กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 192 บทเพลงเศร้าที่ฆ่าจูเหิง
หลังจากผ่านไปสองเค่อ ขันทีจึงกลับมารายงาน “ฝ่าบาท เป็นท่านหวยจินกำลังดีดพิณอยู่บนเนินเขาหลังวัง บ่าวได้ให้คนเชิญเขาไปยังนอกพระราชวังแล้ว ฝ่าบาทต้องการจะทอดพระเนตรหรือไม่?”
ขันทีผู้นี้ติดตามจวินผู้มีอารมณ์ขึ้นลงผิดปกติมาหลายปี จึงมีวิธีการมากมายอย่างเห็นได้ชัด เขาเข้าใจความคิดของสู่อ๋องชัดเจนกว่าใครทั้งหมด
“ซ่งหวยจิน? คิดไม่ถึงว่าเขายังเข้าใจดนตรีด้วย รีบไปเชิญเขาเข้ามา” เมื่อได้พบกับเรื่องน่าสนใจ สู่อ๋องก็สามารถมีข้ออ้างในการทิ้งเอกสารบนโต๊ะไว้เบื้องหลังแล้ว
ไม่ช้า หลังจากขันทีเข้ามารายงาน ซ่งชูอีก็เดินเข้ามาจากข้างนอกพร้อมพิณ ผมยังคงเปียกชื้นเล็กน้อย นางยังคงใส่เสื้อคลุมแขนกว้างตัวใหญ่ที่ถูกซักจนขาวซีด ผมดำเหมือนหมึกถูกมัดเป็นมวยอยู่บนศีรษะ เนื่องจากเขายังไม่ถึงวัยที่จะสวมเครื่องกวนจึงถูกมัดด้วยแถบผ้าเท่านั้น
สู่อ๋องมิได้พิจาณาซ่งชูอีอย่างละเอียดมาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้เมื่อมองดูก็พบกว่าเด็กหนุ่มหน้าตาขี้เหร่ผู้นี้กำลังจะเติบโตกลายเป็นชายหนุ่มผู้มีบุคลิกสดใส ครึ่งชีวิตของสู่อ๋องนั้นได้พบเห็นผู้คนหลากหลาย ทว่ามีเพียงซ่งชูอีเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกถึงคำว่า “บุคลิก” อย่างแท้จริง บางคราวคนเราจะงดงามหรือไม่มิได้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์เสียทีเดียว
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีวางพิณลง สะบัดแขนเสื้อคำนับยาวนาน
“ไม่ต้องมากพิธี นั่งเถิด” รอยยิ้มสู่อ๋องเป็นมิตร
ซ่งชูอีค้อมขอบคุณ จากนั้นก็คุกเข่าลงบนที่นั่งไม่ไกลจากสู่อ๋อง
“เพลงที่หวยจินบรรเลงเมื่อครู่ ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลย” สู่อ๋องเป็นผู้ที่มีทักษะในการเพลิดเพลินกับชีวิต ชอบสะสมบทเพลงใต้หล้าเป็นอย่างยิ่ง พ่อค้าชาวจงหยวนเหล่านั้นทราบถึงความชอบนี้ของเขาก็ต่างรวบรวมเพลงทุกประเภทเพื่อเข้ามาค้าขาย ด้วยรัฐสู่มั่งคั่ง ราคาที่ให้จึงสูงมาก เป็นธรรมชาติที่เหล่าพ่อค้าผู้แสวงหากำไรย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอย ด้วยเหตุนี้ในสิบปีที่ผ่านมาสู่อ๋องจึงเคยได้ยินบทเพลงส่วนใหญ่ของจงหยวนมาแล้ว
“กระหม่อมเพียงบังเกิดความรู้สึกจึงบรรเลงส่งเดชก็เท่านั้น ไม่นับว่าเป็นบทเพลงอะไร” ซ่งชูอียิ้มเอ่ยเรียบๆ
จริงอยู่ที่ซ่งชูอีเป็นผู้แต่งเพลงนี้ ทว่ากลับมิได้บรรเลงส่งเดช แต่นางเริ่มแต่งเพลงนี้หลังจากตัดสินใจว่าจะโค่นรัฐสู่ มิใช่บทเพลงทั่วไปจะเคยผ่านหูสู่อ๋องได้เยี่ยงไร?
“คิดไม่ถึงว่าหวยจินจะรอบรู้เพียงนี้!” สู่อ๋องอุทานชื่นชมด้วยความจริงใจ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “ได้ยินบทเพลงของท่านแล้วรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกที่ดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด เหตุใดหวยจินจึงเศร้าใจ?”
ซ่งชูอีได้ยินดังนี้ก็ลุกขึ้นเดินไปยังใจกลางท้องพระโรง คำนับสู่อ๋องลงไปกับพื้น กล่าวด้วยความทุกข์ระทม “นับตั้งแต่หวยจินเข้ารัฐสู่มาก็ได้รับการดูแลจากใต้เท้าเหิงเป็นอย่างดี ความรู้ของใต้เท้าเหิงทำให้หัวใจของหวยจินแตกสลาย บัดนี้เขากลับหมินซานในช่วงที่สำคัญที่สุดของชีวิต หวยจินอดที่จะรู้สึกเสียใจมิได้”
สู่อ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นลงไม่น้อย “ทัศนียภาพหมินซานงดงาม ร่างกายของเหิงไม่แข็งแรง ไปรักษาตัวที่นั่นน่าเสียใจตรงไหน!”
ซ่งชูอียืดตัวตรงมองไปยังสู่อ๋อง “หมินซานเป็นที่ตั้งของสุสานตู้อวี่ ดอกตู้เจวียนบานเต็มภูเขาในฤดูใบไม้ผลิ งดงามเป็นอย่างยิ่ง ราษฎรต่างคิดว่าใต้เท้าเหิงมีคุณธรรมเพียงนี้ กลับไปอยู่กับตู้อวี่ก็เป็นการสมควร ดังนั้นแม้ว้าจะทำใจมิได้แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าไม่เหมาะสม หวยจินเพียงคิดว่าด้วยความสามารถเพียงนี้แต่กลับไม่สามารถมอบความจงรักภักดีต่อรัฐได้ ถูกฝังอยู่ในแม้น้ำภูเขาเช่นนั้นช่างน่าเสียดายโดยแท้!”
วาจานี้องอาจผึ่งผาย ไม่เห็นถึงความผิดปกติใดในตอนนี้ ทว่าไม่รู้ว่เพราะเหตุใดในใจของสู่อ๋องจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“คิดว่าทั้งราชสำนักคงหาผู้มีความสามารถทางด้านการเมืองเทียบเคียงกับใต้เท้าเหิงไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวม หวยจินอยากให้ฝ่าบาททรงพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง อย่างไรเสียก็เชิญใต้เท้าเหิงมาช่วยองค์รัชทายาทอีกสักระยะ รอจนองค์รัชทายาทสามารถทรงงานตามลำพังได้แล้ว ใต้เท้าเหิงค่อยไปรักษาตัวก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านซ่งมากเรื่องเกินไปแล้ว!” เพียงพริบตาความสนใจเพียงน้อยนิดที่สู่อ๋องมีขึ้นได้อย่างยากลำบากก่อนหน้านี้ได้จางหายไปราวกับหมอกควัน “ท่านยังคงเป็นเหมือนจวงจื่อที่ท่องเที่ยวอย่างสำราญใจอยู่ในรัฐสู่ อย่ายุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งจะดีกว่า!”
สิ้นวาจาก็ลุกขึ้นจากไปด้วยความโกรธ ทิ้งซ่งชูอีให้อยู่ในท้องพระโรงเพียงลำพัง สำหรับสู่อ๋องแล้ว ซ่งชูอีก็เป็นเพียงคนที่นำมาใช้เพื่อสร้างความขบขัน ไม่ว่าเขาจะปวดหัวกับเอกสารเต็มโต๊ะมากเพียงใด ก็จะไม่อนุญาตให้ซ่งชูอีเข้ามาก้าวก่ายกิจการบ้านเมืองของรัฐสู่
ซ่งชูอีเข้าใจข้อนี้อย่างถ่องแท้ ด้วยเหตุนี้จึงตามขันทีออกไปจากพระราชวังด้วยความสงบนิ่ง
ที่หน้าประตู ซ่งชูอีหันกลับไปมองพระราชวังสู่ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย
เดิมทีซ่งชูอีไม่มีเจตนาที่จะฆ่าจูเหิง ทว่าหลังจากจงใจติดต่อกับเขาในระยะหลังนี้บวกกับความเข้าใจทางการเมืองของรัฐสู่อย่างลึกซึ้ง นางจึงเข้าใจว่าจำเป็นต้องกำจัดคนคนนี้เสีย อีกทั้งทางที่ดีที่สุดคือให้สู่อ๋องกำจัดด้วยมือของเขาเอง!
หลายวันต่อมา สู่อ๋องก็ยังคงเล่นสนุกเหมือนเคย ทว่าการสอบถามข้อมูลทางการเมืองอย่างต่อเนื่องของเหล่าขุนนางทำให้เขาหดหู่ใจจริงๆ ในเวลานี้เขาพลันนึกถึงความดีของจูเหิงขึ้นมา คิดในใจว่าขอเพียงจับจูเหิงให้มั่น ต่อให้ราชสำนักอยู่ในมือเขาจะทำอะไรได้เล่า? หลายปีมานี้ก็มิเคยก่อคลื่นใดมิใช่หรือ?
ครั้นคิดได้ดังนี้ สู่อ่องก็เรียประชุมเหล่าขุนนางเพื่อเอ่ยถึงเรื่องที่จะให้จูเหิงกลับมา
สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ เจ็ดถึงแปดส่วนของขุนนางในราชสำนักล้วนเห็นด้วยทันที! แม้แต่ท่านมหาเสนาบดีอาวุโสที่เป็นดังคู่กัดกับจูเหิงเสมอมาก็มิได้เอ่ยปากคัดค้าน!
ในฐานะองค์จวินองค์หนึ่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ เขาจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร?
ไม่ใช่ว่าจูเหิงมีอำนาจมหาศาล ที่จริงแล้วปัญหานั้นมาจากตัวของสู่อ๋องเอง เพียงแต่เขาหลงใหลในอำนาจ
ในรัฐสู่ ความคิดที่ว่าอำนาจแห่งจวินได้รับการดลบันดาลมาจากเทพเจ้านั้นหนักหน่วงมาก องค์จวินก็คือการกลับชาติมาเกิดของเทพเจ้า ราษฎรไม่สามารถก่อกบฏได้แม้แต่น้อย แต่อารมณ์ของสู่อ๋องนั้นยากที่จะคาดเดา ไม่แน่ว่าอาจมีใครบางคนไม่ตั้งใจก็กลับกลายเป็นการต่อต้านแล้ว ใครจะอยากใช้ชีวิตเหมือนเดินบนน้ำแข็งบางๆ เล่า?
จูเหิงมิได้มีอำนาจมากนัก เรื่องใหญ่เช่นกิจการทางทหารก็มีมหาเสนาบดีเป็นผู้ตัดสินใจ เขาเพียงมีหน้าที่รับใช้สู่อ๋องและดูแลเรื่องขี้ประติ๋วเท่านั้น เมื่อก่อนตอนที่จูเหิงยังอยู่ ก็มีเพียงจูเหิงที่รับใช้เขาเพียงคนเดียว พวกเขาสามารถหลอกลวงเบื้องบนระรานผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาและประชาชน ยักยอกเงินเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้ชีวิตอย่างสบายใจแค่ไหนกัน? ดังนั้นขณะที่เหล่าขุนนางกำลังกอบโกยผลประโยชน์อยู่นั้นก็รู้สึกว่าเขาอยู่ดีกว่าไม่อยู่ อย่างไรก็ดีสู่อ๋องกลับไม่คิดเช่นนี้ เขาเพียงรู้สึกว่าไม่รู้ว่าตัวเองไม่ทันระวังปล่อยให้จูเหิงมีอิทธิพลเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน!
สู่อ๋องนอนพลิกตัวกระสับกระส่าย วันรุ่งขึ้นมิได้เรียกประชุมราชสำนัก ทว่าเรียกเพียงมหาเสนาบดีอาวุโสมาเข้าเฝ้า
หลังจากจวินและขุนนางกล่าวคำทักทายกันรอบหนึ่งแล้ว สู่อ๋องก็เอ่ยขึ้นทันที “กว่าเหรินจำได้ว่าเมื่อก่อนท่านมหาเสนาบดีตำหนิว่าจูเหิงทำงานด้านปกครองไม่ดีหลายต่อหลายครั้ง เหตุใดครั้งนี้จึงเห็นด้วยให้เขากลับมา?”
บัดนี้ท่านมหาเสนาบดีอายุหกสิบแล้ว ผมขาวโพลนเต็มศีรษะ เคราสีเงินยาวพ้นหน้าอก ผอมแห้งดังต้นไม้ที่ตายแล้ว เปลือกตาหย่อนคล้อย ครั้นหลุบตาลงราวกับไม่ได้ลืมตาอย่างไรอย่างนั้น ชายชราได้ยินสู่อ๋องถามเช่นนี้แล้วก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบขึ้นช้าๆ “ข้าผู้เฒ่ากับใต้เท้าเหิงมีความเห็นทางการเมืองขัดแย้งกัน ทว่าต้องยอมรับว่าเขามีความจงรักภักดีต่อรัฐสู่ กระทำทุกอย่างด้วยตนเอง เป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง”
สิ่งที่มหาเสนาบดีอาวุโสคิดจริงๆ ก็คือ ‘ข้าผู้เฒ่าอายุมากแล้ว กิจการของรัฐกองสุมจนหายใจไม่ออก ไม่มีพลังเหลือที่จะปรนนิบัติท่านอีกแล้ว!’
แน่นอนว่าไม่สามารถกล่าวคำเช่นนี้ออกมาได้ เขาเพียงเลือกพูดสองสามคำที่น่าฟัง แม้ว่าจูเหิงจะชอบวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับการทำงานของเขาทำให้ไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่าสุดท้ายแล้วจูเหิงไม่มีอำนาจอยู่ในมือ ในอดีตพวกเขาหลายคนกลัวการเดินเคียงข้างสู่อ๋อง มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้คนอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะกลัวว่าจะคุกคามสิทธิของตนในสักวันหนึ่ง
หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้วท่านมหาเสนาบดีอาวุโสจึงเข้าใจว่าในใจของสู่อ๋องก็กลัวจูเหิงมาก เมื่อเป็นดังนี้ ท่านมหาเสนาบดีก็สบายใจขึ้นมาก
เมื่อส่งมหาเสนาบดีแล้ว สู่อ๋องก็นั่งอยู่ในหออักษรที่ไม่ได้ใช้งานมานานคนเดียวตลอดจนถึงยามราตรี
สิ่งที่เขาคิดถึงมากที่สุดกลับเป็นคำพูดของซ่งชูอีในวันนั้น
จูเหิงกลับไปอยู่กับตู้อวี่…จูเหิงกลับไปอยู่กับตู้อวี่…
ตู้อวี่เป็นจวินองค์สุดท้ายก่อนสกุลไคหมิง มีตำนานพื้นบ้านมากมายเกี่ยวกับเขา ทุกคนล้วนบอกว่าเขาเป็นองค์จวินที่ฉลาด ตู้อวี่ชำนาญด้านการเพาะปลูกมาก ตอนนั้นเกิดอุทกภัยในรัฐสู่ ตู้อวี่กลับไม่สามารถจัดการได้ ดังนั้นจึงอ้อนวอนเทพเจ้าให้มอบผู้ที่สามารถควบคุมน้ำให้แก่รัฐสู่ หากพรเป็นจริง เขาเต็มใจที่จะสละตำแหน่งจวินให้ ผลปรากฏว่ามีศพลอยน้ำมาฟื้นคืนชีพที่รัฐสู่ ได้เป็นมหาเสนนาบดีแห่งรัฐสู่และนำราษฎรรัฐสู่ควบคุมน้ำ หลังจากจัดการน้ำสำเร็จแล้วตู้อวี่ก็สละบัลลังก์
ผู้ที่ฟื้นจากความตายนี้ ก็คือจวินองค์แรกของสกุลไคหมิง เปียหลิง
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร หนังสือประวัติศาสตร์ของรัฐสู่ก็ได้บันทึกไว้เช่นนี้ อย่างไรก็ดีไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด แม้ว่าเปียหลิงผู้ประสบความสำเร็จในการจัดการน้ำจะได้รับความนับถือเช่นเทพเจ้าและเป็นที่เคารพบูชาจากผู้คน ทว่าชื่อเสียงในหมู่ราษฎรนั้นห่างไกลจากตู้อวี่นัก
เมื่อสู่อ๋องคิดว่าบรรดาขุนนางแทบทั้งหมดเห็นด้วยกับการพาจูเหิงกลับพระราชวัง อีกทั้งคิดว่าราษฎรของตนก็เปรียบเทียบจูเหิงกับตู้อวี่ผู้มีคุณธรรมเช่นนี้ก็รู้สึกเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด คนเหล่านี้กำลังจะบอกว่าจูเหิงมีคุณธรรมส่วนเขาก็ควรจะสละบัลลังก์เช่นนั้นหรือ?
เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้สู่อ๋องผู้ดื่มด่ำกับความสวยงามและหรูหรารู้สึกไม่ปลอดภัย
สู่อ๋องกินไม่ได้ตลอดหนึ่งเดือนกว่า และเขาก็ผอมลงไปมาก
ค่ำคืนนี้ ขณะที่สู่อ๋องกำลังชื่มชมบุปผาอยู่ในสวนดอกไม้ก็พลันได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้น เขาตั้งใจฟังบทเพลงนั้นอย่างละเอียด ก็เพียงรู้สึกถึงความโศกเศร้าที่เจือปน ราวกับว่าต้องการให้จูเหิงอยู่ต่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด และราวกับว่ากำลังตำหนิตนที่ “ข่มเหง” จูเหิง หลังจากนั้นห้าถึงหกวัน เสียงบทเพลงนี้ก็ดังหลอกหลอนซ้ำๆ ในหูของเขา ยิ่งฟังไม่สมจริงเท่าไรเขาก็ยิ่งหงุดหงิดใจมากขึ้นเท่านั้น
“ทหาร ไปจับซ่งหวยจินเฉือนให้หมาป่ากินซะ!” สู่อ๋องลุกขึ้นพรวดจากที่นอน และตะโกนใส่บ่าวรับใช้
บัดนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ขันทีที่กำลังหลับใหลถูกคำรามใส่จนสะดุ้งโหยงก็ไม่กล้าถามว่าเพราะอะไร ตอบรับซ้ำๆ แล้ววิ่งออกไปสั่งให้คนไปจับซ่งชูอี
ทว่าหลังจากเสาะหาอยู่หลายวัน ซ่งชูอีก็ปานระเหยหายไปโดยไร้ร่องรอย แต่สู่อ๋องก็ยังคงได้ยินเสียงบทเพลงนั้นดังขึ้นเป็นครั้งคราว
“ฝ่าบาท ท่านราชทูตฉินชูหลี่จี๋ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้ทูลรายงานอยู่หน้าประตูด้วยความระมัดระวัง
“ชูหลี่จี๋?” สู่อ๋องไร้เรี่ยวแรง “อารมณ์ของกว่าเหรินไม่ดี บอกเขาว่าถ้าไม่อยากตายก็อย่ารบกวน”
สู่อ๋องรู้สึกอึดอัดกับหน้าตาที่หล่อเหลาของชูหลี่จี๋มาโดยตลอด บัดนี้อารมณ์ไม่ดีก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม
บ่าวรับใช้ผู้นั้นถอยออกไป สักพักก็กลับเข้ามา ลังเลอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท ท่านราชทูตฉินกล่าวว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัวศักดิ์สิทธิ์และหญิงงามจื่อเฉาพ่ะย่ะค่ะ”
“หญิงงามจื่อเฉา?” สู่อ๋องมีชีวิตชีวาขึ้นมากทันใด ลุกขึ้นพรวดมาจากเพียง จัดกระชับเสื้อผ้า “ให้เขาเข้ามาเถิด”
บ่าวรับใช้ได้ยินเสียงของสู่อ๋องแล้วรู้สึกดีใจ คิดว่าหญิงงามจื่อเฉาผู้นี้อาจทำให้วันเวลาที่สั่นเทาของเขาสิ้นสุดลงในที่สุด ดังนั้นจึงรีบไปเชิญชูหลี่จี๋เข้ามา
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท” ชูหลี่จี๋ค้อมตัวคำนับ
สู่อ๋องมองเขาอย่างไม่พอใจนัก กล่าวขึ้นอย่างหมดความอดทนเล็กน้อย “ท่านมีเรื่องใดก็ว่ามา”
ชูหลี่จี๋จึงอธิบายจุดประสงค์ที่มา “กระหม่อมได้รับจดหมายจากเสียนหยาง ฝ่าบาทฉินกงได้ยินว่าถนนไม้กระดานใกล้เสร็จแล้ว จึงส่งของขวัญไปยังบริเวณใกล้เคียงฮั่นจง ด้วยเหตุนี้จึงทูลถามฝ่าบาทว่าจะให้ทหารฉินส่งของมาที่ด่านเจียเหมิง หรือว่าทหารสู่จะไปรับของขวัญที่ชายแดนฉินสู่?”
สู่อ๋องครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ทหารข้าจะออกจากด่านไปรับ”
“เช่นนั้น กระหม่อมก็จะกราบทูลฝ่าบาทฉินกงเช่นนี้” ชูหลี่จี๋ถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ในรัฐสู่ ในเมื่อทหารสู่จะออกไปรับของขวัญ เขาก็ควรตามไปด้วย ครั้นส่งมอบของขวัญกันแล้วก็สามารถกลับรัฐฉินได้
“ดี” สู๋อ๋องด้านหนึ่งไม่ต้องการพบชูหลี่จี๋ อีกด้านหนึ่งเพราะไม่มีกะใจ ฉะนั้นจึงขี้คร้านที่จะแม้แต่เอ่ยถึงงานเลี้ยงอำลาที่ควรจัดเตรียม
ชูหลี่จี๋กำลังจะถอยออกไปก็ลังเลครู่หนึ่ง ประสานมือเอ่ยอีกครั้ง “กระหม่อมได้ยินว่าฝ่าบาทกำลังตามฆ่าซ่งจื่อ มีเรื่องหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะกราบทูลหรือไม่”
“หึ ชาวจงหยวนเยี่ยงพวกเจ้าก็ไร้ความสุขเช่นนี้ เต็มใจกล่าวก็กล่าว มีอะไรควรไม่ควรอีกเล่า!” สู่อ๋องตรัสเย็นชา
“ชื่อเสียงของซ่งจื่อในจงหยวนนั้นไม่ด้อยไปกว่าจวงจื่อเลย ฝ่าบาทฆ่าเขาจำต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม” ชูหลี่จี๋ไม่รอให้สู่อ๋องตอบก็พูดต่อ “กระหม่อมในฐานะบัณฑิตผู้หนึ่งที่ชื่นชมความสามารถของซ่งจื่อ จำต้องกล่าวในสิ่งที่ยุติธรรมสำหรับเขา หรือว่าโรคหัวใจของฝ่าบาทขึ้นอยู่กับซ่งจื่อจริงๆ?”
หรือว่าโรคหัวใจของฝ่าบาทขึ้นอยู่กับซ่งจื่อจริงๆ?
วาจานี้กระแทกใจของสู่อ๋องอย่างแรง
“กระหม่อมขอทูลลา” ชูหลี่จี๋กล่าวจบก็ถอยออกไปทันที ถึงอย่างไรสู่อ๋องก็ไม่ชอบเขา เขาในฐานะท่านราชทูตคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องหมอบลงไปกับพื้น แม้ว่าสู่อ๋องจะไร้สาระเพียงใดทว่าก็มิใช่คนเขลา เหตุผลที่ไม่ควรตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองรัฐนั้นชัดเจนยิ่ง
สู่อ๋องถอนหายใจอย่างแรง ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะจูเหิง ไม่ว่าซ่งชูอีจะบรรเลงเพลงอะไรก็เป็นเพียงการเล่นสนุกเท่านั้น!
“เหิงเอ๋ย…” สู่อ๋องพึมพำ มือที่ห้อยอยู่ข้างขาค่อยๆ กำแน่น ดวงตาเผยความเยือกเย็น