กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 197 ใครปล้นหญิงงาม
“ต้าฉินรู้จักใช้คน ฝ่าบาทยกเด็กหนุ่มมากความสามารถเหล่านี้ไว้ในมือของท่านแม่ทัพ แสดงได้เห็นว่าฝ่าบาทไว้ใจท่านแม่ทัพซย่ามากเหลือเกิน” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
ซย่าเฉวียนนิ่งไปครู่หนึ่ง กวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ในกระโจมอย่างรวดเร็ว เป็นดั่งที่ซ่งชูอีว่าจริงๆ นอกจากไม่กี่คนที่ติดตามเขาตลอดทั้งปีแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นคนใหม่ที่อายุต่ำกว่ายี่สิบห้าทั้งสิ้น หากคำนวณดูแล้ว ตูเว่ยก็มิใช่ผู้ที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มคนเหล่านั้น เพียงแต่ตำแหน่งขั้นสูงของเขาเป็นที่สะดุดตา
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาคล้ายจะเชื่อแล้ว จึงยิ้มเอ่ยกับทุกคน “ทุกท่านติดตามท่านแม่ทัพซย่า การได้เรียนรู้จากประสบการณ์การต่อสู้จริงต่างหากจึงจะไม่เสียความพากเพียรของฝ่าบาท”
“ขอรับ!”
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน เสียงนั้นดังกึกก้อง
“หึ” ความโกรธของซย่าเฉวียนค่อยๆ สงบลง การได้รับความเชื่อมั่นจากจวินองค์ใหม่ก็เป็นภาคภูมิใจอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ทว่าก็ยังคัดค้านซ่งชูอี “ข้ามิกล้าเห็นด้วยกับคำพูดของท่าน! ประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงนั้นชุ่มไปด้วยเลือด! ใช่ว่านั่งเรียนก็สามารถเรียนรู้ได้ง่ายๆ!”
“ที่ท่านแม่ทัพกล่าวนั้นทั้งถูกและมิถูก” ซ่งชูอีไม่ใคร่กล่าวคำเอาอกเอาใจเท่าไรนัก สิ่งที่นางกล่าวในตอนนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์ตามความเป็นจริงและเลือกกล่าวแต่สิ่งที่มีประโยชน์เท่านั้น “ได้ยินว่าก่อนที่เสือดุร้ายจะปล่อยให้ลูกตัวเองออกล่าเหยื่อก็จะสอนทักษะการล่าเหยื่อให้กับพวกมัน จากนั้นค่อยพาพวกมันไปล่าเหยื่อด้วยกัน หลังจากทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ลูกเสือก็จะสามารถเผชิญหน้าตามลำพังได้”
การยกตัวอย่างนี้ง่ายมาก ก่อนอื่นก็เรียนรู้ประสบการณ์ล่วงหน้า ครั้นอยู่ในสนามรบดวงตาก็ไม่มืดบอดเสียทีเดียว อีกทั้งยังช่วยให้พวกเขาได้เติบโตเร็วขึ้น และยังลดอัตราการตายในสนามรบได้อีกด้วย
“ฝ่าบาทสายตากว้างไกลนัก!” ซย่าเฉวียนอุทาน
ซย่าเฉวียนล้มลุกคลุกคลานออกมาจากสนามรบ และได้เห็นเลือดของพี่น้องคนสนิทสาดกระเซ็นอยู่ในสนามรบด้วยตาของตัวเอง เมื่อก่อนเขาคิดมาตลอดผู้ที่กล้าหาญกว่าและโหดร้ายกว่าเท่านั้นที่จะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในสนามรบได้ ทว่าเมื่อพิจารณาถึงคำพูดของซ่งชูอีในตอนนี้แล้วก็รู้สึกว่าค่อนข้างมีเหตุผล
“ถอยออกไปก่อนเถิด ข้าต้องการจะหารือกับท่านหวยจิน” ซย่าเฉวียนโบกมือเอ่ย
“ขอรับ!”
ครั้นได้รับคำสั่ง ทุกคนล้วนถอนหายใจโล่งอก รีบถอยออกไปโดยเร็ว
ซ่งชูอีทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่เจ้าอี่โหลวมองมา ต่างหลีกทางให้กันกับซย่าเฉวียนแล้วนั่งลง
ในเมื่อไม่มีสงครามให้สู้รบ รองแม่ทัพจะมีประสบการณ์หรือไม่นั้นก็ไม่สำคัญมากแล้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้ซย่าเฉวียนปวดศีรษะก็คือ เขาเป็นแม่ทัพก็รู้จักเพียงการเช่นฆ่าในสนามรบ การนั่งเล่าประสบการณ์ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฟังอย่างจืดชืดนั้น…จะต้องเริ่มจากตรงไหนหรือ?
“ท่านแม่ทัพซย่าเข้าร่วมสงครามน้อยใหญ่มากว่ายี่สิบครั้ง น่าจะมีความประทับใจล้ำลึกมากมาย เพียงเล่าให้พวกเขาฟังเป็นพอ ส่วนที่เหลือนั้นยกให้ข้าน้อยจัดการ” ซ่งชูอีก็รู้ว่าเรื่องนี้มันยาก ดังนั้นจึงคิดริเริ่มที่จะจัดการเรื่องนี้ให้ได้ครึ่งหนึ่ง
ซย่าเฉวียนจึงพอที่จะจับทางได้บ้าง “เช่นนี้ง่าย”
“ท่านแม่ทัพจำไว้ว่าต้องเล่าถึงความยากลำบาก” ซ่งชูอีเอ่ยกำชับ
ซย่าเฉวียนพยักหน้า สำรวจซ่งชูอีด้วยความแนบเนียน
ซ่งชูอีเคยเป็นจู้ซย่าสื่อแห่งรัฐฉินมาก่อน ซย่าเฉวียนก็เคยเห็นนางในราชสำนักบ่อยครั้ง เพียงแต่เด็กหนุ่มผู้นี้เอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่ในมุมหนึ่งราวกับเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่งภายในท้องพระโรง ในเวลานั้นมีปัญหาต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกตามมาทีละอย่าง ตำแหน่งที่เขายืนก็ไกลจากนางมาก จึงไม่ได้ใส่ใจนางเท่าใดนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถสำรวจเด็กหนุ่มได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเพียงนี้ หน้าตาธรรมดาทั่วไป ร่างกายผอมบาง ทว่าดวงตาคู่นั้นสดใส ด้วยบุคลิกแห่งความสงบจากภายในสู่ภายนอก ทำให้นางมีความแตกต่างจากคนในวัยเดียวกันอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ท่านแม่ทัพไว้ใจหวยจินเพียงนี้เชียวหรือ?” ซ่งชูอีอดที่จะแปลกใจมิได้
ซย่าเฉวียนหัวเราะเสียงดัง “ไม่ปิดบังท่าน ข้าไว้ใจฝ่าบาทมากกว่า! เซี่ยนกง เซี่ยวกงล้วนเป็นนักปราชญ์ชั้นหนึ่ง มองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ข้าคิดว่าฝ่าบาทองค์ปัจจุบันก็ไม่ต่างกันเท่าใด ข้านั้นตาบอด ฝ่าบาทตรัสเยี่ยงไรข้าก็เชื่อเยี่ยงนั้น!”
ฉินเซี่ยนกงใช้เจี่ยนซู[1] ไป๋หลี่ซี[2] ประคองรัฐฉินที่ล่มสลาย ฉินเซี่ยวกงใช้ซางยาง พลิกกระแสการถดถอยอันบ้าคลั่ง องค์จวินทั้งสองคนล้วนมีความฉลาดในการใช้คน ส่วนอิ๋งซื่อนั้นยิ่งเหมือนเป็นศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์
“ท่านแม่ทัพซย่าถ่อมตัวเกินไปแล้ว สามารถเป็นที่รับรู้ของฝ่าบาทไม่นับว่าตาบอด” ซ่งชูอียิ้มเอ่ยอย่างเข้าใจ
ซย่าเฉวียนนั้นมีภูมิปัญญาที่ซ่อนอยู่ หรืออาจกล่าวได้ว่าความเฉลียวฉลาดนั้นอาจเกิดขึ้นได้กับบุคคลที่โง่เขลา มิใช่คนที่จะแหยมด้วยได้โดยง่าย ดังนั้นซ่งชูอีจึงไม่ต้องการจะพูดอะไรกับเขามาก เพียงขอให้เขามีอำนาจตัดสินใจหลักในค่ายทหารก็เท่านั้น ทว่าต้องบอกนางก่อนที่จะออกคำสั่งใด
จากพระราชโองการของอิ๋งซื่อก็สามารถบอกได้ว่าเจตนาของพระองค์คือให้ทำตามความคิดเห็นของซ่งชูอี ซย่าเฉวียนสามารถมองออกอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีความเห็นใดเกี่ยวกับวิธีการจัดการเช่นนี้
หลังจากตกลงกันแล้ว ซ่งชูอีกับซย่าเฉวียนก็ต่างไปทำงานของตัวเอง
ซ่งชูอีออกมาจากกระโจมก็พบจี๋อวี่เข้าพอดี
“กลับกระโจมเถิด” ซ่งชูอีเห็นว่าเขาต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่หยุดจึงรู้ว่ามีข่าวส่งมา รีบเดินไปที่กระโจมของตัวเอง
หลังจากนั่งลงในกระโจมแล้วก็เอ่ยว่า “มีเรื่องใด?”
“แผนการของท่านเป็นผลแล้ว วันนี้รัฐสู่ใช้กำลังต่อต้านรัฐจู” จี๋อวี่ต้องชื่นชมซ่งชูอี ใช้ต้นทุนเพียงน้อยนิดทว่ากลับปลุกปั่นให้รัฐสู่เข้าสู่สงครามได้ และสามารถคาดเดาได้ว่าสงครามน้อยๆ นี้จะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า
ขณะที่ซ่งชูอีล่อลวงสู่อ๋องด้วยความงามของจื่อเฉานั้น ในใจของจี๋อวี่ก็รู้สึกว่ารู้สึกว่ามันยากที่จะบรรลุผลอย่างมีนัยสำคัญด้วยการทำเช่นนั้น ทว่าสู่อ๋องกลับเปิดสงครามทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเห็นหน้าจื่อเฉาเลยด้วยซ้ำ!
“ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับพี่จางแล้ว!” ซ่งชูอีเอ่ย หยิบเกลือออกมาจากกระโจมและเริ่มแปรงฟันราวกับว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
จี๋อวี่ทำงานติดตามซ่งชูอี เห็นแผนการของนางได้อย่างชัดเจนที่สุด
ตอนที่ซ่งชูอีล่อลวงสู่อ๋องด้วยความงามของจื่อเฉาในช่วงแรก แม้ว่าสู่อ๋องจะมีความโลภทว่าก็เกิดสงสัยในใจ จากนั้นนางก็โยนความปรารถนาที่ว่าฉินต้องการจะทำการค้าขายกับรัฐสู่ออกไปทันที เพื่อให้สู่อ๋องรู้สึกว่าฉินมีสิ่งที่ต้องการ สู่อ๋องติดกับตามคาดและตกลงทำการค้าขายกับรัฐฉิน จากนั้นก็พบกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิดทุกประเภท อย่างเช่นเส้นทางภูเขาเดินทางลำบาก รถม้าของหญิงงามเข้ามาไม่ได้… แน่นอนว่าสู่อ๋องไม่ปล่อยเนื้อที่กำลังจะเข้าปากไปอย่างแน่นอน เส้นทางเข้ารัฐสู่จึงถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ
จากนั้นชูหลี่จี๋ก็ทำตามแผนการในฐานะท่านราชทูตคนใหม่ของรัฐฉิน เอาใจสู่อ๋องด้วย “วัวศักดิ์สิทธิ์” ในเวลาที่เหมาะสม ส่วนทางซ่งชูอีก็เอาชนะองค์รัชทายาทอย่างมีชั้นเชิง ทำให้รัชทาบาทสร้างถนนเข้ารัฐสู่กว้างขึ้นและแข็งแรงขึ้น จากนั้นนางก็รุดไปรัฐปาเพื่อกระจายข่าวที่รัฐฉินจะมอบของกำนัลชิ้นใหญ่ให้กับรัฐสู่
ระหว่างที่กำลังดำเนินการทั้งหมดนี้ สู่อ๋องก็ได้รับอิทธิพลจากจูเหิง บังเกิดความสงสัยในใจ ดังนั้นจึงใช้ส่งจดหมายหยาบคายฉบับหนึ่งเพื่อทดสอบฉินกง
อิ๋งซื่อไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี ให้ความร่วมมือต่อแผนการของซ่งชูอีเป็นอย่างดี ทำให้สู่อ๋องเชื่อในความจริงใจของรัฐฉินโดยสิ้นเชิง
ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น หญิงงาม วัวศักดิ์สิทธิ์ล้วนส่งมาถึงมือขององค์รัชทายาทรัฐสู่แล้ว สู่อ๋องลงเรือไปรับหญิงงามอย่างมีความสุขด้วยตัวเอง ทว่าในเวลานี้เอง กลุ่มทหารปลอมตัวจากรัฐจูกลับฉวยโอกาสปล้นระหว่างทาง!
ต้องรู้ก่อนว่า บัดนี้สู่อ๋องรอหญิงงามจนปวดไปทั้งอวัยวะภายในแล้ว ครั้นได้ยินข่าวเช่นนี้ เพลิงโกรธก็ปะทุทันที ตบโต๊ะกล่าวว่าจะส่งกองกำลังออกไป
ใครปล้นหญิงงาม? เรื่องนี้ยังต้องสืบอีกหรือ? แม้ว่าด่านเจียเหมิงจะอยู่ภายในเขตแดนของรัฐจู ทว่ารัฐจูไม่บังอาจเพียงนั้น จะต้องเป็นเพราะตาแก่ขี้งกตายยากแห่งรัฐปาได้ยินเรื่องของ “วัวศักดิ์สิทธิ์” เข้า จึงรวมหัวกับรัฐจูปล้นของไปแล้ว!
ความสัมพันธธ์ระหว่างรัฐจูและรัฐปาแน่นแฟ้นเสมอมา อีกทั้งศพของทหารรัฐจูที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุก็อธิบายได้เป็นอย่างดี! ต่อให้รัฐจูมิใช่คนต้นคิดก็เป็นคนร้าย!
ศพเหล่านั้นเป็นทหารรัฐจูอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าพวกเขากลับมิใช่โจรปล้นของกำนัล แต่ถูกสังหารโดยทหารรัฐฉินที่ปลอมตัวมาแล้วโยนเข้าไปในที่เกิดเหตุเพื่อใส่ร้ายต่างหาก
แม้ว่าสู่อ๋องจะมิได้โมโหก็คิดไม่ถึงว่าความจริงจะเป็นเยี่ยงนี้
ด้านหนึ่งรัฐสู่ส่งคนไปเจรจาต่อรองกับรัฐปา อีกด้านหนึ่งก็เปิดสงครามกับรัฐจู ความแข็งแกร่งของรัฐปาสู่นั้นเท่ากันรัฐสู่จะไม่ใช้กำลังอย่างผลีผลาม ทว่าสู่อ๋องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กัดฟันสาบานว่าหากไม่โค่นจูโหวที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาแล้ว ตายไปก็ไม่ขอไปพบบรรพบุรุษ!
รัฐจูเป็นรัฐที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของรัฐสู่ สองรัฐเปิดสงครามกันก็นับว่าเป็นเรื่องภายใน คนนอกไม่สามารถยุ่งได้ บวกกับคำปฏิญาณที่หนักหน่วงของสู่อ๋อง จูโหวตื่นตระหนกทันทีและรีบไปขอความช่วยเหลือจากรัฐปา
……
ทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เกิดเป็นห่วงโซ่ทีละห่วงโซ่ สิ่งที่ซ่งชูอีทำเหล่านั้นดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่มิได้สำคัญกระไร แต่ผลปรากฏว่าสายลมขนาดเล็กกลับรวมตัวกันกลายเป็นพายุขนาดใหญ่
เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่มีมีอิทธิพลต่อสถานการณ์โดยรวม
ผู้ที่ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้เช่นนี้ หากจี๋อวี่มิได้เห็นกับตาตนเองก็ไม่มีทางเชื่อว่านี่จะมาจากลายมือของซ่งชูอี เขายิ่งสงสัยขึ้นทุกทีว่าซ่งชูอีเป็นสตรีจริงหรือเปล่า
“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น?” ซ่งชูอีเหลือบมองจี๋อวี่ บ้วนน้ำลงในชามด้านข้าง
จี๋อวี่เอ่ย “ท่านไม่เป็นการยกผลงานให้จางจื่อโดยเปล่าหรือ?”
“คนที่เชื่อมั่นในตัวเองเช่นจางจื่อจะไม่รับความชอบนี้” ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “ขอเพียงฝ่าบาทเข้าใจเป็นพอ”
ซ่งชูอีรู้ว่าคนที่มีความภาคภูมิใจและมั่นใจในตนเองสูงยิ่งเช่นจางอี๋ไม่แน่ว่าอาจจะชอบชุบมือเปิบ ทว่าต่อให้ชุบมือเปิบก็จะไม่รับเอาความดีความชอบนี้ไว้เปล่าๆ อย่างแน่นอน เขาจะต้องจดจำของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นนี้จากซ่งชูอีไว้ในใจ
ดูจากภายนอกแล้ว ซ่งชูอีเหมือนไม่สนใจชื่อเสียงและโชคลาภเลยแม้แต่น้อย ทว่าตราบใดที่ทำให้อิ๋งซื่อและจางอี๋วางใจได้ก็นับเป็นรางวัลชิ้นใหญ่ที่สุดของนาง ภายภาคหน้าก็จะไม่ขาดชื่อเสียงและผลประโยชน์แล้ว
ดังนั้นจากการกระทำครั้งนี้ เป้าหมายของนางคือหัวใจของอิ๋งซื่อและจางอี๋
จี๋อวี่เข้าใจในข้อนี้ อดที่จะทอดถอนใจมิได้ “ท่านใช้ชีวิตเช่นนี้ไม่เหนื่อยหรือ?”
หรืออีกนัยหนึ่ง อะไรคือความจริงสำหนับคนเช่นนาง?
“เหนื่อย” ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ “ยิ่งเหนื่อยยิ่งมีความสุข”
ซ่งชูอีเห็นอาหารอยู่บนโต๊ะ ก็เรียกจี๋อวี่เข้ามานั่งกินด้วยกัน
จี๋อวี่ไร้คำพูด ในตอนนี้เขาไม่อยากคุยกับคนผิดปกติเช่นนี้ ดังนั้นจึงหาข้ออ้างปฏิเสธและออกไปแล้ว
ปาสู่เปิดสงคราม ข่าวสารหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย สมุดไผ่ทางนั้นกองเต็มโต๊ะ ซ่งชูอีกินลวกๆ เพียงไม่กี่คำก็เช็ดมือ นั่งลงหน้าโต๊ะอ่านข่าวจากสายลับของวันนี้จนจบ
“ท่านขอรับ ตูเว่ยมาแล้ว” ทหารหน้าประตูรายงาน
“อืม” ซ่งชูอีวางสมุดไผ่ลง “เชิญเขาเข้ามา”
แสงไฟหน้าประตูมืดลง เจ้าอี่โหลวพาไป๋เริ่นเดินเข้ามา
“เจ้าไม่ไปฝึกทหารหรือ มาหาข้ามีเรื่องอะไร?” ซ่งชูอีถาม
คำพูดที่อยู่ในปากของเจ้าอี่โหลวหยุดชะงัก ก้าวเดินก็หยุดลงกะทันหันแล้วเบือนหน้าจากไป ไป๋เริ่นก็แกว่งหาง เบือนหน้าแล้ววิ่งตามออกไปเช่นกัน
“เอ๊ะ?” ซ่งชูอีงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า นางก็แค่ถามเพียงคำเดียวเท่านั้น? ทำผิดต่อเขาตรงไหน?
อย่างไรก็ดี ครั้นนึกถึงท่าทางเบือนหน้าหนีของเจ้าอี่โหลวและไป๋เริ่นที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนแล้ว ซ่งชูอีก็หัวเราะออกมา พูดพึมพำ “ข้ารู้แล้วว่าไป๋เริ่นเรียนรู้มาจากไหน!”
ซ่งชูอีไม่มีเวลาเดาว่าเหตุใดเจ้าอี่โหลวจึงกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ ก้มหน้าอ่านเอกสารต่อไป จนกระทั่งอ่านถึงม้วนที่สาม ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยและมือที่ถือสมุดไผ่ไม่ก็อดที่จะกำแน่นมิได้
[1] เจี่ยนซู (ประมาณปี 690 – 610 ก่อนคริสตกาล) แซ่จื่อ สกุลเจี่ยน รัฐบุรุษและนักยุทธศาสตร์การทหารที่มีชื่อเสียงยุคสมัยชุนชิว
[2] ไป๋หลี่ซี (ประมาณปี ? – 621 ก่อนคริสตกาล) แซ่เจียง สกุลไป๋หลี่ รัฐบุรุษและนักคิดที่มีชื่อเสียงยุคสมัยชุนชิว