กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 158 ความใคร่มิใช่ความรัก
ในช่วงแรก ซ่งชูอีเพียงหัวเราะเย้าไม่กี่คำทว่าหลังจากนั้นก็สงบลงแล้ว
เหตุผลที่นางกล้าขึ้นเขามิใช่เพราะว่านางสามารถคำนวณได้จริงๆ ทว่าในนางเคยผ่านเส้นทางนี้ในชาติที่แล้วหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่าของนางก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ถึงกระนั้นนางก็ไม่กล้าประมาทและมีสมาธิในการแยกแยะเส้นทางเสมอ เนื่องจากในหุบเขามีเส้นทางเล็กๆ หลายทาง หากเดินทางผิดก็อาจจะยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ และจะพบกับภยันตรายหรือไม่นั้นก็ไม่อาจรู้ได้
เดินทางด้วยความราบรื่นตลอดเส้นทาง ครั้นฟ้ามืดแล้วก็มาถึงข้างลำธารสายหนึ่งพอดี ซ่งชูอีสั่งให้พักผ่อนอยู่ที่นี่หนึ่งคืน
กู่จิ่งชำระล้างใบหน้าที่เปื้อนฝุ่น สะบัดน้ำแล้วเดินเข้าไปหาซ่งชูอี “ท่านเก่งกาจยิ่งนัก เส้นทางนี้ราบรื่นยิ่ง ช่างเป็นสัญญาณที่ดีโดยแท้”
ซ่งชูอียิ้มพลางตบๆ พื้นหญ้าที่อยู่ด้านข้าง กู่จิ่งนั่งขัดสมาธิลงข้างๆ เอ่ยด้วยสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความสงสัย “ท่านมี
เวทมนตร์ประเภทนี้ไม่ทราบว่าเหตุใดเพิ่งจะใช้”
“สิ่งสำคัญคือ…” ซ่งชูอีเข้าใกล้นาง เอ่ยด้วยความลึกลับ “มันเหนื่อยเกินไป ไม่สามารถใช้อย่างพร่ำเพรื่อ”
กู่จิ่งมีสีหน้าเข้าใจ พนักหน้าหงึกหงัก
จี๋อวี่มิได้กล่าวอะไร เขาไม่รู้ว่าซ่งชูอีสามารถคำนวณดวงชะตาได้จริงหรือไม่ แต่ตามความเข้าใจรวมถึงความรู้สึกของเขา คิดว่านางกำลังคุยโวโอ้อวดอยู่
จู่ๆ เว่ย์เจียงที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “ท่านสกุลซ่งหรือ?”
ซ่งชูอีหันไปยิ้ม เลิกคิ้วเล็กน้อย
ในสายตาของคนอื่นแล้วท่าทางเช่นนี้คือการยอมรับในสิ่งที่เว่ย์เจียงกล่าว ในขณะเดียวกันก็ถามนางว่าเหตุใดจึงถามเยี่ยงนี้
“เสด็จพ่อของข้ากล่าวถึงท่านบ่อยๆ” รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าที่ซีดเซียวของเว่ย์เจียง “เขากล่าวว่า ‘มีความสามารถและใจเย็นจึงจะเป็นผู้เก่งกาจ มีปัญญาและสงบเหลือจึงจะอยู่เหนือปัญญาญาณ’ ท่านก็คือผู้เก่งกาจและมีปัญญาปานนี้”
ผู้มีความสามารถที่ไม่หยิ่งหรือไม่ผลีผลาม ไม่แยแสต่อโลกคือผู้มีพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ ผู้มีปัญญาทว่ากลับมีอารมณ์สงบนิ่ง ไม่ถูกสิ่งภายนอกรบกวนคือผู้มีปัญญาอันยอดเยี่ยม
จี๋อวี่อึ้งไปเล็กน้อย หากตัดนิสัยน่าขยะแขยงและขี้เล่นตามปกติเหล่านั้นของซ่งชูอีทิ้งไปแล้ว นางปฏิบัติต่อเรื่องใหญ่ด้วยจิตใจที่สงบนิ่งมาโดยตลอด ไม่เคยร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเพราะเรื่องใดๆ เลย หรือแม้แต่บางคราวนิ่งเฉยจนชวนให้รู้สึกว่านางไม่มีความรับผิดชอบด้วยซ้ำ แม้ผลลัพธ์นั้นจะไม่ดีก็ยังยอมรับอย่างใจเย็น
บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เขาเต็มใจมอบความจงรักภักดีให้นางกระมัง
“วาจานี้มีเหตุผล ทว่าอารมณ์ของข้าน้อยฉุนเฉียวง่าย” ซ่งชูอีวิพากย์วิจารณ์ตัวเองด้วยความจริงใจ
นี่คือเรื่องจริงที่สุดทว่าไม่มีผู้ใดเชื่อ เพราะว่าเวลาที่ซ่งชูอีฉุนเฉียวโดยมากจะเกิดขึ้นต่อหน้าเจ้าอี่โหลวเท่านั้น
“ท่านถ่อมตนเกินไปแล้ว” เว่ย์เจียงกล่าว
“โลกล้วนมีความชอบธรรม รัฐฉินคืออนารยชน อันที่จริงรัฐปาสู่ก็มีความแข็งกระด้างไร้ซึ่งคุณธรรม องค์หญิงเป็นผู้สูงส่ง เหตุใดจึงจะเข้ารัฐปา?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
เนื่องจากดินแดนปาสู่ปิดกั้นการติดต่อสื่อสารยาวนาน มีการผสมผสานกับวัฒนธรรมของจงหยวนน้อยมาก ทว่าก็เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง พวกเขามีวัฒนธรรมปาสู่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเอง คำว่าแข็งกระด้างนั้นมิได้หมายถึงความป่าเถื่อน เพียงแต่มีบางรูปแบบที่ชาวจงหยวนไม่สามารถเข้าใจได้ บวกกับชาวปาสู่กล้าหาญในการสู้รบทำให้คนภายนอกมองว่าป่าเถื่อนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เว่ย์เจียงก้มหน้า เอ่ยขึ้น “ข้ามาตามหาคน”
ซ่งชูอีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยความกะตือรือร้น “ตามหาผู้ใดหรือ? ข้าน้อยเข้าปาสู่คราวนี้จะอยู่หลายวัน พอจะช่วยสอดส่องได้บ้าง”
เว่ย์เจียงเงยหน้าพรวด “จริงรึ?”
“ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ข้าน้อยก็มีงานสำคัญ” ซ่งชูอีเน้นย้ำ
แม้นจะเป็นเช่นนี้ก็ยังดีกว่างมเข็มมหาสมุทรในดินแดนรัฐปาที่ไม่คุ้นเคยตามลำพัง เว่ย์เจียงเอ่ยขึ้น “จะว่าไปแล้วท่านก็รู้จักบุคคลคนนี้ เขาเคยเป็นแขกที่ปรึกษาในจวนหลงกู่ จากสำนักนิติธรรม นามว่าจีเหมียน นามรองอู้เม่ย”
“จีอู้เม่ย?” เขาก็นับว่าเคยดูแลซ่งชูอีขณะที่นางอยู่ในรัฐเว่ย์ ครั้นได้ยินว่าเขาเข้ารัฐปา นางก็จดจำไว้ในใจแล้ว “องค์หญิงมั่นใจหรือว่าเขามาที่รัฐปาจริงๆ?”
“อืม” เว่ย์เจียงพยักหน้า “ได้ยินมาว่าเขาทิ้งรัฐเว่ย์เพื่อหาทางออกอื่น ข้าเดาว่าเขาไปที่รัฐฉู่ จึงได้นำทหารอารักขายี่สิบนายและสาวใช้นางหนึ่งไปตามหาเขาที่รัฐฉู่ แต่พอถึงรัฐฉู่แล้วก็ได้ยินเรื่องที่นักนิติธรรมถูกขับไล่ออกจากพระราชวัง ข้าจึงเดาว่าเป็นเขา หลังจากสืบอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าเขาต้องการที่จะอยู่ในรัฐฉิน ทว่าก็สืบเจอร่องรอยของเขามาตลอดทาง และในที่สุดก็ได้รับการยืนยันจากเจ้าของร้านขายสุราในหุบเขา”
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดนางจึงอยู่เพียงลำพังนั้น ครั้นเห็นนางก็รู้แล้วว่าจะต้องประสบเคราะห์อะไรบางอย่าง ซ่งชูอีจึงมิได้ถาม ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกชื่นชมเว่ย์เจียงจากใจ ข้อหนึ่งเพราะนางเป็นถึงองค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมในพระราชวังทว่ากลับสามารถทนความลำบากได้ถึงเพียงนี้ ข้อสองเพราะความกล้าหาญ ไหวพริบ และความเอาใจใส่ของนาง ยกตัวอย่างเช่นหากคนส่วนใหญ่รู้ทิศทางของบุคคลที่จะตามหาก็คงจะรีบตามไปทันที ทว่านางกลับสืบข่าวตลอดเส้นทาง เพื่อป้องกันมิให้คว้าน้ำเหลวและทำพลาดอีกครั้ง
เป็นสตรีที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ! หากเอาแต่ซ่อนอยู่ในพระราชวังก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว
ซ่งชูอีรู้สึกดีกับเว่ย์เจียงเป็นสองเท่า เมื่อเห็นขาของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็หันไปกล่าวกับจี๋อวี่ “ช่วยนางพันแผลเถิด หากดูแลไม่ดีขาสองข้างนี้ก็จะเน่าเฟะแล้ว”
ในป่ามีความชื้นหนักหน่วง ดินแดนแห่งปาสู่ก็เช่นกัน หากปล่อยบาดแผลไว้นานไม่จัดการให้ดี ไม่ช้าก็จะอักเสบและเน่าเปื่อย
จี๋อวี่ประคองเว่ย์เจียงไปยังข้างลำธาร ช่วยนางล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ตัดเนื้อที่เน่าแล้วด้วยมีดเล่มเล็ก หลังจากเช็ดแผลจนแห้งแล้วก็เผาด้วยสุรารอบหนึ่ง
เว่ย์เจียงเพียงส่งเสียงอู้อี้ตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าน้อยๆ ของนางที่เดิมทีขาวซีดเหมือนแผ่นกระดาษก็ยิ่งไร้สีเลือด น้ำหูน้ำตาที่ไหลเต็มหน้าทำให้ผิวหนังเปียกชุ่มจนเกือบโปร่งใส
สาวงามน้ำตาไหลเป็นสายเลือด น้ำตาแห่งความอดทนของสาวงามนั้นทำให้หัวใจมุ่งมั่นของชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งอ่อนระทวย
กู่จิ่งพูดพล่าม “ต่อไปข้าก็อยากได้ภรรยาเช่นนี้”
ซ่งชูอีตบๆ ไหล่ของเขา แสร้งซับที่หัวตา “นี่เป็นเพราะความรัก! มารดามันเถอะ ช่างน่าซาบซึ้งโดยแท้!”
กู่จิ่งเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ท่าน ข้ารู้จักเพียงความชอบทว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความรัก?”
ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก “ก็คือการที่เจ้าคิดชอบสตรีนางหนึ่ง เช้าก็คิดค่ำก็คิด คิดมากเป็นพิเศษ”
“เช่นนั้นปกติเวลาที่ข้าพบสตรีหน้าตาใช้ได้ก็คิด ตอนหลับฝันยามค่ำคืนก็คิด” กู่จิงหัวเราะเอ่ย
“ข้าคิดว่า…” ซ่งชูอีละสายตาออกมาจากเว่ย์เจียง มองไปที่กู่จิง “ของเจ้าไม่น่าจะเรียกว่าความรัก”
กู่จิงละสายตามาอย่างเสียมิได้ “เช่นนั้นเรียกว่าอะไร?”
“เรียกว่าความใคร่” ซ่งชูอีกล่าว
กู่จิงเกาศีรษะ “ซับซ้อนเหลือเกิน ท่านมีความรักหรือไม่?”
ซ่งชูอีส่ายหน้า โน้มตัวเข้าหาเขา กล่าวด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “เวลาที่ข้าเห็นคนที่หน้าตาดีก็…”
“ฮาฮา เช่นนั้นท่านก็เหมือนกับข้า” กู่จิงราวกับดีใจมากที่สามารถมีสิ่งร่วมกันกับซ่งชูอี แม้นจะเป็นจุดร่วมกันที่ต่ำทรามก็ตามที
ทั้งสองคนหัวเราะกันอย่างครื้นเครง จี้ฮ่วนนั่งกัดเนื้อแห้งอยู่ด้านข้างเงียบๆ ในใจพลันคิดว่า ท่านหวยจินเป็นอย่างที่พี่ใหญ่พูดจริงๆ หลังจากที่ไตร่ตรองเรื่องเพศของซ่งชูอีแล้วก็เริ่มที่จะคิดว่าตนเป็นคนหน้าตาดีหรือไม่ ครุ่นคิดไปมาในที่สุดก็มองจี๋อวี่ด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
ร่างกายที่จี้ฮ่วนเคยภาคภูมิใจในอดีตบัดนี้ตนกลับมองว่ามันแข็งแรงเกินไป และด้วยใบหน้าที่หยาบกร้านดูไกลๆ แล้วจึงคล้ายหมีตัวหนึ่ง ไม่น่ามองเลยสักนิด ทว่าพี่ใหญ่ไม่เพียงมีร่างกายที่มีเสน่ห์แต่ยังมีใบหน้าที่มีสุขภาพดีสมส่วน หนวดเคราสวยงาม ช่างเป็นบุรุษที่งดงามตามมาตรฐานในปัจจุบันนัก!
ส่วนซ่งชูอีก็ไม่นับว่าขี้เหร่มาก เพียงแต่จี้ฮ่วนคิดว่าผู้ชายทั่วไปรับไม่ใคร่ได้ ยิ่งคุ้นเคยมากเท่าไรก็ยิ่งไม่อาจรับได้
ตกกลางคืน เมื่อเงยหน้าขึ้นจากพื้นที่เล็กๆ ว่างเปล่าข้างลำธารแห่งนี้ ก็สามารถเห็นท้องนภาที่ถูกบดบังเสียครึ่งหนึ่ง แสงจันทร์ที่ส่องแสงทะลุกิ่งไม้ทอแสงกระจัดกระจายอยู่บนสายธารราวกับแสงดาวที่กำลังเคลื่อนไหว เผยให้เห็นความน่าสนใจที่ต่างออกไปเมื่อเทียบกับการชมทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ไพศาล
ในที่สุดคืนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องนอนบนต้นไม้อีกต่อไปแล้ว ซ่งชูอีปูสักหลาดขนแกะและผล็อยหลับทันทีที่ล้มตัวลง
เว่ย์เจียงนั่งอยู่ข้างลำธาร มองต่ำไปยังแสงระยิบระยับบนผิวน้ำ ริมฝีปากงดงามเม้มกันเล็กน้อย ความเปราะบางและความทรหดบนใบหน้าผสมผสานเข้าด้วยกัน
“องค์หญิง พักผ่อนเถิด” จี๋อี่หยุดยืนอยู่ด้านหลังนางไม่ไกล
เว่ย์เจียงหันกลับไป “ท่านจี๋ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าเช่นนี้ ก็เหมือนกับที่ไม่มีนายพลจี๋แล้ว ที่นี่ก็ไม่มีองค์หญิงใดๆ เช่นกัน นับตั้งแต่ข้าหนีออกมาจากรัฐเว่ย์ ก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นองค์หญิงอีกแล้ว”
รัฐเล็กไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต รัฐอ่อนแอก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต รัฐเว่ย์แพ้ให้การรัฐเว่ยในการแข่งขัน นอกเหนือจากการประนีประนอมและเครื่องบรรณาการต่างๆ นานาแล้ว ยังต้องส่งองค์หญิงอันเป็นที่รักที่สุดตบแต่งให้กับรัฐเว่ยเพื่อบรรเทาความตึงเครียดระหว่างสองรัฐ นี่เป็นหน้าที่ที่เด็กสาวผู้ได้รับเกียรติเป็นองค์หญิงจะต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นจวบจนปัจจุบันการแต่งงานเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างรัฐนั้นยังมิเคยผู้ใดที่หลบหนีการแต่งงานมาก่อน เว่ย์เจียงนับว่าเป็นคนแรก
จี๋อวี่เข้าใจในทันที หากเว่ย์โหวไม่ต้องการปล่อยนางไป เกรงว่านางก็คงไม่สามารถหนีออกมาจากส่วนลึกของพระราชวังได้ อีกทั้งยังพาทหารอารักขามาอีกยี่สิบคน สาเหตุที่เว่ย์เจียงตำหนิตัวเองด้วยความเจ็บปวดนั้นก็เป็นเพราะรู้สึกว่านางได้โยนความรับผิดชอบทั้งหมดนี้ให้กับบิดาวัยชราของตน จึงยากที่จะสงบจิตใจได้กระมัง!
ความจริงก็เป็นดังที่จี๋อวี่คาดเดาไว้ เดือนนั้นเว่ย์โหวได้ส่งองค์หญิงในวัยสิบเจ็ดออกเรือนไปแล้ว เว่ย์เจียงหนีออกมาเขาก็มิได้ขัดขวาง อีกทั้งยังแอบยื่นมือช่วยเหลือด้วยซ้ำ เว่ย์โหวที่ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการประนีประนอมและยอมรับความน่าน้อยเนื้อต่ำใจได้ก้าวมาถึงจุดนี้ ไม่รู้ว่าเพราะคิดต่อต้านอย่างไร้เรี่ยวแรงหรือเพียงต้องการทุบหม้อข้าวตัวเองทิ้ง ทว่ามีอย่างหนึ่งที่แน่นอน เขาในฐานะองค์จักรพรรดิ์คนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง และบิดาคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้กิจการของบ้านเมืองมั่นคงขึ้น แต่อย่างน้อยก็สามารถตอบสนองความปรารถนาของพระธิดาได้
“เรียนข้าว่าเว่ย์เจียงเถิด” เว่ย์เจียงลุกขึ้น
จี๋อวี่พยักหน้า “ข้าปูผักสักหลาดข้างท่านหวยจินแล้ว”
“ขอบคุณ” เว่ย์เจียงค้อมตัวเล็กน้อย เดินไปยังแผนสักหลาดว่างผืนนั้น
กลางดึกในป่าลึก สายน้ำไหลโกรกกราก ยังคงได้ยินเสียงแมลงในพงหญ้าที่ดังคล้ายฝนตกพรำอยู่ข้างหูและเข้าสู่ห้วงนิทราอันหอมหวานพร้อมกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ทุกคนลุกขึ้นเตรียมพร้อมออกเดินทาง
ซ่งชูอีมิได้ใช้เส้นทางวนบนภูเขาแต่ผ่านเชิงเขาที่ไร้ซึ่งวัตถุใดๆ อ้างอิง จำเป็นมีความรู้สึกของทิศทางเป็นอย่างดี โชคดีที่สวรรค์ยังเมตตาให้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสและมีแดดจ้า การแยกแยะเส้นทางจึงง่ายขึ้นมากแล้ว
ครั้นถึงเวลาเที่ยงก็ได้เข้ารัฐปาครึ่งวันก่อนกำหนด รัฐปามีหุบเขามากมาย ทว่าขอเพียงเข้าไปแล้วก็สามารถหาชาวปาที่นำทางไปยังนครหลวงหลางจงได้เป็นพอ
ทันทีที่ออกมาจากหุบเขาก็สามารถมองเห็นหมู่บ้านเล็กๆ ผู้คนในหมู่บ้านนี้เห็นพ่อค้าจากภายนอกเข้าออกบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นขบวนรถของซ่งชูอีก็มิได้ประหลาดใจ ในทางกลับกันเหล่ามือดาบที่ไม่เคยเข้ารัฐปาต่างหากที่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เสื้อผ้าที่ชายหญิงคนแก่และเด็กที่นี่สวมใส่ล้วนมีความแตกต่างจากเสื้อผ้าทุกประเภทในจงหยวน และที่เหนือความคาดหมายก็คือผู้หญิงที่นี่มิได้ขี้เหร่ตามที่พวกเขาจินตนาการไว้ ตรงกันข้ามกลับมีผิวขาวชวนมอง สวมเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสซึ่งค่อนข้างมีเอกลักษณ์ยิ่ง
ซ่งชูอีสั่งกู่หานให้เข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาคนนำทางไปยังนครหลวงหลางจง
ขบวนรถลงจากม้ารอ
หลังจากนั้นไม่นาน ขณะที่กู่หานยังไม่กลับมาก็มีเด็กสาวชาวปาสองสามคนมองพวกเขาจากที่ไม่ไกล ซ่งชูอีได้ยินพวกนางบ่นงึมงำอยู่สักพัก อดที่จะยกมุมปากยิ้มมิได้ ทำทีคล้ายกำลังชมทัศนียภาพ แล้วก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างแนบเนียน
นางเพิ่งจะหยุดยืนก็ได้ยินเสียงกวัดแกว่งของดาบ