กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 162 สิ่งใดเรียกว่าความงาม
นิสัยของหมิ่นฉือนั้นแตกต่างจากหลงกู่ปู้วั่งอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าคำพูดประเภทใดก็อย่าคิดที่จะทำให้เขาหวั่นไหวได้
เขาก็เป็นคนเช่นนี้ในความทรงจำของซ่งชูอี นางก็เคยยั่วโมโหเขาในรัฐซ่งและรัฐเว่ย ในเวลานั้นนางต้องการจะบอกตัวเองว่าหมิ่นฉือคนนี้มิใช่หมิ่นฉือคนนั้น แม้ว่าเขาที่อยู่ตรงหน้านี้จะเหมือนกับความทรงจำมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็ได้กระตุ้นคลื่นภายในใจของซ่งชูอีอีกครั้งหนึ่ง
วันนั้นที่นางจบชีวิตตัวเองบนหอคอย ยังไม่ทันมีเวลามานั่งเสียใจ
หมิ่นฉือที่กำลังก้มหน้ามองกระดานหมาก รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ อดมิได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองนาง สายตาสองคู่ประสานกัน ขณะที่สบสายตากันนั้น หมิ่นฉืออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พวกเรา…เคยเจอกันมาก่อนรัฐซ่งหรือไม่?”
หมิ่นฉือกับซ่งชูอีไม่นับว่ามีมิตรภาพใดๆ ต่อกัน ความบาดหมางทั้งหมดแทบจะเกิดขึ้นเพราะซ่งชูอียั่วยุทั้งตั้งใจและมิได้ตั้งใจจนกลายเป็นศัตรูต่อกัน และสาเหตุที่เขามาในคืนเดือนหงายนี้ เพราะมีความอยากรู้อยากเห็นส่วนหนึ่ง
เขาต้องการรู้ถึงสายตาของนางที่เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นเวลาที่เจอเขาเป็นครั้งแรกในรัฐซ่ง แม้นว่ามันเป็นเพียงประกายวูบผ่าน ทว่าเขาก็ไม่พลาด
“ไม่เคย” ซ่งชูอีเอ่ยเรียบๆ
“ดูเหมือนหวยจินจะชิงชังข้ามาก” นี่มิใช่ครั้งแรกที่หมิ่นฉือเอ่ยถาม ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกเกลียดชังอย่างลึกลับก็ล้วนมีข้อสงสัยกระมัง? ยิ่งไปกว่านั้นความทรงจำของเขาก็ยังมิได้ถดถอยเพราะวัยชรา จึงกล้ามั่นใจว่าตนมิเคยทำผิดต่อซ่งชูอีผู้นี้เลย
สาเหตุที่หมิ่นฉือใส่ร้ายนางในรัฐเว่ย์ นอกจากเรื่องผลประโยชน์แล้ว อีกอย่างหนึ่งก็เพราะคำพูดของซ่งชูอีที่ว่า “ในชีวิตนี้หากไร้คู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมกันสักคนสองคนในชีวิต มันไม่น่าเบื่อหรอกหรือ” เขาเป็นคนที่มีความหยิ่งยโสในตัวเองและอยากรู้เช่นกันว่าเด็กหนุ่มที่กล้าประกาศด้วยความมั่นใจว่าจะเอาใต้หล้าเป็นตัวหมากแข่งกับเขาผู้นี้จะมีความสามารถกระไร
ผลลัพธ์ที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือซ่งชูอีดีกว่าที่คิดไว้เล็กน้อย แม้จะไม่สำเร็จทว่าความจงรักภักดีของนางขจรขจายไปยังรัฐต่างๆ ส่วนเขากลับถูกขังอยู่ในรัฐเว่ยจนป่านนี้เพิ่งจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งได้
นี่ทำให้หมิ่นฉือมีความอยากรู้ความเห็นในตัวซ่งชูอียิ่งขึ้น
เงียบงัน
สายลมพัดผ่าน ดอกชบาที่เหี่ยวเฉาร่วงหล่นซู่ซ่าราวกับห่าฝน ไอหมอกเบาบางโชยเข้ามาในเฉลียง เย็นสบายยิ่ง
ในที่สุดซ่งชูอีก็วางตัวหมากลง เงยหน้ารวบแขนเสื้อมองไปยังหมิ่นฉือ เอ่ยขึ้นราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว “ส่วนตัวแล้วข้าคิดว่า การไม่ถูกชะตากับใครสักคนไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใด”
หมิ่นฉือนิ่งอึ้ง
“อย่าได้หมดกำลังใจไป เจ้าก็เป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย ไม่แน่หากวันใดข้าอารมณ์ดี เห็นเจ้าแล้วถูกชะตาก็เป็นได้”
ซ่งชูอีปลอบโยนด้วยความหวังดี นางมิได้แกล้งเขาเสียทีเดียว คำพูดนี้จริงครึ่งเท็จครึ่ง บัดนี้นางยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่า
หมิ่นฉือที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นคนเดียวกับในชาติก่อนหรือไม่ ทว่าต่อให้เป็นคนละคน เรื่องที่ถูกแทงข้างหลังก่อนหน้านี้ก็จำเป็นต้องสะสาง การถูกชะตากับการแก้แค้นคือคนละเรื่องกัน นางมีความชัดเจนมากเสมอ
“หึ” หมิ่นฉือยิ้มเอ่ย “ขอบคุณสำหรับความห่วงใย ทว่ามันก็เป็นจริงตามที่หวยจินว่า มันเป็นเรื่องดีหากมีคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีกับตนในโลกใบนี้”
พูดจบ หมิ่นฉือก็มองกระดานหมากปราดหนึ่ง กล่าวอย่างผ่อนคลาย “ทักษะการเดินหมากของหวยจินยอดเยี่ยมนัก ข้าแพ้แล้ว”
หมากกระดานเพิ่งจะเดินยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ตามการคาดเดาของซ่งชูอีแล้ว แม้จะเป็นทักษะของหมิ่นฉือในปัจจุบันก็คงมิได้มีเพียงเท่านี้ เกรงว่าคงมีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของเขากระมัง
เรื่องอะไรกันเล่า? นิ้วของซ่งชูอีที่สอดอยู่ในแขนเสื้อเคาะแขนแผ่วเบา
“ขอตัว” หมิ่นฉือลุกขึ้น
“ตามสบาย” ซ่งชูอีพยักหน้า
มองดูหมิ่นฉือพาคนจากไป คิ้วของซ่งชูอีก็ย่นกันเล็กน้อย ลุกขึ้นเข้าห้องไป นั่งลงหน้าโต๊ะตัวเตี้ย หยิบแผ่นไผ่แผ่นหนึ่งออกมาจากกระบอก หยิบพู่กันเขียนประวัติของหมิ่นฉือโดยสังเขป “กู่หาน”
“ขอรับ” กู่หานรีบเข้ามา
ซ่งชูอียื่นแผ่นไผ่ให้เขา เอ่ยว่า “สืบเขา”
“ขอรับ” กู่หานรับแผ่นไผ่เข้ามา มองดูปราดหนึ่ง “ท่านต้องการจะทราบเรื่องใด?”
“เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับเขา ทว่าช่วงนี้ให้เน้นสืบว่าบัดนี้เขารับใช้รัฐใดหรือผู้ใด จักต้องสืบให้ไว” ซ่งชูอีกำชับ นางจำเป็นต้องรู้สถานการณ์เหล่านี้จึงจะสามารถคาดเดาเป้าหมายของหมิ่นฉือได้
แม้ว่าสถานการณ์ของปาสู่จะไม่กระชั้นชิดเจียนตัวตามที่จินตนาการไว้ ทว่าซ่งชูอีก็จะไม่ปล่อยให้ผู้ใดเข้ามายุ่มย่ามเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นรัฐฉู่หรือรัฐเว่ย
“สองสามวันนี้เดินทางเร็วหน่อยเถิด” ซ่งชูอีมีความรู้สึกว่าต้องเข้ารัฐสู่โดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ดีนางไม่รีบร้อนที่จะดำเนินการตามแผนในใจ จากการปรากฏตัวของหมิ่นฉือมันจะต้องมีเรื่องอันตรายเป็นแน่และแผนนี้จะต้องไม่ถูกเขาก่อกวน
“ขอรับ!”
กู่หานรับคำสั่งออกไป จี๋อวี่เดินเข้ามา
“ท่าน” จี๋อวี่เห็นซ่งชูอีผายมือส่งสัญญาณให้เขานั่งลงก็หาตำแหน่งแล้วคุกเข่าลงก่อนเอ่ยต่อว่า “ผู้ที่ลอบยิงอาวุธลับเมื่อครู่ไม่ได้ออมมือเลยสักนิด”
จี๋อวี่เห็นพวกเขาเดินหมากกันอย่างสนุกสนาน อดมิได้ที่จะเป็นกังวล
“เขากับข้าเหมือนกันในจุดนี้” ซ่งชูอีพยักหน้ายอมรับ
“จุดไหน?” แม้ว่าจี๋อวี่จะคิดไม่ออกในทันที ทว่าก็ได้เตรียมใจไว้แล้วว่าจุดพิเศษที่เหมือนกับซ่งชูอีจะต้องไม่ใช่จุดที่ดีแน่
“ข้าเชื่อว่าหมิ่นฉือไม่เคยมีเจตนาที่จะลอบสังหารข้า” ซ่งชูอีเอนตัวพิงที่พักแขน เอ่ยขึ้น “เขามีคติที่ว่า ‘หากฆ่าไม่ตายก็ไม่ต้องจ่าย หากฆ่าได้จึงจะเป็นกำไร’”
ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เป็นศัตรูต่อกันอย่างชัดแจ้งตั้งแต่แรก มีความแค้นเพิ่มอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป
จี๋อวี้เงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ เปลี่ยนหัวข้อ “เมื่อครู่ท่านให้ข้าดูดวงดาวใดในลานรึ? มองเห็นสัญญาณใดเช่นนั้นหรือ?”
สำนักเต๋าโปรดปรานการถกเถียงถึงการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง จี๋อวี่รู้สึกว่าในเมื่อซ่งชูอีเป็นศิษย์สำนักเต๋า ก็น่าจะเข้าใจปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์อยู่บ้าง
ซ่งชูอีอ้าปาก ต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่างทว่ากลับเงียบไปครู่หนึ่งก่อยเอ่ยด้วยความจริงใจ “ที่จริงบางทีข้าก็เข้าใจในด้านความงามเป็นอย่างดี เมื่อครู่ข้าเพียงต้องการให้เจ้าดูว่าดาวดวงนั้นสุกสว่างจริงๆ”
หัวข้อครั้งนี้เปลี่ยนได้ไม่ดีนัก จี๋อวี่เงียบงันอีกหลายลมหายใจก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ท่านรีบพักผ่อนเถิด”
จี๋อวี่เดินออกมาจากห้อง ขณะที่เดินผ่านลานก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว เพียงมองแวบเดียวก็สามารถมองเห็นดาวดวงที่สว่างที่สุดดวงนั้นท่ามกลางกลุ่มหมอกที่คล้ายผ้าโปร่งแสง
จี้ฮ่วนนอนหลับไปแล้วตื่นหนึ่ง ขณะที่เดินหาวออกมาเพื่อเปลี่ยนเวรกับกู่หานอยู่นั้น เหลือบตาขึ้นก็เห็นจี๋อวี่มองท้องฟ้าไม่ขยับเขยื้อน จึงอดที่จะเงยหน้าตามมิได้และเห็นเพียงกลุ่มหมอกหนาแน่น อดมิได้ที่จะเดินไปใต้เฉลียง เอ่ยถาม “พี่ใหญ่ มองอะไรน่ะ?”
จี๋อวี่ละสายตากลับมา ชำเลืองมองเขา พ่นคำตอบออกมาสองคำ “ความงาม”
จี้ฮ่วนสงสัยในใจ มองดูจี๋อวี่จากไปก็มิได้เอ่ยถามอีก
เขาเงยหน้ามองดูท้องฟ้าครู่หนึ่ง ครั้นกำลังจะหันหลังกลับก็เห็นกู่หานเดินเข้ามา จึงถามขึ้น “พี่กู่ สิ่งใดเรียกว่าความงาม?”
แม้จี้ฮ่วนจะดูงงงวยทว่าก็มิได้เขลา อย่างไรก็ดีเขาไม่ใคร่เข้าใจด้านความงามเท่าใดนัก เขารู้สึกว่ากู่หานมีความรู้มากจะต้องรู้เป็นแน่
“ความงาม?” กู่หานนิ่งไปครู่หนึ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้า “เป็นอาการของการสังเกตลมกระมัง”
“ไม่จริงมั้ง!” กู่จิงหัวเราะ กล่าวด้วยความไร้เดียงสา “ข้ารู้ว่ามันก็คือของลับของหญิงสาว[1]!”
[1] ความงาม ที่ซ่งชูอีและจี๋อวี่กล่าวคือคำว่า “เฟิงฉิง” ซึ่งมีหลายความหมายเช่น 1.ความรักของหญิงชาย 2.สภาพของลม 3.ความสง่างาม 4.ประเพณี