญ่ก็มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นต่อไปเถิด ถ้าพี่ใหญ่คิดว่าจะสามารถปลีกตัวออกจากตรงนี้ได้”
“หวยจินมิเห็นต้องว่าตัวเองเช่นนี้เลย พี่ใหญ่จะต้องช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดความสามารถแน่” ชูหลี่จี๋กล่าว
ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใต้หล้ามีบ่อของเสียที่ใหญ่เพียงนี้ ไม้เก็บมูลอย่างข้ามีอะไรน่าน้อยเนื้อต่ำใจกันเล่า?”
“ฮ่า!” ชูหลี่จี๋ปรบมือหัวร่อ ตบๆ ไหล่ของนางพร้อมเอ่ยว่า “หวยจินเอ๋ยหวยจิน จะพูดกับเจ้าเยี่ยงไรดี! ในสายตาฝ่าบาทของคือภาพแห่งยุทรภพ ทว่าในสายตาเจ้ากลับกลายเป็นบ่อของเสียไปแล้ว!”
ซ่งชูอียิ้มอย่างจนปัญญา ทั้งสองเดินลงบันไดช้าๆ
หลังจากชูหลี่จี๋ส่งซ่งชูอีกลับจวนแล้วจึงจะกลับไป
ภายในลานดูมีชีวิตชีวากว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย แสงไฟสว่างจ้า เพียงซ่งชูอีก้าวเข้าไปในประตูก็มีเงาสีขาวขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่จนร่างกายโซซัดโซเซ
ซ่งชูอียืนอย่างมั่นคงแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหูที่มีขนดกของไป๋เริ่นอย่างหยาบโลนพลางบ่นว่า “เจ้าอ้วนกว่านี้อีกสิ ลำพัง
น้ำหนักของเจ้าก็สามารถฆ่าคนได้แล้ว”
เจียนนั่งเฝ้าหม้อต้มเนื้อในลานอยู่เงียบๆ กลิ่นหอมลอยอบอวล
“ไป๋เริ่นยังมิได้กินหรือ?” ซ่งชูอีพาไป๋เริ่นเดินไปยังเฉลียง มองเข้าไปในหม้อนั้น
ดวงตากลมโตสีดำของไป๋เริ่นจับจ้อง หมอบอยู่ข้างซ่งชูอีอย่างว่าง่าย อากัปกิริยาน้อยๆ เช่นนี้ราวกับกำลังแสดงให้เห็นว่าตนยังไม่ได้กินจริงๆ
อย่างไรก็ดีเจียนเป็นผู้ซื่อสัตย์มาโดยตลอด เขาหมอบลงไปกับพื้น กล่าวด้วยความเคารพ “ไป๋เริ่นกินเนื้อน้ำหนักแปดจินเป็นอาหารค่ำ นี่คือเนื้อกวางที่คุณชายอี่โหลวนำมาต้มให้ท่าน”
“อ๋อ แล้วเขาล่ะ” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“คุณชายพักผ่อนแล้วขอรับ” เจียนกล่าว
ซ่งชูอีเลิกคิ้ว อากาศร้อนเพียงนี้ หรือว่าเขาจะไปอาบน้ำอุ่นเตียงแล้วจริงๆ? เหตุใดเมื่อก่อนจึงไม่รู้สึกว่าเขาเชื่อฟังเพียงนี้? ซ่งชูอีครุ่นคิดพลันรู้สึกว่าร่างกายของตนเหนียวเหนอะหนะ จึงไปอาบน้ำก่อนแล้ว
เมื่อกลับมาถึงห้องนอนก็ยังมีแสงจางๆ อยู่ภายใน ตัวหมากรุกถูกจัดเรียงเต็มโต๊ะกระดาน หมากขาวดำกำลังฆ่ากันอย่างดุเดือด ทว่าเจ้าอี่โหลวกลับผล็อยหลับไปด้วยมือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ มืออีกข้างที่ห้อยอยู่ข้างตักยังมีตัวหมากสีดำคีบไว้หลวมๆ ระหว่างนิ้ว คล้ายกับจะร่วงหล่นได้ทุกเมื่อ
สายลมพัดโชยอ่อนมาจากนอกหน้าต่าง แสงไฟวูบไหวสะท้อนเงาอยู่บนใบหน้าของเขา ไม่ว่ามันจะเคลื่อนไหวอย่างไรก็ไม่สามารถบั่นทอนลักษณะอันงดงามได้
ซ่งชูอีมองดูอย่างเงียบๆ เช่นนี้เนิ่นนานก่อนที่จะยื่นมือออกไปจิ้มๆ เขา “นี่ ไปนอนบนเตียง”
ซ่งชูอีเช็ดน้ำออกจากผมลวกๆ ด้วยผ้าขนหนู หันไปก็พบกับสายตาที่ง่วงซึม กิริยาของนางอ่อนลงมาเล็กน้อย ขมวดคิ้วเอ่ยทันใด “แข็งแรงเหมือนวัวจริงๆ เจ้าไปนอนเถิด ข้าไม่ถือว่าเจ้าเป็นผู้อุ่นเตียงดอก!”
เจ้าอี่โหลวเพิ่งจะดึงสติกลับมาช้าๆ ก็ได้ยินประโยคนี้เข้า อดที่จะโมโหมิได้ เขาตั้งใจรอนางกลับมา นางนึกว่าเขามานั่งตรงนี้เพราะขุ่นเคืองเช่นนั้นหรือ?
เจ้าอี่โหลวลุกขึ้นพรวดด้วยความโกรธ สะบัดแขนเสื้อเข้าห้องไป ตัวหมากที่อยู่ในมือของเขาเมื่อครู่กระดอนอยู่บนพื้นเสียงดังแปะๆ
ซ่งชูอีเช็ดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงต่อไป จับจ้องไปที่ตัวหมากที่กำลังหมุนอยู่บนพื้น ยกมุมปากยิ้มน้อยๆ