กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 149 แม่งน่ากลัวเกินไปแล้ว
พวกหนิงยาเคยชินแล้ว เวลาที่เจ้าอี่โหลวไม่อยู่ ซ่งชูอีมักจะเงียบอยู่เสมอ ทว่าเมื่อเขาอยู่ ทั้งสองคนคำรามใส่กันนับว่าเป็นเรื่องปกติมากเหมือนกินข้าว
“บัดนี้เจินจวิ้นโอนสัญชาติแล้ว” เจินจวิ้นนั่งลงพร้อมพุงพลุ้ย พ่นลมหายใจด้วยความยากลำบาก
“ดูเหมือนน้ำมันในรัฐฉินเพียงพอทีเดียว? ไม่ผอมแต่อ้วนกว่าเดิม!” ซ่งชูอีมองดูท้องของเจินจวิ้นที่กลมขึ้นทุกที เอ่ยเย้า “เมื่อก่อนเป็นเพียงซาลาเปาสีขาว บัดนี้กลายเป็นธัญพืชหลากชนิดไปแล้ว”
เจินจวิ้นหัวร่อเสียงดัง “หล่งซีลมแรงผู้คนเกรี้ยวกราด ทว่าท่านยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง”
ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “คุยธุระมาเถิด”
“เนื่องด้วยย้ายถิ่นฐานคราวนี้ กิจการของข้าในหลายๆ รัฐจึงประสบปัญหาอยู่บ้าง ในเวลานี้ข้าไม่มีปัญญาดูแลได้อย่างทั่วถึง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะขาดทุนใหญ่หลวง ฉะนั้นด้วยสถานการณ์ปัจจุบันจึงต้องปรับเปลี่ยนและปิดบางกิจการลง ที่ข้ารีบมานี้ก็เพราะต้องการถามความเห็นของท่าน ท้ายที่สุดก็ยังใช้บางกิจการเพื่อรวบรวมข่าวสารได้” เจินจวิ้นกล่าว
เจินจวิ้นได้จัดระเบียบกิจการของสกุลเจินเป็นรูปเล่มและมอบให้ซ่งชูอีตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว นางก็เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี กิจการหลักของสกุลเจินอยู่ที่หลี่ว์ ฉี ฉู่และเว่ยสี่รัฐ นอกจากนี้ยังมีการติดต่อการค้าเป็นปกติในปาสู่ อีกทั้งสถานที่ที่เป็นพื้นฐานที่สุดในรัฐหลี่ว์ก็ไม่สามารถละทิ้งเป็นอันขาด
“ข้าแนะนำให้ท่านคืนกิจการที่รัฐเว่ย” ซ่งชูอีเอ่ย
เจิยจวิ้นเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ฉินเว่ยทำสงครามกันเสมอมา เหตุใดท่าน…”
ซ่งชูอีเอ่ย “ก็เพราะเหตุนี้ รัฐฉินจำต้องเฝ้าระวังรัฐเว่ยเป็นที่สุด ข่าวสารไม่มีทางขาดแคลน นี่ยังเป็นเรื่องรอง ในมุมมองของพ่อค้าแล้ว ข้าคิดว่าหากไร้ซึ่งทางเลือกจริงๆ ก็ควรจะพิจารณ้าล้มเลิกกิจการในรัฐเว่ยก่อนชั่วคราว รัฐเว่ยเคยเป็นรัฐมหาอำนาจมาก่อน องค์ชายอั๋งก็ให้ความสำคัญแก่ชาวบ้านและพ่อค้า พ่อค้ารายใหญ่จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา การแข่งขันดุเดือด บัดนี้รัฐเว่ยได้สูญเสียอำนาจแล้ว ประชากรและดินแดนก็ค่อยๆ หายไป หากมองในระยะยาว มันไม่คุ้มที่จะพยายามต่อสู้เพื่อดินแดนผืนเล็กนี้ในตอนนี้”
ดวงตาของเจินจวิ้นเบิกกว้าง เอ่ยอุทาน “ท่านมีความสามารถโดยแท้ หยิบยกเส้นทางการค้ามาได้ตามใจนึก!”
“ฮ่า หยุดชมส่งเดชเสียที ใครบ้างที่ไม่มีสายตาด้านนี้? ข้าไม่ใช่ผู้ที่ทำการค้าขายเสียหน่อย” ซ่งชูอีมีความตระหนักในตนเองอยู่เสมอ นางไม่เข้าใจการค้าขาย แต่มันก็ใช้ตรรกะเช่นเดียวกับการจัดการความสัมพันธ์ทางการทูตที่ต้องวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียอย่างชัดเจน
กิจการของสกุลเจินในรัฐเว่ยนั้นใหญ่มาก เงินที่ได้ก็เป็นจำนวนที่เหลือคณานับเช่นกัน ทว่าเจินจวิ้นต้องใช้พลังงานมากกว่าครึ่งหนึ่ง ช่วงนี้เขายุ่งจนหัวหมุนและไม่ทันระวัง กิจการที่อยู่ในรัฐเว่ยจึงเกิดปัญหา
สำหรับการพิจารณาในระยะสั้นและในระยะยาว กอปรกับได้มองทำเลในรัฐฉีไว้แล้ว เดิมทีเจินจวิ้นก็ตั้งใจจะละทิ้งการค้าขายส่วนใหญ่ในรัฐเว่ยชั่วคราว ทว่าเพียงแค่กังวลเรื่องประโยชน์ของซ่งชูอี ถึงอย่างไรเขาก็ทำการค้าขายในรัฐเว่ยมาหลายปี เครือข่ายระหว่างบุคคลก็ใหญ่โตจนไม่อาจประเมินได้
“ช่วงนี้ได้ข่าวของปู้วั่งบ้างหรือไม่?” ซ่งชูอีตียุงด้วยพัด พลางเอ่ยถาม
เจินจวิ้นตบหน้าผากตัวเอง “หากท่านไม่ถามข้าก็เกือบลืมไปแล้ว วันก่อนทางรัฐฉู่ส่งข่าวมา บอกว่าหลงกู่ปู้วั่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองพันในรัฐฉู่ อีกทั้งได้รับคำชื่นชมจากท่านแม่ทัพสยงเว่ยอีกด้วย”
“ไม่เลว” ซ่งชูอีอุทาน
นางมิได้ชมที่หลงกู่ปู้วั่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองพันภายในระยะเวลาอันสั้น แต่กลับรู้สึกว่าในที่สุดเขาก็สามารถปล่อยวางความเย่อหยิ่งของตนและไปหาคนที่จะสามารถช่วยเหลือเขาได้ในอนาคต สยงเว่ยเป็นน้องชายต่างมารดาของฉู่อ๋องและเป็นคนโง่เง่าเหมือนกัน แต่ก็เข้ากันได้ดีมากกับฉู่อ๋อง คนโง่สองคนค่อนข้างกลมกลืนกันไม่น้อย หากเป็นในอดีต ด้วยนิสัยของหลงกู่ปู้วั่ง เขาไม่มีวันยอมตกเป็นเบี้ยล่างของคนประเภทนี้อย่างแน่นอน
ซ่งชูอีพอใจมากที่การฝึกฝนของตนเป็นประโยชน์ต่อหลงกู่ปู้วั่ง หากเขาสามารถยืนหยัดต่อไปได้ วันนี้สยงเว่ยอาจเป็นที่พึ่งพาของเขา วันหน้าอาจกลายเป็นก้อนหินให้เขาเหยียบขึ้นไปก็เป็นได้
“สมกับเป็นลูกศิษย์ของท่าน!” เจินจวิ้นเป็นพ่อค้ามานานเกินไป กล่าวคำเยินยอจนเป็นนิสัยและโพล่งออกมาโดยธรรมชาติ
นี่ก็นับว่าเป็นนิสัยเสียของเขา ซ่งชูอีเพียงยิ้มให้มันผ่านไป
“เหตุใดท่านจึงไม่พาหลงกู่ปู้วั่งเข้าฉินเล่า?” เจินจวิ้นเอ่ย
ซ่งชูอีส่ายหน้า “รัฐฉินไม่เหมาะกับเขา”
หลงกู่ปู้วั่งไม่ชอบการฝึกทหาร เขาหวังว่าสักวันหนึ่งจะเป็นเหมือนผังเจวียนที่นำกองทัพเว่ยที่อยู่ยงคงกระพัน
กองทัพที่อยู่ยงคงกระพันนั้นจำต้องมีความศรัทธา จำต้องมีกฏเกณฑ์ และกองทัพชุดเกราะสีดำของรัฐฉินได้สร้างกฎที่สมบูรณ์แบบไว้แล้ว พวกเขาก็มีความศรัทธาอันแข็งแกร่งดังก้อนหินที่ไม่อาจไหวติง หากหลงกู่ปู้วั่งเข้ารัฐฉิน ก็จะกลายเป็นผู้ที่ทำได้เพียงเชื่อฟังกฎเกณฑ์และความศรัทธาเหล่านี้ซึ่งมันมิใช่ความปรารถนาของเขา
นับตั้งแต่อู๋ฉี่แห่งรัฐฉู่แล้ว ก็ไม่มีแม่ทัพคนใดสามารถรวมพลทหารได้อีกแล้ว หลายปีมานี้ กองกำลังทหารก็มิได้มีการพัฒนามากนัก ทว่าเนื่องจากรัฐมีดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรมาก จึงมีความสามารถในการสร้างกองทัพที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่ากองทัพเว่ยได้
เจินจวิ้นเน้นย้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง ซ่งชูอีจึงรู้ว่าสิ่งที่เขาเป็นกังวลมาตลอดคืออะไร จึงเอ่ยอย่างเรียบง่าย “ในโลกแห่งสงครามก็มีเพียงเจ็ดมหานครรัฐนี้ แม้นจะรับใช้บ้านเมืองในเวลาเดียวกัน ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องมีจุดยืนที่เหมือนกัน มันยากที่จะไม่ต่อต้านซึ่งกันและกัน ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งความคิดของอีกฝ่ายได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการปล่อยวางกระมัง! ทำตามใจปรารถนา ปลดปล่อยไปตามอารมณ์ จะได้ไม่เสียชาติเกิด ความเป็นและความตายเป็นเพียงเรื่องเล็กเท่านั้น!”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “อย่าได้กังวลไปเลย ไม่แน่ว่าเจ้าเด็กบ้านั่นอาจกำลังเตรียมการแข่งกับข้าก็เป็นได้”
“ท่านมีอิสระยิ่งนัก” ครั้นได้รับยาที่ทำให้จิตใจสงบลง เจินจวิ้นจึงเบาใจลงไม่น้อย
ในความเป็นจริงแล้ว เขามิได้กังวลวันที่อาจารย์และศิษย์กลายเป็นศัตรูกันหรือว่าใครคนหนึ่งจะลำบากใจ เพียงแต่เขาได้ทุ่มทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อสนับสนุนซ่งชูอีจึงไม่สามารถทนต่อข้อผิดพลาดใดๆ ได้ หากนางกระทำผิดพลาดโดยมิได้ตั้งใจและตกที่นั่งลำบากในรัฐฉิน เช่นนั้นสกุลเจินที่อยู่ในมือของนางควรต้องทำเยี่ยงไร?
ซ่งชูอีก็เข้าใจว่าการรับความสนับสนุนของสกุลหนึ่งก็เป็นการแบกรับความผิดชอบของตระกูลนั้นในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เมื่อเจินจวิ้นถามขึ้นอีกครั้ง นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ
ทั้งสองคนพูดคุยกันเล็กน้อย ขณะที่เจินจวิ้นลุกขึ้นขอตัวกลับ ซ่งชูอีก็เอ่ยกำชับ “ระหว่างนี้ก็เฝ้าดูข่าวคราวของปาสู่ด้วย”
“ขอรับ” เจินจวิ้นกล่าว
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว โคมไฟถูกจุดบนทางเดิน สายลมยามค่ำคืนพัดมาอย่างแผ่วเบา เงาของซ่งชูอีเหยียดยาวออกไปบนพื้นหิน
ครั้นกลับมาถึงห้อง เจ้าอี่โหลวก็หลับแล้ว
ซ่งชูอีถอดเสื้อตัวนอกนอนลงบนเตียง หลับตาพักผ่อน
เงียบงันอยู่เนิ่นนาน จู่ๆ เจ้าอี่โหลวพูดขึ้น “องค์ชายคนนั้นรู้ว่าเจ้าเป็นสตรีหรือ?”
“อืม” ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “มีอะไรอยากจะพูดรึ?”
เมื่อได้ยินคำถามที่ไม่แยแสของนางเช่นนี้ เจ้าอี่โหลวก็กลืนคำที่ต้องการพูดในตอนแรกลงไป กล่าวเย้ยหยัน “เขาสามารถมองออกนับว่าไม่ง่ายเลย! แม้กระทั่งข้าที่รู้อยู่แล้ว ยังเริ่มที่จะไม่เชื่อว่าเจ้าเป็นสตรีเพศ”
ซ่งชูอีหัวเราะเยาะสองที พลิกตัวใช้มือและเท้ากดบนตัวของเขา ยื่นมือลูบๆ สองครั้ง
เจ้าอี่โหลวหน้าแดงผ่าวในความมืด กล่าวเสียงแข็ง “ร้อน”
“เจ้าหมายความว่า…อยากถอดเสื้อรึ?” ซ่งชูอีตบๆ เขาพร้อมเอ่ย “ข้าไม่รังเกียจ”
“เจ้าเจียมตัวหน่อยมิได้หรือ? เมื่อก่อนข้ายังเห็นเจ้าแอบร่ำไห้ในชุดเจ้าสาว บัดนี้กลับกลายเป็นคนวิปลาสขึ้นทุกทีแล้ว!” เจ้าอี่โหลวเอื้อมมือคว้าใบหน้าของนาง “เจ้าคงไม่ใช่ปีศาจหรอกนะ!”
ซ่งชูอีตัวสั่น เรื่องที่แอบร่ำไห้ในชุดเจ้าสาวเช่นนี้…นางคิดว่าต่อให้เอาหลายชาติมารวมกันนางก็ไม่มีความรู้สึกละเอียดอ่อนถึงขั้นนั้น
“เจ้าตัวสั่นทำไม?” เจ้าอี่โหลวถามด้วยความประหลาดใจ
ซ่งชูอียื่นมือกอดเขา “เรื่องที่เจ้าเล่าแม่งน่าตกใจเกินไปแล้ว ข้ากลัวเป็นอย่างยิ่ง”
เจ้าอี่โหลวไม่พูดจา
ความกลัวเป็นเรื่องปกติ ทว่าในเวลานี้เด็กสาวปกติทั่วไปอย่างน้อยก็ควรจะพูดว่า ‘น่ากลัวจัง ข้ากลัวมาก’ อะไรเทือกนี้มิใช่หรือ?
สิ่งที่เจ้าอี่โหลวคิดไม่ถึงก็คือ ที่ซ่งชูอีบอกว่าน่ากลัวนั้นมิได้หมายถึงภูติผีปีศาจ…ทว่าเป็นเรื่องแอบร่ำไห้ในชุดเจ้าสาวที่เคยเกิดขึ้นกับตัวนางจริงๆ…นางคิดอยู่เสมอว่าไม่ควรหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแสดงท่าทีดัดจริตด้วยหน้าตาเช่นนี้
ราตรีในรัฐฉินนั้นหนาวเย็นกว่าในตอนกลางวันมาก ทั้งสองคนนอนด้วยกันอย่างใกล้ชิดและหลับสนิทตลอดคืน
ยามฟ้าสางของวันรุ่งขึ้น
หนิงยาเข้ามาปลุกซ่งชูอีเพื่อเตรียมประชุมราชสำนัก
ซ่งชูอีขยับตัว พบว่าคนข้างกายไม่อยู่แล้ว ก็ลุกขึ้นพรวดถามหนิงยา “อี่โหลวเล่า?”
“เรียนท่าน องค์ชายไปแล้วเจ้าค่ะ ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะ ท่านจะอ่านดูหรือไม่?” หนิงยาพูดพลาง หยิบจดหมายจากโต๊ะเข้ามา
ซ่งชูอีหาว เขย่าเปิดผ้าไหมสีขาวออก อ่านเนื้อหาด้านในอย่างละเอียดสองสามรอบ บอกเพียงว่าวันกลับของอาจารย์กำลังใกล้เข้ามา เขาต้องรีบกลับไปต้อนรับโดยเร็ว
เป็นเช่นนี้จริงหรือ?
ซ่งชูอีจุ๊ปาก นางนับว่าเป็นคนที่มีความรอบรู้ ทว่าเวลาส่วนใหญ่แล้วนางก็ยังเดาไม่ออกว่าเจ้าอี่โหลวกำลังคิดอะไร
ผู้คนรอบข้างเข้ามาและจากไป อย่าว่าแต่จากเป็นเลย แม้แต่การจากตายก็เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องเหล่านี้ไม่อาจทำให้นางเจ็บปวดได้นานแล้ว ในเมื่อเดาไม่ออกซ่งชูอีก็ไม่ไปคิดถึงมันอีก หลังจากทำความสะอาดสร่างกายและแต่งตัวเสร็จแล้วฟ้าก็ทอแสงรำไร
หัวข้อของการประชุมราชสำนักก็ยังคงหนีไม่พ้นข้อพิพาทกฎหมายเก่าใหม่ ท่าทีคลุมเครือของอิ๋งซื่อในช่วงแรกทำให้เหล่าตระกูลเก่ารู้สึกมีความหวังริบหรี่ ทว่าหลังจากผ่านความพยายามร่วมครึ่งปี อิ๋งซื่อก็กดเรื่องนี้ไว้เงียบๆ พวกเขาค่อยๆ ตระหนักได้ว่าอิ๋งซื่อไม่เคยมีความคิดที่จะล้มล้างกฎหมายของซางจวินตั้งแต่แรก ฉะนั้นการโต้แย้งในท้องพระโรงจึงค่อยๆ สงบลง มีเพียงคนบางกลุ่มที่ต่อสู้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ส่วนตระกูลเก่าแก่ที่ต้องการฟื้นฟูกฎหมายเก่าอย่างจริงจังก็เริ่มสงบลงและพยายามหาวิธีอื่น
ลมที่ก่อให้เกิดคลื่นบัดนี้ได้กลายเป็นคลื่นปั่นป่วนใต้น้ำไปเสียแล้ว สายลมที่ดูภายนอกสงบนิ่ง ทว่าในความเป็นจริงมันจวนระเบิดมากขึ้นทุกที
ในท้องพระโรง ซ่งชูอียังคงคุกเข่าเป็นมนุษย์ล่องหนอยู่ใต้เสา เพราะความขัดแย้งสงบลง การประชุมจึงสิ้นสุดลงก่อนกำหนด
ซ่งชูอีง่วนอยู่กับการรวบรวมข่าวสารจากทุกสารทิศ หาแผนที่โดยละเอียด วิเคราะห์ภูมิศาสตร์ เส้นทาง กองทหารรักษาการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ของปาสู่ นางเป็นผู้สนับสนุนการใช้แผนล่อเพื่อชิงไหวชิงพริบกับปาสู่ ทว่าคราวนี้จำต้องยึดครองปาสู่ด้วย ฉะนั้นจะต้องเตรียมการอย่างสมบูรณ์แบบ
ผ่านไปครึ่งเดือน ซ่งชูอีจึงได้รับข่าวว่าบัดนี้ชูหลี่จี๋ได้เดินทางถึงรัฐปาแล้ว
เส้นทางสู่ปาสู่ส่วนใหญ่เป็นถนนบนภูเขาที่ยากลำบากและอันตราย ม้าไม่สามารถวิ่งผ่านบางจุดได้และไม่อาจส่งข่าวด่วนในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ การส่งสารไปและกลับจำต้องใช้เวลามากกว่าเดิมสองถึงสามเท่า ซ่งชูอีรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าการนั่งรออยู่ตรงนี่มิใช่กลยุทธ์ที่ดีนัก
“หนิงยา เตรียมม้า” ซ่งชูอีปิดสมุดไผ่ สวมเสื้อตัวนอก เตรียมเข้าวังไปเข้าเฝ้าฉินกง นางต้องไปปาสู่ด้วยตัวเองสักเที่ยว
“เจ้าค่ะ” หนิงยาตอบรับ แล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไปด้วยความรวดเร็ว