กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 157 เจียงที่สิบหกแห่งรัฐเว่ย์
ซ่งชูอีมองย้อนกลับไปก็เห็นเด็กสาวผู้นั้นเดินเข้ามาทางนี้ มือดาบรอบกายจับดาบเตรียมพร้อมทันที
“ท่านต้องการจะเข้ารัฐปาหรือ? น้องสาวก็ต้องการจะเข้ารัฐปาเช่นกัน ไม่ทราบว่าจะร่วมเดินทางได้หรือไม่” ดวงตาดำขลับของเด็กสาวจับจ้องซ่งชูอี ไม่ตื่นตระหนกเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ซ่งชูอีมองนางอย่างเฉยเมย หมุนตัวกลับ “ออกเดินทาง”
ไม่ใส่ใจเด็กสาวผู้นั้นเลย
กลุ่มคนขี่ม้าเข้าไปยังถนนสายเล็กที่ปรากฏขึ้นรางๆ ท่ามกลางป่าทึบ ขบวนรถพ่อค้าขนาดใหญ่อาจเพิ่งผ่านไปก่อนหน้านี้ไม่นาน พุ่มไม้และวัชพืชจำนวนมากถูกบดขยี้และสามารถมองเห็นถนนได้ในพริบตา
ย่างเข้าสู่ตอนกลางคืน แสงสว่างในป่ามืดเร็วกว่าด้านนอกมาก ทุกคนต่างไม่พูดจา เอาแต่ก้มหน้าเร่งเดินทาง จนกระทั่งมองไม่เห็นร่องรอยใดๆ แล้วซ่งชูอีจึงสั่งให้พักผ่อนอยู่ที่เดิม
หากมิใช่เพราะมีเรื่องวุ่นวายในระยะหลังนี้ เถ้าแก่ร้านผู้นั้นก็ตายแล้ว ก็คงไม่ต้องรีบเดินทางเข้าป่าเพียงนี้
เหล่ามือดาบหยิบหรดาลออกมาไว้บนตัว นำม้าเข้าไปผูกไว้ในป่า โรยผงหรดาลไว้โดยรอบ ก่อนที่จะหาต้นไม้ในบริเวณใกล้เคียงไว้เอนหลัง
จี้ฮ่วนรู้ถึงสภาพน่าเวทนาของซ่งชูอีขณะหลับเป็นอย่างดี ดังนั้นเขากับจี๋อวี่จึงนอนเป็นแนวนอนซ้ายขวาของนาง เตรียมพร้อมที่จะจับนางได้ทุกเมื่อ
ทุกคนมิได้นอนหลับสนิทเป็นเวลาหลายคืนแล้ว หลังจากกู่หานจัดการเรื่องเฝ้ายามกลางคืนเรียบร้อย ป่าก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ต้นไม้ในป่าแน่นขนัดมาก แทบไม่มีสายลมใดๆ เลย เศษแสงของจันทราที่ส่องทะลุช่องว่างนั้นดูเหมือนจะนำมาซึ่งความเย็นสบายเล็กน้อย
ผ่านไปประมาณสองชั่วยาม จู่ๆ ก็มีเสียงสวบสาบๆ ดังมาจากในป่า เหล่ามือดาบลืมตาขึ้นทันใด หันมองไปยังด้านนอกผ่านใบไม้ที่หนาแน่น
ซ่งชูอีได้ยินเสียงแล้วก็ลืมตาเช่นกัน บัดนี้จี้ฮ่วนที่อยู่ข้างๆ ง้างคันธนูและเล็งออกไปเงียบๆ แล้ว
แสงภายในป่านั้นมืดสลัว หลังจากเห็นเพียงพุ่มไม้ที่สั่นไหวเลือนรางก็มีเงาสีขาวโผล่ออกมาจากตรงนั้น คันธนูในมือของจี้ฮ่วนแทบจะง้างจนสุดแขนจนซ่งชูอีสามารถได้ยินเสียงที่ตึงแน่นแผ่วเบา
เงาสีขาวที่อยู่ด้านล่างนั้นพ่นลมหายใจและเรียกเสียงเบา “ท่าน?”
ที่แท้มันคือเด็กสาวผู้นั้นที่พบเมื่อตอนค่ำ ซ่งชูอีหลับตานอนต่อ
จี้ฮ่วนไม่รู้ว่าควรยิงสังหารหรือไม่ อดที่จะมองจี๋อวี่มิได้ ครั้นเห็นเขาส่ายศีรษะเบาๆ ก็ค่อยๆ ลดคันธนูลง ทว่ามือกลับกดด้ามดาบไว้
เด็กสาวผู้นั้นยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง หาต้นไม้หดตัวอยู่ตรงนั้น
จี๋อวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย กลิ่นของผงหรดาลรอบด้านนั้นหนักหน่วงมาก สามารถพบว่าพวกเขาพักผ่อนอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลก ทว่าพฤติกรรมของเด็กสาวทำให้เขารู้สึกว่าไม่ธรรมดา การปล่อยให้คนหนึ่งติดตามมาเช่นนี้ เขามักจะรู้สึกใคร่ไม่สบายใจนัก อย่างไรก็ดีครั้นนึกถึงหน้าตาของเด็กสาวที่เห็นเมื่อตอนพลบค่ำก็รู้สึกคล้ายกับเคยเห็นที่ใดมาก่อน…เขาปรายตามองไปยังใบหน้าของซ่งชูอี เห็นนางกำลังหลับตาด้วยท่าทางเช่นปกติ ก็มิได้เก็บมาใส่ใจอีก
เงียบสงัดตลอดราตรี
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อสว่างขึ้นเล็กน้อย ทุกคนก็รีบลุกขึ้นขยับตัว แล้วเร่งเดินทางต่อ
ภายในป่าเช่นนี้ ไม่สามารถเร่งความเร็วของม้าได้ แต่สะดวกสบายกว่าการเดินบนพื้นหญ้ามาก
“ท่านขอรับ เด็กสาวผู้นั้นยังคงตามมาอยู่” จี้ฮ่วนโน้มตัวเข้าหาซ่งชูอีกระซิบ
“จับตาดูไว้ หากมีความเคลื่อนไหวอะไรก็ฆ่าได้ทันที” ซ่งชูอีกล่างอย่างกระชับรัดกุม
“ข้ารู้สึกว่านางดูคุ้นตา” จี๋อวี่กล่าว
จี้ฮ่วนตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเย้า “พี่ใหญ่ แม่นางผู้นี้หน้าตาไม่เลว ท่านคงมิได้ชอบนางหรอกนะ?”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าจี้ฮ่วนรู้ดีว่าจี๋อวี่มิใช่คนเช่นนั้น ครั้นเห็นใบหน้าเคร่งขรึมก็รู้สึกว่าตนได้กล่าวสิ่งที่น่าอับอายออกไป ลูบๆ จมูกเอ่ยถาม “หรือว่าพี่ใหญ่เคยเห็นนางที่ใดมาก่อน?”
“เหมือนองค์หญิงสิบหก” จี๋อวี่กล่าว
จี้ฮ่วนประหลาดใจ ขณะที่หันหลังกลับไปมองก็ไม่เห็นเงาของเด็กสาวผู้นั้นแล้ว “ไม่หรอกกระมัง องค์หญิงสิบหกจะหนีเข้ามาในป่าลึกนี้ได้เยี่ยงไร?”
จี๋อวี่อายุปูนนี้แล้วทว่ารับใช้อยู่แต่ในรัฐเว่ย์เท่านั้น และแน่นอนว่าองค์หญิงที่เขากล่าวถึงก็คือองค์หญิงแห่งรัฐเว่ย์
เว่ย์โหวมีผู้หญิงมากมาย พระธิดาองค์เล็กที่สุดคือองค์หญิง “เจียง” อายุสิบหกและองค์หญิง “ซี” อายุสิบเจ็ด
พระมารดาของทั้งสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ตั้งครรภ์ในเวลาเดียวกัน และแทบจะเกิดในเวลาเดียวกัน ในเวลานั้นเว่ย์โหวอายุเกือบจะห้าสิบปีและก่อนหน้านี้ไม่มีเด็กเกิดใหม่ในวังมาเจ็ดหรือแปดปีแล้ว ดังนั้นแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นเด็กผู้หญิงทว่ากลับเป็นพระธิดาที่เขารักมากที่สุด
บิดาเดียวกันแต่ต่างมารดา บางทีอาจเป็นเพราะว่าผู้เป็นแม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดและหน้าตาคล้ายกันมาก รูปลักษณ์ของเด็กสาวในวัยสิบหกและสิบเจ็ดปีจึงคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่องค์หญิงวัยสิบหกมีไฝที่ใต้ตา
ตำแหน่งทางการทหารของจี๋อวี่ไม่นับว่าสูงกระไร ไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของเหล่าองค์หญิงได้อย่างชัดเจน แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยง พวกนางมักจะอยู่ในจุดที่สะดุดตาที่สุด จี๋อวี่เคยมองดูจากที่ไกลๆ หลายต่อหลายครั้ง ฉะนั้นแม้นจะมีส่วนคล้ายแต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไปถามเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
จี๋อวี่ไม่สามารถนิ่งดูดายต่อมาตุภูมิที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่อ้อนแต่ออกได้ ทันทีที่ได้ยินซ่งชูอีพูดเช่นนั้นเขาก็หันหัวม้าของเขาออกไปทันที ในใจของเขาเข้าใจดีว่าองค์หญิงแห่งรัฐเว่ย์มิได้มีความหายใดๆ ต่อซ่งชูอีเลย การที่นางกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้ก็เพราะว่านางใส่ใจความรู้สึกของเขา
ในใจของจี๋อวี่ซาบซึ้งต่อเรื่องนี้มาก
จากนั้นไม่นานจี๋อวี่ก็กลับมาพร้อมกับคนคนหนึ่ง
ซ่งชูอีหันมาทันใด ยิ้มมองจี๋อวี่แล้วผิวปาก
มือดาบทุกคนหันไปตามเสียงผิวปากของซ่งชูอี ครั้นเห็นจี๋อวี่อุ้มสาวงามอยู่ในอ้อมแขนก็ส่งยิ้มอย่างมีนัยยะให้เขา
ใบหน้าซีดขาวของเด็กสาวแดงระเรื่อ หลุบตาลงมองขาที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตน
จนกระทั่งจี๋อวี่เดินเข้าไปใกล้ จี้ฮ่วนอดมิได้ที่จะถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร?”
เว่ย์เจียงมองจี้ฮ่วนอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากแตกระแหงขยับเล็กน้อยทว่ากลับไร้ซึ่งคำตอบ
ผู้ชายทุกคนล้วนมีความปรารถนาที่อธิบายไม่ได้ที่จะปกป้องสาวงามผู้อ่อนแอ จี้ฮ่วนเห็นว่านางน่าสงสารจึงแกะถุงน้ำและยื่นให้นาง “ถ้าไม่รังเกียจก็ดื่มเถิด”
“ขอบคุณ” เว่ย์เจียงรับถุงน้ำมา ถอดจุกออกแล้วจิบสองสามคำอย่างไม่รังเกียจ
แม่ว่านางจะมีสภาพสะบักสะบอม แต่ทุกการเคลื่อนไหวเผยให้เห็นการสงวนท่าทีและความสง่างามที่เป็นเอกลักษณ์ของสตรี ทำให้จี้ฮ่วนอดที่จะอุทานในใจมิได้ เป็นสตรีเหมือนกัน เหตุใดจึงต่างกันถึงเพียงนี้
ม้าของจี๋อวี่เกือบจะหยุดอยู่ขนานกับซ่งชูอี เว่ย์เจียงจึงสามารถมองเห็นใบหน้าด้านข้างของซ่งชูอีได้อย่างชัดเจน นางกล่าวเสียงเบา “ขอบคุณท่านที่พาข้าไปด้วย”
ซ่งชูอีหันหน้าไปยิ้มกว้างให้กับนาง “หากรู้สึกขอบคุณจริงๆ…จะเอาตัวเข้าแลกข้าน้อยก็ไม่รังเกียจเลย”
สีหน้าของเวย์เจียงแดงก่ำ “พระคุณของท่าน ชาติหน้าข้าน้อยจักตอบแทน…”
“ข้าน้อยสายตาสั้น มองมิได้ไกลขนาดนั้น” ซ่งชูอีมีรอยยิ้มที่มุมปาก สำรวจนางสองสามรอบ ครั้นราวกับเห็นว่านางอมทุกข์เป็นอย่างมากก็หัวเราะเสียงดัง เอ่ยด้วยความเป็นมิตร “แค่เย้าเล่นเท่านั้น ข้าน้อยมิเคยขืนใจสตรี ทว่าแม่นางทั้งงดงามและมีนิสัยห้าวหาญเพียงนี้ ช่างชวนให้ข้าตกหลุมรักโดยแท้”
ทุกคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจ ทั้งหมดเป็นเพราะเมื่อครู่ซ่งชูอียังเฉยชาต่อความเป็นความตายของผู้อื่นด้วยซ้ำ ครั้นจี๋อวี่ช่วยนางแล้ว เพียงพริบตานางก็เกี้ยวพาราสีด้วยความสบายใจ มันช่างน่าสมเพศเหลือเกิน แต่แม้เด็กสาวจะดูเหมือนว่ารำคาญเล็กน้อย แต่นางกลับมิได้โกรธเคือง
เว่ย์เจียงอายจนมิกล้าเงยหน้าและมิได้เห็นสีหน้าของผู้คนรอบกาย