กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 17 การโจมตีในคืนฝนอันเหน็บหนาว
บทที่ 17 การโจมตีในคืนฝนอันเหน็บหนาว
Ink Stone_Romance
ตั้งแต่ที่เข้ามาในขบวนเกวียน หัวหน้าคณะไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง เพียงแต่สั่งคนมาเชิญตัวเจ้าอี่โหลว สองครั้งแรกยังคงตามใจเขา หากเขาไม่เต็มใจที่จะไปก็ไม่บีบบังคับ แต่ครั้งที่สามกลับส่งผู้อารักขามาจับตัวเขาไปแล้ว
อย่างไรก็ดีซ่งชูอีไม่กังวล ในเมื่อหัวหน้าคณะต้องการใช้ประโยชน์จากความงามของเจ้าอี่โหลว ก็จะไม่ใช้วิธีแข็งกระด้างที่กระตุ้นให้เกิดการต่อต้านจากเขา นางเดาว่าอาจกำลังอบรมสั่งสอนเจ้าอี่โหลวเรื่องมารยาทและความประพฤติทั่วไป
หลายวันมานี้ความเปลี่ยนแปลงของเจ้าอี่โหลวเป็นไปตามที่ซ่งชูอีคาดการณ์ไว้ อย่างน้อยเขาก็ไม่แสดงอาการราวกับสัตว์ร้ายที่เอะอะก็เอาแต่ป้องกันตัวเองอีกแล้ว
ทุกครั้งที่ซ่งชูอีมีโอกาส ก็จะให้เจ้าอี่โหลวรายงานอย่างละเอียดว่าหัวหน้าคณะอบรมเขาเยี่ยงไรบ้าง นางรู้เพียงว่าหัวหน้าคณะกำลังสั่งสอนเขาด้านมารยาท การวางตัว รวมถึงการรู้หนังสืออย่างง่าย ซ่งชูอีพออกพอใจอย่างยิ่งและบอกให้เจ้าอี่โหลวตั้งใจร่ำเรียน
อยู่ในขบวนเกวียนร่วมครึ่งเดือนแล้ว นอกจากซ่งชูอีจะขาดแคลนอาหารบ้าง แต่ก็ได้รับการปฏิบัติดีกว่าทาสสาวคนอื่นมาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินทางด้วยเท้า
หลังจากสังเกตการณ์มาระยะหนึ่ง ซ่งชูอีพบว่าขบวนเกวียนเคลื่อนผ่านรัฐเว่ยและรัฐซ่ง
พื้นที่ของรัฐเว่ยและรัฐซ่งนั้นไม่ใหญ่ นางมองเห็นภายในเขตชายแดนของรัฐซ่งมาหลายวันแล้ว แม้ว่าใบหน้าของจางอี๋นิ่งเฉย แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ กลับบ่งบอกถึงความกระวนกระวายภายในใจของเขา
ซ่งชูอีเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าเหตุใดเขาจึงไม่สงบเช่นนี้
จางอี๋ต้องหนีออกจากบ้านในรัฐฉู่ด้วยความอัปยศอดสู คิดไม่ถึงว่าบัดนี้บ้านเกิดใกล้จะปรากฏสู่สายตาแล้วทุกอย่างจะกลับตาลปัตร อีกทั้งเขายังถูกจับตัวกลับมาในสถานะชายบำเรอ ทันทีที่ขบวนเกวียนเข้าสู่รัฐฉู่ ไม่ช้าเขาอาจจะถูกส่งตัวเข้าจวนผู้มีอิทธิพลที่ไหนสักแห่ง ถึงตอนนั้นแม้จะหลบหนีสำเร็จ ก็ยังแบกคำว่า “สัตว์เลี้ยง” ติดตัวไปด้วย เขาในฐานะศิษย์สำนักกู๋ยกู่จื่ออันน่าภาคภูมิใจ ด้วยความอดสูเช่นนี้ เขาสามารถขอบคุณอาจารย์ไปพร้อมกับความตายแล้ว!
ครั้นเข้าใกล้รัฐฉู่ อุณหภูมิสูงกว่ารัฐเจ้าและรัฐฉีเล็กน้อย เพิ่งพ้นเวลาเที่ยงก็เจอกับฝาห่าใหญ่ ถนนหนทางเปียกแฉะ ไม่เหมาะแก่การเร่งเดินทาง แต่ว่าทั้งสองข้างหากไม่ใช่ป่าก็เป็นพื้นที่รกร้าง ไม่เหมาะแก่การหยุดพัก
อย่างไรก็ตามซ่งชูอีกับจางอี๋ไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะจางอี๋ที่กำลังมองดูสายฝนโหมกระหน่ำนอกหน้าต่าง ลากซ่งชูอีด้วยความร่าเริงพร้อมเอ่ย “ดูท่าสวรรค์ยังเห็นใจข้า!”
ซ่งชูอีกำลังซุกตัวฝันหวานอยู่ในผ้าห่ม ได้ยินเขาพูดดังนี้ก็เอ่ยขึ้นอย่างเฉื่อยชา “หากสวรรค์เห็นใจเจ้าจริง เจ้าก็คงได้กลับบ้านไปพบลูกเมียนานแล้ว”
“โชคชะตาย่อมพลิกผัน!” จางอี๋พ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจ มองสายฝนต่อ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าฝนนี้ตกได้หนำใจยิ่งนัก หันไปเห็นว่าซ่งชู่อียังคงนอนอยู่ อดไม่ได้ที่จะดึงผ้านวมของนาง “ตื่นเถิดตื่นเถิด ครึ่งเดือนมานี้ หากเจ้าไม่กินก็นอน ไม่ได้ใช้สมองคิดอย่างจริงจังเลย!”
ซ่งชูอีถูกเขาเขย่าจนเวียนศีรษะ หรี่ตาครึ่งหนึ่ง กล่าวพอเป็นพิธี “คิดแล้ว คิดแล้ว ข้ากำลังวางแผนใหญ่กับโจวกง (เทพแห่งความฝัน) เจ้ารอสักครู่เถิด โจวกงยุ่งมาก อย่าทำให้โมงยามของข้าปั่นป่วน”
จางอี๋ปล่อยมือทิ้งนางอย่างสิ้นหวัง
โครม!
ซ่งชูอีล้มลงไปที่พื้นเกวียนโดยตรง ทันใดนั้นก็ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์
แม้พื้นเกวียนจะปูด้วยเสื่อฟางแต่ก็ยังแข็งกระด้าง ซ่งชูอีขยี้ศีรษะที่ปูดโน จ้องมองจางอี๋พร้อมเอ่ยด้วยความโมโห “ข้าว่า นี่ไม่ใช่หัวของเจ้า เจ้าจึงไม่เจ็บปวดใช่หรือไม่ เจ้าอาศัยลิ้นกินข้าวยังทำใจกัดลิ้นตัวเองตายไม่ได้ ข้ายังต้องใช้สมองนะ! ต่างจากเจ้าที่ใช้ลิ้นดูแคลนผู้อื่น!”
เรื่องการสร้างพันธมิตรนั้น นอกจากต้องรู้ทุกสิ่งใต้กล้าราวกับฝ่ามือแล้ว ยังต้องอาศัยความคมคายของลิ้นด้วย หลายครั้งที่จางอี๋ต้องพึ่งคำพูดในการทำงานต่างๆ ดังนั้นลิ้นของเขาจึงมีค่ามาก
“ข้าเห็นว่ามันไม่ค่อยได้ใช้งานสักเท่าใด กังวลว่านานๆ เข้าแล้วจะเน่าเสีย ร้อนใจอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจึงช่วยเคลื่อนย้ายมันเสียหน่อย” จางอี๋หัวเราะเบาๆ ยื่นมือตบๆ ศีรษะของนาง เอ่ยขึ้น “เจ้าดูสิว่าตอนนี้มันลื่นไหลเพียงใด”
ซ่งชูอีปัดมือทิ้ง “ลื่นไหลกะตูดเจ้าน่ะสิ!”
จางอี๋ถลึงตามอง ปากเปิดกว้างจนสามารถยัดไข่เป็ดเข้าไปได้ทั้งลูก ชี้นิ้วไปที่นาง เอ่ยคำว่า “เจ้า” อยู่นานก็ไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้
คำสาปแช่งที่โหดร้ายที่สุดในปัจจุบันไม่มีอะไรมากไปกว่า “แม่เจ้าเป็นทาส” หรือไม่ก็ “ขี้ข้า” “เจ้ามันอมนุษย์”…ไม่ได้มีรูปแบบที่คมกริบและเหี้ยมโหดดังซ่งชูอีเช่นนี้!
ซ่งชูอีกล่าวด้วยสติครบถ้วน บัดนี้นางได้ยังยั้งชั่งใจไว้มากแล้วและยังแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้เช่นกัน หลังจากที่คลุกคลีกับจางอี๋มาสักระยะหนึ่ง นางรู้ว่าเขาสามารถรับคำพูดนี้ได้ จึงด่าออกมาอย่างไร้ความวิตกกังวล และด้วยเหตุนี้ก็ขี้คร้านที่จะใส่ใจเขา คว้าผ้านวมแล้วนอนต่อ
บนถนนเต็มไปด้วยโคลน ฉะนั้นขบวนเกวียนจึงหยุดอยู่กับที่ แล้วส่งผู้อารักษาไปตรวจสอบในรัศมีห้าลี้ นับว่าเป็นผลดีกับซ่งชูอีเข้าแล้ว เพราะนางสามารถเข้าสู่ห้วงนิทราได้โดยไร้การกระแทกกระเทือน
ครั้นท้องฟ้ามืดสนิท ในที่สุดผู้อารักขาก็พบสถานที่หลบฝน หากแต่ในป่านั้นมีเพียงวัชพืชทั่วทุกที่ ไม่มีแม้แต่ถนนสายเล็กๆ ให้เดิน
ฝนตกคราวนี้หนักมาก เกรงว่าจะไม่สามารถเดินทางด้วยถนนได้วันสองวัน ทางข้างหน้าไร้ซึ่งหมู่บ้านข้างหลังก็ไร้ซึ่งร้านรวง เดินทางต่อไปก็อาจไม่พบสถานที่พักพิงที่เหมาะสม ฉะนั้นหัวหน้าขบวนเกวียนจึงสั่งให้คนจำนวนหนึ่งไปเปิดทางด้านหน้าแล้ว
เจ้าอี่โหลวถูกปลุกให้ไปเรียนเขียนอ่านที่เกวียนของหัวหน้าคณะตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยเหตุนี้ลูกน้องที่อยู่รายล้อมเกวียนม้าของซ่งชูอีและจางอี๋ต่างหายตัวกันไป เหลือเพียงคนเดียวที่เฝ้าอยู่
จางอี๋ฉวยโอกาสนี้ คว้าซ่งชูอีมาเขย่าทันที “หวยจิน หวยจิน ที่ตรงนี้ใกล้ถึงรัฐฉู่เต็มที หากไปข้างหน้าอีกยี่สิบสามสิบลี้ก็จะถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของรัฐฉู่แล้ว รอต่อไปไม่ได้แล้ว”
ซ่งชูอีลุกขึ้นนั่งอย่างเฉื่อยชา พึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “เจ้าใจเย็นเถิด ข้าสังเกตว่าหลายวันนี้ขบวนเกวียนต้องแวะทุกเมืองตลอดทางเพื่อสำรองเสบียงอาหารไว้ อาหารที่แจกจ่ายสองสามวันนี้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คิดว่าอีกวันสองวันจึงจะเข้าใกล้เมืองนั้นได้ ข้ามีแผนหลบหนีแล้ว”
จางอี๋ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยอย่างร้อนรน “จริงรึ? ข้าขอร่วมมือด้วยได้หรือไม่?”
ซ่งชูอีพยักหน้า ต้องการจะเอ่ยต่อแต่กลับได้ยินเสียงดัง “ปัง” เกวียนม้าหยุดกะทันหัน และล้อก็ติดอยู่ในหลุม
ซ่งชูอีและจางอี๋กระแทกเข้ากับผนังเกวียนอย่างจัง
ทั้งสองยังไม่ทันจะลุกขึ้นมา ม้าก็กรีดเสียงร้องด้วยความตกใจ ล้อที่ติดอยู่ในหลุมถูกกระชากออกไปอย่างรุนแรง ม้าเริ่มวิ่งเตลิดไปรอบ ๆ
ซ่งชูอีรีบคว้าแถบหน้าต่างเอาไว้ จางอี๋คว้าขาของซ่งชูอีด้วยความตื่นตระหนก แต่ยังไม่ทันจะจับให้มั่นก็ถูกเกวียนเหวี่ยง จึงคว้าได้เพียงมุมกางเกงของชุดด้านใน
เกวียนม้ากระแทกกระทั้นไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าวิ่งไปยังทิศทางใด กางเกงของซ่งชูอีถูกดึงมาอยู่ใต้ก้นแล้ว โชคดีที่ท่อนบนยังมีเสื้ออีกชั้นหนึ่ง
ร่างกายครึ่งหนึ่งของจางอี๋ลื่นไหลออกจากเกวียนม้าไป ซ่งชูอีคำราม “แม่งเอ๊ย เจ้าดึงกางเกงของข้าออกไปแล้ว! คว้าขาให้มั่นสิ! คว้ากางเกงเปล่าๆ มีประโยชน์อันใด!”
นางพูดพลางยืดเหยียดขาออกไปเพื่อให้จางอี๋จับได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
รอบกายเป็นสีมืดดำ มีต้นไม้เรียงรายอยู่บางเบา เกวียนม้าไม่ชนกับต้นไม้เลย หากแต่สะดุดกับก้อนหินได้อย่างง่ายดายมากและมีความเสี่ยงในการพลิกคว่ำหลายครั้ง แม้ว่าอยู่ในเกวียนจะอันตรายยิ่ง แต่ถ้าหากจางอี๋ตกลงไปกระแทกกับหินที่มีปลายแหลมแล้วล่ะก็ อย่างน้อยก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงเวลานั้น หากคิดหลบหนีก็จะยากปานเหินนภาแล้ว!
อย่างไรก็ดีในสถานการณ์เช่นนี้ ด้วยซ่งชูอีมีพละกำลังน้อย แม้จะมีสิบหัวก็ยากจะคิดหาทางออก แต่ว่าขาของนางอยู่ไม่ไกลจากจางอี๋นัก เพียงเอื้อมมืออีกนิดก็สามารถไขว้คว้าเอาไว้ได้
วู้…
ในเวลานี้ เสียงร้องที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในหู
“หมาป่า!” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความตกใจ นางไม่กล้าขยับตัว บีบกางเกงไว้แน่น กางเกงถูกดึงก็ไม่เป็นไร หากจางอี๋ร่วงลงไปอาจตกเป็นอาหารหมาป่าได้!
………………………………