กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 155 มอบความรักให้อย่างดี
“แหกปากอะไรกัน! คิดว่านี่เป็นลานหลังบ้านเจ้ารึ!” กู่หานจ้องเขาด้วยความโมโห
กู่จิงหดๆ คอ ราวกับถูกสูบลมออกไปอย่างไรอย่างนั้น พูดเสียงอ่อย “ไม่จริงรึ? ฝ่าบาทเป็นถึงบุรุษชั้นสูง คู่ควรกับ
องค์หญิงแห่งราชวงศ์โจว พระธิดาของเว่ยอ๋องกระจอกนัก!”
ชายหนุ่มหลายสิบคนส่งเสียงเออออเบาๆ พร้อมกัน “ใช่ๆ”
จูโหวแบ่งแยกดินแดน เจ็ดมหานครรัฐถือกำเนิด ราชวงศ์โจวกลายเป็นเครื่องประดับนานแล้ว ทว่าก็ยังเป็นเครื่องประดับที่สูงส่งนัก
“ท่านเห็นว่าเยี่ยงไร?” กู่จิงเห็นว่ากู่หานสีหน้าไม่ดีจึงหันไปหาซ่งชูอีทันที รอคำตอบของนางด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยการรอคอย
ซ่งชูอีขี่ม้าอย่างเชื่องช้า หรี่ตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ที่จริงแต่งไปก็ดีเหมือนกันนะ”
“ท่าน!” คิ้วหนอนไหมที่หนาเตอะคู่นั้นของกู่จิงกลับหัวทันใด จ้องซ่งชูอีด้วยสีหน้าโหดร้าย ราวกับว่าหากนางไม่เอ่ยเหตุผลที่น่าเชื่อถือก็จะเฉือนนางด้วยมีดทันทีอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่จำเป็นต้องวู่วาม” ซ่งชูอียิ้มกริ่มพลางกวักมือส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาใกล้
กู่จิงลังเลครู่หนึ่ง ขี่ม้าเข้าไปใกล้
“ยื่นหูมาใกล้ๆ” ซ่งชูอีเอ่ย
กู่จิ่งเอนตัวเข้าไป ซ่งชูอีโน้มตัวเข้าใกล้หูของเขากระซิบว่า “เจ้าโง่หรือไง เห็นอยู่ว่ารัฐเว่ยเสนอเรื่องปรองดองก่อน พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องละอายมากนัก น่าจะคุยกันเรื่องสินสอดทองหมั้นเรียบร้อยแล้วด้วย อีกทั้งพวกเรายังจะได้เด็กหญิงกลุ่มหนึ่งเป็นกำไร นางจะเป็นพระธิดาแห่งเว่ยหรือพระธิดาแห่งราชวงศ์โจวก็ช่างประไร มาที่รัฐฉินก็นับว่าเป็นสตรีของต้าฉินแล้ว”
“ทว่านี่คือการปรองดอง” กู่จิงกดเสียงต่ำ ทุกคนต่างรู้ความหมายของ “การปรองดอง” นี้
“แต่งกับพระธิดาของเขาก่อน จะทำสงครามหรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกเรา เหตุใดเจ้าถึงได้ซื่อตรงเพียงนี้เล่า?” ซ่งชูอีพูดราวกับว่ามันเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
“เช่นนี้ก็ได้หรือ?” กู่จิงขมวดคิ้ว อดมิได้ที่จะพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย “หากพวกเรากระทำเช่นนี้ เช่นนั้นมีอะไรต่างจากชาวเว่ยรึ?”
ซ่งชูอีแอบเกลือกตา พลันคิดในใจว่าครั้นซางจวินโน้มน้าวองค์ชายอั๋งก็ไม่เห็นมีชาวฉินต่อต้านนี่นา! ทว่านางกลับกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “เอ๊ะ! เจ้าจะกล่าวเยี่ยงนี้มิได้ การที่องค์หญิงเว่ยแต่งเข้ามามิได้มาจากการจัดสรรของพวกเรา หากพวกเราคิดจะทำสงครามกับรัฐเว่ยขึ้นมา นางอาจคิดที่จะลอบปลงพระชนม์พอดี หรือไม่ก็มีความสัมพันธ์กับใครบางคน หรือไม่ก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ เรื่องเหล่ามันก็พูดยากถูกหรือไม่?”
“คงไม่บังเอิญเช่นนั้นดอกกระมัง!” สมองอันน้อยนิดของกู่จิงไม่ใคร่เข้าใจสิ่งที่นางพูด แต่มันทำให้คนข้างๆ เหงื่อซึมทั่วกาย
แม้นพวกเขาจะคุยกันเสียงเบา ทว่าทักษะการฟังของมือดาบนั้นยอดเยี่ยม แทบทุกคนได้ยินเนื้อหาของบทสนทนานี้
จี้ฮ่วนใช้แขนกระทุ้งจี๋อวี่ “พี่ใหญ่ ท่านเห็นเยี่ยงไร?”
“เห็นกระไร” จี๋อวี่มองทางโดยไม่หันมามอง
“ความคิดนี้ของท่านหวยจินเยี่ยงไรเล่า?” จี้ฮ่วนเอ่ย
“มืดมน น่ารังเกียจ ไร้ยางอาย ต่ำต้อย” จี๋อวี่กล่าวสรุปอย่างกระชับและมีพลัง
ในใจของจี้ฮ่วนกลับรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ไม่มีอะไรที่จะเป็นความผิดพอที่จะวิจารณ์ได้ ขณะที่กำลังจะพูดแก้ต่างให้นางสองสามคำ พลันได้ยินซ่งชูอีกล่าวขึ้น “ถึงอย่างไรเสียก็หลับนอนกับพระธิดาของเขาก่อน เก็บสินสอด ให้ความสัมพันธ์มั่นคงก่อนค่อยว่ากัน กอบโกยผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางการทูตของรัฐเว่ยให้ได้มากที่สุดจึงจะบรรเทาความเกลียดชังได้ จะทำสงครามหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคต”
จี้ฮ่วนรีบเก็บคำพูดทันที และมิได้ส่งเสียงใดอีก ไอแห้งทีหนึ่งแล้วมองออกไปด้านนอก
คำพูดของซ่งชูอีนี้เต็มไปด้วยความหยาบโลน ทว่าเหล่ามือดาบก็เป็นคนหยาบคายอยู่แล้ว ได้ยินดังนี้จึงรู้สึกมีความสุขยิ่ง ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนก็เห็นว่าเป็นวิธีที่ไม่เลว
ซ่งชูอียื่นมือลูบคลำขากรรไกร พึมพำกับตัวเอง “เพียงแต่ไม่รู้ว่าองค์หญิงเว่ยมีลักษณะเยี่ยงไร มิฉะนั้นฝ่าบาทของพวกเราที่งามชดช้อยปานนั้นก็เสียเปรียบแล้ว…”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ
ในความคิดของชาวฉิน ชายรูปงามก็คือบุรุษผู้แข็งแรงเกรียงไกรและกล้าหาญทรงพลัง นอกเหนือจากนี้ไม่สำคัญ แม้ว่ารูปลักษณ์ขององค์จวินในราชวงศ์นี้จะละเอียดอ่อนไปหน่อย ทว่าก็ไม่มีใครในนี้ที่กล้าเปรียบเทียบอิ๋งซื่อด้วยคำว่า “ชดช้อย” เลย
หลังจากการยุแยงของซ่งชูอี เหล่ามือดาบรู้สึกว่าจะแต่งกับสตรีชาวเว่ยหรือไม่นั้นดูเหมือนมิใช่สิ่งสำคัญกระไร ต่อให้เป็นพระธิดาแห่งเว่ยอ๋องก็ยังเป็นเพียงสตรีนางหนึ่งเท่านั้น
สำหรับองค์หญิงแห่งรัฐเว่ยนั้น นับตั้งแต่วินาทีที่นางเกิดมาเป็นองค์หญิงก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าอาจจะเป็นตัวหมากได้ทุกเมื่อ ความสูงส่งและราคาเป็นสิ่งเดียวกันในฐานะเครื่องบรรณาการในความสัมพันธ์ทางการทูต นี่คืออย่างที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว ไม่มีใครคิดที่จะเห็นใจนางเป็นพิเศษ
กิจการของเสียนหยางมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาเพียงน้อยนิด สิ่งที่ซ่งชูอีต้องทำคือทำให้อารมณ์ของมือดาบที่อยู่รอบตัวเหล่านี้มั่นคง และพยายามจัดการกับเรื่องของปาสู่อย่างเต็มที่
“ท่านขอรับ พวกเราจะค้างแรมในรัฐฉู่หนึ่งคืน หรือว่าเข้าถนนเส้นเล็กโดยตรง?” กู่หานเอ่ยถาม
“จะอยู่ในรัฐฉู่ต่อไปอีกไม่ได้ ทุกท่านลำบากอีกสักหน่อย พ้นสถานที่อันตรายไปได้ก่อนค่อยพักผ่อน” ซ่งชูอีกล่าว
“ขอรับ!” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน แม้แต่บัณฑิตที่ดูเหมือนอ่อนแอยิ่งเช่นซ่งฉืออี้ก็ยังเข้มแข็งได้ เป็นธรรมดาว่าพวกเขาจึงไม่อาจจะขวัญหนีดีฝ่อ อีกทั้งตลอดทางมานี้ซ่งชูอีก็ลำบากไม่น้อยไปกว่าพวกเขา จึงไม่มีใครตำหนิกระไร
พวกเขาอาศัยขณะที่ท้องฟ้ายังสว่างรีบขี่ม้าไปตามถนนสายเล็ก ครั้นพลบค่ำก็ใกล้ถึงทางเข้าหุบเขาแล้ว
“ย๊า!” เสียงเกือกม้าดังขึ้น ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปดู เมื่อเห็นว่าเป็นมือดาบที่ล่วงหน้าไปสำรวจเส้นทางกลับมาก็ลดการระวังตัวลง
มือดาบที่สำรวจเส้นทางประสานมือเอ่ย “ท่าน มีค่ายทหารฉู่อยู่ห่างออกไปด้านหน้าห้าลี้ เพราะไม่สะดวกเข้าใกล้ บัดนี้จึงไม่ทราบจำนวนคนที่แน่นอน ทว่ากะจากสายตาแล้วน่าจะมีไม่น้อยกว่าแสนนาย”
“รู้ว่าเป็นทหารจากที่ใดหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“มีตัวอักษร ‘สยง’ อยู่บนธงขอรับ” มือดาบตอบ
สยงเว่ย? ซ่งชูอีคิดกลับไปกลับมาอยู่รอบหนึ่ง มีท่านแม่ทัพหลายคนที่แซ่สยงในรัฐฉู่ ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้มีเพียงไม่กี่คนที่มีคุณสมบัติเป็นถึงผู้บังคับบัญชาทหารแสนนาย และมีเพียงท่านแม่ทัพสยงเว่ยเท่านั้น
ในเมื่อสยงเว่ยอยู่ เช่นนั้นหลงกู่ปู้วั่งก็ควรจะอยู่ที่นั่นเช่นกัน ผู้บังคับกองพันอาจนับเป็นตำแหน่งสูงในรัฐเว่ย์ ทว่าในกองทัพนับแสนของรัฐฉู่ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย
ซ่งชูอีไม่ต้องการยุ่งให้มากเรื่อง ทว่าเหตุใดกองทัพรัฐฉู่จึงกดดันอยู่ที่ชายแดนรัฐปาเล่า? นางจำต้องสืบเรื่องนี้อย่างละเอียด หากรัฐฉู่ก็มีความประสงค์ที่จะโจมตีรัฐปาเช่นกัน ก็ควรจะวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้พยายามอย่างเต็มที่แต่สุดท้ายก็เพื่อตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น
คิดไปคิดมา ซ่งชูอีก็รู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้ แม้ว่ารัฐปาจะอยู่ตรงหน้ารัฐยักษ์ใหญ่ในยุคแรกเช่นรัฐฉู่ ทว่ายังคงมิได้มีความสูญเสียเนื่องด้วยฐานที่มั่นตามธรรมชาติ แต่ความสำคัญของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของรัฐปานั้นชัดเจนยิ่ง ฉู่อ๋องโง่เขลา ทว่ารัฐฉู่ก็ยังมีคนฉลาดไม่น้อย
“จับตาดูต่อไป อย่าเข้าใกล้เกินไปเป็นอันขาด” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ” มือดาบกล่าว
“ท่าน…”
ซ่งชูอีเอ่ยตัดบทกู่หาน “พวกเราเข้าไปในถนนเส้นเล็กก่อน รีบเดินทางตามแผนเก่า ส่งสองสามคนให้อยู่ต่อเพื่อสืบข่าว”
“ขอรับ!” กูหานตอบรับแล้วไปจัดการ
“ท่าน เช่นนั้นให้ข้าไปสืบข่าวดีหรือไม่” จี๋อวี่กล่าว
ซ่งชูอีเข้าใจความหมายของเขา เขาคิดทำทีไปขอที่หลบภัยกับหลงกู่ปู้วั่ง ร่วมมือกับมือดาบเพื่อส่งข่าวออกไป จากนั้นค่อยหาวิธีถอนตัว
ซ่งชูอีส่ายหน้า
จี้ฮ่วนครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านมิต้องการฉวยโอกาสนี้หรือ?”
แน่นอนว่าเขาหมายถึงหลงกู่ปู้วั่ง แม้ว่าบัดนี้จะรับความจริงที่ว่านางเป็นสตรีได้แล้ว และตัดสินใจที่จะติดตามนางด้วยกันกับจี๋อวี่ ทว่าเขาก็มักจะกลัวอยู่เสมอว่านางจะอ่อนแอดังสตรีทั่วไป
ซ่งชูอีมองจี้ฮ่วนและจี๋อวี่ด้วยแววตาที่มีความหมายแอบแฝง หัวเราะอย่างเกียจคร้าน เอ่ยทีเล่นทีจริง “นั่นสินะ นั่นคือลูกศิษย์สุดที่รักของข้า จำต้องมอบความรักให้อย่างดีเสียหน่อย”
จี้ฮ่วนมองดูนางขี่ม้าจากไปก็แสดงอาการสับสน เขาค่อนข้างเป็นคนซื่อสัตย์แต่ไม่เขลา จึงมิได้ทำความเข้าใจไปตามความหมายที่อยู่ตรงหน้าเพียงอย่างเดียว อีกทั้งรู้สึกว่า “มอบความรักให้อย่างดี” ที่ซ่งชูอีกล่าวนั้นน่ากลัวเล็กน้อย หันกลับมาถาม “พี่ใหญ่ ท่านหวยจิน…ความหมายว่ากระไรหรือ?”
“ย้าก” จี๋อวี่ขี่ม้าไปข้างหน้าเอ่ยว่า “ไปเถอะ เพราะข้าคิดน้อยไป ปู้วั่งฉลาดกว่าที่ข้ากับเจ้าจินตนาการไว้มากนัก”
หลงกู่ปู้วั่งได้ศึกษาและค้นคว้าทฤษฎีแห่งสำนักต่างๆ เดิมทีก็เป็นผู้ที่มีความสามารถและฉลาดมากคนหนึ่ง เพียงแต่อารมณ์ฉุนเฉียวเกินไปอีกทั้งยังมีอารมณ์ของวัยหนุ่ม อย่างไรก็ดีเขาได้ฝึกฝนกับซ่งชูอีช่วงระยะเวลาหนึ่ง บวกกับประสบการณ์จนถึงตอนนี้ อาจไม่สามารถกล่าวได้ว่าเกิดใหม่ ทว่าอย่างน้อยก็ใช่ว่าจะหลอกเอามาได้ง่ายๆ