กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 15 คนรูปงามมีอาหารกิน
บทที่ 15 คนรูปงามมีอาหารกิน
Ink Stone_Romance
เดิมทีซ่งชูอีนึกว่าเสียงหัวเราะของตัวเองจะดึงดูดความสนใจของผู้อารักขาได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีใครถามไถ่เลย
“เป็นเพียงทาสต่ำต้อย ต่อให้เจ้าหัวเราะจนตาย ก็ไม่มีใครสนใจเจ้า” จางอี๋โจมตีกลับอย่างดูถูกดูแคลน
ซ่งชูอีนอนลงกับผ้าห่มและไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน“เจ้าตกต่ำถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไรข้าก็พอจะดูออกอยู่บ้าง ไม่ตระหนักถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน ไม่มีกำลังที่จะต่อสู้กลับ ทว่ายังพยายามยั่วโมโหข้า มันมีผลดีต่อเจ้าเยี่ยงไร?”
จางอี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าครุ่นคิด ท่ามกลางแขกที่ปรึกษากว่าร้อยคนในรัฐฉู่ เขากล้าพูดว่าความสามารถของตัวเองนั้นมิได้อยู่ภายใต้ผู้ใด เขามีความทะเยอทะยาน ทว่ากลับล้มเหลวมาโดยตลอด ที่แท้เขาพ่ายแพ้ให้กับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้หรือ…
ซ่งชูอีหลับตาลง ทว่าในใจของนางมิได้สงบนิ่งดังเช่นภายนอก ชาติที่แล้วนางไม่เคยเห็นจางอี๋ ทว่าชื่อนี้โด่งดังเป็นอย่างยิ่ง เสนาบดีคนแรกของต้าฉินในอนาคตก็มีนามว่า “จางอี๋” ซ่งชูอียังนึกว่าเป็นชื่อที่ซ้ำกันเสียอีก หลังจากได้ยินเขาบรรยายถึงประสบการณ์ชีวิตแล้วจึงมั่นใจในสถานะของเขา ไม่ว่าจะอย่างไรการตีสนิทกับจางอี๋ย่อมมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
ตั้งแต่ที่ซ่งชูอีฟื้นขึ้นมาก็นอนกลางดินกินกลางทราย แม้ว่าบัดนี้รถม้าจะกระแทกกระทั้น นางก็ยังกอดผ้านวมอุ่นๆ และเข้าสู่ความฝันอย่างรวดเร็ว เจ้าอี่โหลวโตจนป่านนี้ก็เพิ่งเคยได้สัมผัสผ้านวมชั้นดีและเสื่อฟางปราณีตเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขานอนอยู่ด้านบน ตื่นเต้นอยู่เนิ่นนานไม่ยอมหลับใหล
ครั้งนี้ไม่รู้ว่าซ่งชูอีหลับไปนานเท่าใด ครั้นตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็ขมุกขมัวแล้ว นางขยับแขนเล็กน้อย มือก็ไปสัมผัสกับสิ่งของนุ่มนิ่มเข้า นางอึ้งไปครู่หนึ่ง ยื่นมือลูบๆ คลำๆ ทันใดนั้นในสมองก็ว่างเหล่า…สิ่งนี้มัน…คือ…
“เจ้าเสี่ยวฉง” ซ่งชูอีตะโกนอย่างเย็นชา
เจ้าอี่โหลวตอบรับด้วยเสียงสะลึมสะลือ โน้มตัวเข้าหานาง
“เจ้าเสี่ยวฉง” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความโมโห เปิดผ้านวมของเขาอย่างแรง เป็นไปตามคาด ร่างกายของเจ้าอี่โหลวเปลือยเปล่าไร้เครื่องนุ่มห่มใดๆ และส่วนที่มือของซ่งชูอีสัมผัสเมื่อครู่นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเป้าของเขา
จางอี๋ที่กำลังยัดข้าวเข้าปากอยู่ข้างๆ ตกใจจนสะดุ้งโหยงแล้วหันไปมอง ทันใดนั้นข้าวหนึ่งคำนั้นก็ติดอยู่ในลำคอของของเขา กลืนไม่ลงอาเจียนไม่ได้ หายใจไม่ออกจนใบหน้าแดงก่ำ
ผ้านวมของเจ้าอี่โหลวถูกคลายออก รู้สึกหนาวจนตัวสั่นจึงตื่นขึ้นกะทันหัน พบว่าจางอี๋หน้าแดงระเรื่อ ใบหน้าของซ่งชูอีถูกผมบดบังไว้จึงมองเห็นสีหน้าไม่ชัด ทว่าสามารถรู้สึกได้ว่าสายตาของเขาสอดส่องไปทั่วร่างกายของเขา
ฉากนี้มันประหลาดเกินไปแล้ว ผู้ชายเห็นเรือนร่างของเขาเขินอายจนหน้าแดง ผู้หญิงเห็นเรือนร่างของเขากลับมองจนเจ้าอี่โหลวต้องรีบคว้าผ้านวมปกปิดร่างกายด้วยความรวดเร็ว
“เหตุใดจึงไม่ใส่เสื้อ” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
เจ้าอี่โหลวพันตัวเองจนเหมือนหนอนดักแด้ ก้มหน้าเอ่ย “ผ้านวมสะอาดถึงเพียงนี้ ข้ากลัวว่ามันจะเปื้อน”
“เอื้อก” จางอี๋พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ในที่สุดก็กลืนข้าวลงไปได้ เอ่ยพร้อมหายใจหอบ “เขานอนอยู่ในผ้านวมของตัวเอง ไม่ได้รบกวนอะไรเจ้าเลย ข้าน้อยเห็นอย่างชัดเจนว่าเจ้าเข้าไปในผ้าห่มของน้องชายท่านนั้น”
ซ่งชูอีถอนหายใจแล้วพูดว่า “เฮ้อ ขอบคุณที่เตือนสติข้าน้อย ที่จริงข้าก็มิได้กล่าวโทษเขา เพียงแต่รู้สึกว่าเขานอนอยู่ข้างกายข้าเช่นนี้ ไม่ใคร่ปลอดภัยนัก”
จางอี๋มองเจ้าอี่โหลว แล้วมองซ่งชูอี ถามด้วยความงุนงง “ไม่ปลอดภัยเยี่ยงไร?”
“ข้ากังวลว่าตัวเองจะวู่วามง่ายเกินไป จนทำให้เขาต้องเสียความบริสุทธิ์” ซ่งชูอีเอ่ยเรียบๆ
จางอี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแห้งสองที “คิดไม่ถึงว่าน้องชายอีเยวี่ยอายุยังน้อยทว่ากลับมีความชอบที่ไม่เหมือนใครเช่นนี้ ช่างทำให้…ทำให้รู้สึกอัศจรรย์ใจโดยแท้”
เจ้าอี่โหลวตกตะลึง สงสัยว่าตัวเองมีภาพหลอนไปชั่วขณะ
อาจเป็นเพราะผู้อารักขาเห็นว่าซ่งชูอีตื่นแล้ว ไม่ช้าก็มีสตรีนางหนึ่งส่งกล่องอาหารเข้ามา
“บ่าวชื่อว่าเหมย ต่อไปจะเป็นผู้ดูแลคุณชาย” รูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้นับว่าปานกลาง ทว่ามีจุดเด่นที่ความเล็กน่าเอ็นดู เอวนั้นเพรียวบางเพียงหนึ่งมือจับ คิ้วตาหลุบลงเล็กน้อยซึ่งดูเหมือนจะสามารถกระตุ้นความเสน่หาของผู้ชายได้
คุณชายเป็นการเรียกที่มีความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ผู้ชายทั่วไปไม่อาจมีคุณสมบัติที่จะถูกเรียกเช่นนี้
ซ่งชูอีรู้สึกว่านางผู้นี้ราวกับให้ความสำคัญกับเจ้าอี่โหลวมากเกินไปแล้ว นางเขยิบตัวไปด้านข้าง การส่งเหมยเข้ามารับใช้ นี่เป็นเพราะไม่คิดว่านางจะอยู่หน้าเวทีได้จึงจงใจเปลี่ยนบ่าวสาวใช้ ซ่งชูอีแอบตื่นตัว ในเมื่อพวกเขาทำเช่นนี้แสดงว่ารู้สึกว่านางไร้ประโยชน์แล้ว การกำจัดทาสหญิงที่ไร้ประโยชน์ไม่มีอะไรมากไปกว่าการขายหรือใช้งานหนักเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉาน
เหมยเปิดฝากล่องอาหาร กลิ่นหอมลอยออกมาทันที
ซ่งชูอีถูกดึงดูดความสนใจ นางชำเลืองมอง ข้างในเป็นเนื้อกวางย่าง น้ำมันไหลเยิ้ม กรอบนอกนุ่มใน น้ำมันที่อยู่ด้านบนยังคงส่งเสียงเสียดแทงเล็กน้อย สุกกำลังดีทั่วทั้งชิ้น ข้าวขาวในชามเคลือบทองด้านข้างที่มีไอร้อนพวยพุ่งทำให้รู้สึกอยากอาหาร
หลังจากเปิดขึ้นมาชั้นแรก ด้านล่างเป็นชามดินเผาเล็กอันหนึ่ง ด้านข้างของจานเคียงด้วยกะหล่ำปลีกับงาขาว เปิดขึ้นมาอีกชั้น ด้านล่างเป็นผลกานถังสองลูกอยู่ในจานทองสัมฤทธิ์ฝีมือปราณีต
มือบอบบางขาวละเอียดของเหมยของฝาชามดินเผาออก กล่าวเสียงเบา “คุณชาย นี่เป็นแกงเนื้อสุนัข ท่านหัวหน้าคณะกล่าวว่าคุณชายร่างกายอ่อนแอ จำเป็นต้องบำรุง”
พูดพลางนางก็ค้อมตัว สองมือถือตะเกียบไว้เหนือศีรษะโดยอยู่ในตำแหน่งที่เจ้าอี่โหลวสามารถยกมือหยิบได้พอดิบพอดี
เจ้าอี่โหลวมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า อดที่จะลงมือเปิบมิได้ ทว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้ามารยาทงดงามเช่นนี้ เขาก็คงไม่สามารถทำอะไรตามใจได้จนเกินไป ยื่นมือหยิบตะเกียบ กลืนๆ น้ำลาย ทว่าด้วยการปรนนิบัติที่สูงส่งเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อยจริงๆ “หัวหน้าคณะคือใคร?”
หัวหน้าคณะหรือโยวเฉียว ไม่ได้แซ่โยวชื่อเฉียว ทว่าเรียกเช่นนี้เป็นการชี้ให้เห็นถึงตำแหน่งอย่างหนึ่ง สองคำนี้หมายถึงหัวหน้าคณะที่ชื่อว่าเฉียว
“เป็นนายใหญ่ของขบวนรถเรา” นางผู้นั้นกล่าวเพียงเท่านี้ ค้อมคำนับต่ำ “เชิญคุณชายตามสบาย”
ซ่งชูอีลอบถอนหายใจ เกิดมาหน้าตาดีมีประโยชน์จริงๆ นางครุ่นคิดพลันหันไปมองในจานของจางอี๋ที่มีเพียงเนื้อหมูธรรมดาชิ้นหนึ่งและข้าวถั่วหยาบๆ จำนวนหนึ่ง
ไม่ช้าก็มีผู้อารักขาคนหนึ่งเลิกม่านขึ้น โยนชามดินเผาอันหนึ่งลงตรงหน้าซ่งชูอี
ในชามดินเผามีเพียงข้าวถั่วเย็นชืด ทว่าจำนวนไม่น้อยเลย
ซ่งชูอีชายตามองจางอี๋ที่หัวเราะอย่างมีความสุข อดลอบด่าในใจมิได้ หัวเราะเย้ยคนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่า มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นมันดีตรงไหนกัน “เนื้อชิ้นนี้ ข้าแบ่งให้นางครึ่งหนึ่งได้หรือไม่?” เจ้าอี่โหลวหมายถึงซ่งชูอี
ทันใดนั้นซ่งชูอีน้ำตาคลอเบ้า เจ้าเด็กดี ช่างมีเมตตาและคุณธรรมจริงๆ “คุณชายจะแบ่งอาหารเหล่านี้ก็ได้ตามใจชอบ” หญิงสาวกล่าวด้วยความเคารพ
เจ้าอี่โหลวเอื้อมมือจับเนื้อชิ้นนั้นทันที ทว่ากลับถูกหญิงสาวยื่นมือเข้ามาห้าม “ได้โปรดให้อภัยที่บ่าวเสียมารยาท งานหยาบเช่นนี้ ได้โปรดให้บ่าวทำเถิด”
พูดพลาง นางก็หยิบกริชด้ามเล็กออกมาจากแขนเสื้อกว้าง หั่นเนื้อกวางร้อนๆ ไขมันเยิ้มเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างแผ่วเบาแล้ววางลงในชามดินเผาของซ่งชูอี จากนั้นก็หั่นเนื้อกวางเป็นชิ้นพอดีคำด้วยความรวดเร็ว วางลงในชามเคลือบทองสองสามชิ้น
เดิมทีเจ้าอี่โหลวไม่เข้าใจมารยาทซับซ้อนบนโต๊ะอาหาร รู้เพียงแต่ว่าอาหารอันโอชะอยู่ตรงหน้า กินเข้าไปอยู่ในท้องตัวเองต่างหากจึงจะเป็นเรื่องจริง ดังนั้นจึงลงมือเปิบอาหารโดยตรง
หญิงสาวผู้นั้นสีหน้าตกอกตกใจ นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งจึงห้ามปรามไม่ทัน ขณะที่ต้องการจะห้ามปรามอีกครั้งนั้น เนื้อในชามก็ถูกเขายัดเข้าไปในปากแล้ว นางมองดูใบหน้าที่ยังคงเขียวช้ำที่ซ่อนอยู่ภายใต้เส้นผมดกดำ แม้ว่าลักษณะเยี่ยงนี้ก็ยังสามารถมองเห็นสีสันได้เลือนราง หลังจากชำระล้างร่างกายและแต่งกายเต็มยศแล้วจะต้องเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาสง่างามอย่างไม่มีที่เปรียบแน่นอน หญิงสาวลอบถอนหายใจและมิได้ห้ามปรามอีก ในใจรู้สึกว่าวันเวลาที่เขาสามารถทำตามใจตัวเองได้นั้นเหลือน้อยแล้ว
ซ่งชูอีกับเจ้าอี่โหลวกินอย่างเอร็ดอร่อย จางอี๋ก้มหน้ามองชามของตัวเอง พวกเขาก็ทำให้ตนรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาบ้างจึงเริ่มกินคำโตแล้ว
จนกระทั่งเจ้าอี่โหลวกินข้าวเม็ดสุดท้ายเสร็จ หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยขึ้น “คุณชาย ได้โปรดตามข้ามา”
เจ้าอี่โหลวได้ยินมาว่าเขาจะให้นักโทษประหารกินอย่างเต็มที่เป็นมื้อสุดท้าย จากนั้นก็ไปปฏิบัติภารกิจที่โอกาสรอดชีวิตน้อยมาก เขารีบหดตัวถอยหลัง “ข้าไม่ไป”