กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 199 เด็ดดอกท้อให้ใคร
ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า บัดนี้ปลายเดือนสามแล้ว ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยดอกท้อ
หลังจากต้อนรับกองทัพสองหมื่นนายชุดแรกที่มาถึง ซ่งชูอีก็ใช้เวลาว่างที่หาได้ยากยิ่ง พาจี้ฮ่วนไปยังภูเขาใกล้เคียงเพื่อชื่นชมฤดูใบไม้ผลิ
เป็นเวลาสิบวันแล้วที่เจ้าอี่โหลวคุยกับนางครั้งสุดท้าย ซ่งชูอีเดินทอดน่องอยู่ในป่าดอกท้อ ครั้นนึกถึงเรื่องนี้อารมณ์ก็มัวหมองเล็กน้อย “ฮ่วน เจ้าว่าเพราะเหตุใดตูเว่ยจึงไม่คุยกับข้ามาเดือนหนึ่งแล้ว?”
จี้ฮ่วนเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่ทราบ”
ซ่งชูอีเหลือบมองเขา แสดงความไม่พอใจที่เขาแสร้งทำเป็นครุ่นคิด “เรื่องที่เจ้าถูกลากเข้าป่าในรัฐปานั้น…ก็อย่าได้ถือโทษข้าอยู่ในใจตลอดเวลาเลย ลูกผู้ชายอกสามศอก…”
“ท่าน!” จี้ฮ่วนหน้าแดงหูแดงตัดบทนาง “ข้ารู้ว่าเหตุใดตูเว่ยจึงไม่พูดกับท่าน”
“อ๋อ?” ซ่งชูอีตั้งใจ
จี้ฮ่วนกล่าวด้วยความฉุนเฉียว “เวลาเจ็บตรงไหนท่านก็แทงตรงนั้น พูดจาโผงผาง คนที่ไม่รู้ยังนึกว่าท่านจงใจจะซ้ำรอยแผลเดิม!”
ขณะที่ซ่งชูอีเดินทางอยู่ข้างนอกนั้น คำพูดของนางล้วนอ้อมมาจากลำไส้เล็กส่วนปลายเก้ารอบก่อนที่จะเอ่ยออกมาจนเป็นนิสัย ทั้งหมดนี้เพื่อตอบสนองหัวใจของผู้ฟัง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ขุ่นเคืองหัวใจ เพียงแต่นางไม่มีความพยายามนี้เวลาที่อยู่กับคนใกล้ชิด คิดอะไรก็พูดออกมาเยี่ยงนั้น อย่างไรก็ดีนางก็มิได้พูดโดยไม่คิด นับตั้งแต่เหตุการณ์ในรัฐปาครานั้นจี้ฮ่วนก็กลายเป็นคนที่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับนาง มิได้พูดจาโผงผางต่อหน้านางเหมือนที่เคยทำเมื่อก่อนแล้ว แม้ว่านางมิได้พูดแต่ก็มิได้หมายความว่าไม่สนใจ
จี้ฮ่วนเห็นว่าซ่งชูอีเหม่อมองดอกท้อที่กำลังจะผลิบาน หลุบศีรษะอยู่สักพัก กล่าวงึมงำ “ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจ ข้า…ข้าก็แค่พูดไปเพราะโมโห”
“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้า พึมพำกับตัวเอง “ข้านึกว่าเขาจะรู้ ขี้งอน”
ซ่งชูอีไม่เคยซ่อนเร้นอะไรต่อหน้าเจ้าอี่โหลวเลย นึกโมโหก็โมโห นึกอยากด่าก็ด่า กล่าววาจาเป็นพิษอยู่บ่อยครั้ง นางก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดปกติแล้วเจ้าอี่โหลวจึงรับสิ่งเหล่านี้ได้ เพียงแต่ระยะหลังนี้ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดใดของนางที่ทำให้เขามีสีหน้าบึ้งตึงอย่างแปลกประหลาด?
จี้ฮ่วนมองดูคนที่ “สันดานไม่เปลี่ยน” ผู้นี้ ในใจพลันคิดว่าพูดอะไรก็ล้วนเกินความจำเป็น
หลังจากเดินทอดน่องอยู่นาน ซ่งชูอีเห็นว่าดอกท้อต้นหนึ่งบานกำลังสวย จึงเด็ดติดมือไปสองสามกิ่ง
ขณะที่กลับถึงกระโจม เจ้าอี่โหลวยังคงฝึกทหารอยู่ นางจึงสั่งให้คนนำดอกท้อไปไว้บนโต๊ะของเขา
ที่ซ่งชูอีทำทั้งหมดนี้เพราะนึกถึงสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่เคยกล่าวไว้เมื่อชาติที่แล้ว ‘หากต้องการชนะใจโฉมงาม ก็ต้องพยายามง้อ’
เวลาที่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีอะไรทำก็มักจะเด็ดดอกไม้ใบหญ้าไปให้แม่นางรูปงามในหมู่บ้านตรงเนินเขาอยู่เสมอ ไม่ก็บรรเลงเพลงใหม่ตรงเนินเขาหน้าหมู่บ้าน จากการสังเกตของนางคล้ายได้ผลลัพธ์ดีทีเดียว
สองชีวิตของซ่งชูอีรวมกันจนถึงบัดนี้ นางเคยเอาชนะใจคน เคยทำให้คนสบายใจ เคยปลุกเร้าใจคน เคยหลอกคน… ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยพยายามก็คือการครอบครองคน เมื่อก่อนตอนที่นางอยู่กับหมิ่นฉือ ส่วนใหญ่ก็หารือกันเรื่องสถานการณ์ทั่วไปของรัฐต่างๆ ยามว่างก็เดินหมากดื่มสุรา ยังไม่เคยง้อใครทั้งสิ้น
ครั้นเรื่องความสัมพันธ์ทางทหารตกอยู่ในมือของนาง นางก็สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทว่า นางไม่เต็มใจที่จะใส่ความรู้สึกจอมปลอมลงไปในเรื่องเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย คิดไปคิดมาหากไม่เสแสร้งก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ท่ามกลางความอับจนหนทางนี้ นางทำได้เพียงทำตามแบบแผนเดิมและเรียนรู้วิธีการง้อคนจากศิษย์ใหญ่อย่างเงอะงะ
เวลาพลบค่ำ ซ่งชูอีเพิ่งจะกินอาหารเสร็จไม่นานก็ยืนอยู่หน้าแผนที่คิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ พลางย่อยอาหาร
“ท่าน ตูเว่ยมาแล้วขอรับ”
เสียงรายงานหน้าประตูยังไม่ทันสิ้นสุด เจ้าอี่โหลวก็เดินหน้าบึ้งเข้ามาแล้ว
ไป๋เริ่นเงยหน้าเดินตามก้นเจ้าอี่โหลวเข้ามาเหมือนเป็นหางของเขา
เมื่อซ่งชูอีเห็นลักษณะจิ้งจอกปลอมเป็นเสือของมันแล้ว ทั้งโมโหทั้งขบขัน อดที่จะจ้องมันไม่ได้ พลันคิดในใจว่า ‘เจ้าเด็กโอหัง! รอเวลาที่เจ้าเสี่ยวฉงไปรบดูสิว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเยี่ยงไร!’
ไป๋เริ่นเห็นว่าแววตาของซ่งชูอีไม่ประสงค์ดี ก็รีบโน้มตัวเข้าหาเจ้าอี่โหลว
“เจ้าเป็นคนนำดอกท้อไปวางที่โต๊ะข้ารึ? เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร?!” เจ้าอี่โหลวเสียงแข็ง
ซ่งชูอีมิได้ตระหนักถึงความจริงจังในการมอบดอกไม้ให้กับผู้ชาย แต่นางสามารถมองเห็นความโกรธที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลา อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดนางจึงล้มเหลวในการใช้เคล็ดลับของศิษย์พี่ใหญ่? เพราะว่ามันผิดที่ผิดทางหรือว่าผิดคนผิดประเพณีกันนะ?
ความคิดต่างๆ นานาแวบเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็ว ซ่งชูอีตัดสินใจที่จะกล่าวความจริงอันเรียบง่ายที่สุด “วันนี้ข้าไปชมฤดูใบไม้ผลิมา เห็นว่าดอกท้อสวยดีจึงตั้งใจเด็ดมาให้เจ้า”
สีหน้าเจ้าอี่โหลวอ่อนลง เผยให้เห็นความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เจ้า…เจ้าเอาใจใส่ดี”
พูดจบก็ลังเลครู่หนึ่ง หมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
อารมณ์ที่เปลี่ยนกะทันหันนี้ทำให้ซ่งชูอีอัศจรรย์ใจ นางอ้าปากค้างมองดูประตูที่ว่างเปล่าครู่ใหญ่ก่อนรวบแขนเสื้อแล้วจิ๊ปากเอ่ย “ประหลาด! ความคิดของโฉมงามไร้ซึ่งตรรกะใดจริงๆ หรือ?”
ผลลัพธ์นั้นเห็นทันตา! นางครุ่นคิดว่าหากที่นี่มิใช่ค่ายทหาร จะต้องเรียนรู้การดีดพิณจากศิษย์พี่ใหญ่ทุกวันให้ได้
หากเป็นในอดีต เป็นตายร้ายดีอย่างไรซ่งชูอีก็ไม่มีทางเชื่อว่าเพียงดอกไม้สองสามดอก บทเพลงหนึ่งบทเพลงจะสามารถชนะใจคนได้ ทว่าตอนนี้นางเชื่อบ้างแล้ว…ถ้าเช่นนั้นไว้วันหน้ากลับเสียนหยางแล้วส่งดอกไม้ให้อิ๋งซื่อดีหรือไม่?
“จิตใจคนนี้…ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ!” ซ่งชูอีถอนหายใจ สลัดความคิดวุ่นวายนี้ออกไป แล้วคิดเรื่องแผนการโจมตีปาสู่ต่อ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็สำคัญกว่า
“หวยจิน!”
ซ่งชูอีเพิ่งจะหยิบพู่กันขึ้นมาพลันได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากหน้าประตู
มุมปากของนางยกยิ้ม ลุกขึ้นออกไปต้อนรับก็เห็นจางอี๋ในชุดคลุมสีเทาน้ำเงินตัวใหญ่พร้อมกับหมาป่าขนสีทองอร่ามเดินเข้ามาตามคาด
“เห็นหน้าตาพี่จางมีความสุขเช่นนี้ คิดว่าได้เลื่อนขั้นแล้วหรือ?” ซ่งชูอีประสานมือยิ้มถาม
จางอี๋หัวเราะเสียงดัง “ต้องขอบคุณอิทธิพลแห่งความโชคดีของเจ้า”
ทั้งสองคนสบตากันอย่างมีความสุข เดินเข้าไปในกระโจมอย่างกลมเกลียว ดื่มสุราชำระความเหนื่อยล้าสองสามจอกก่อนพูดคุยกันอย่างสงบ
“คิดว่าข้าจะต้องไปที่รัฐสู่ในไม่ช้าแล้ว” จางอี๋เอ่ย
“เยี่ยม” ซ่งชูอีปรบมือ นี่นับเป็นก้าวสำคัญในการโจมตีรัฐสู่ บัดนี้ท่าทีของสู่อ๋องค่อยๆ สงบลงแล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีความคิดใหม่ต่อของกำนัลและต้องสงสัยรัฐฉินอย่างแน่นอน
“หลายวันนี้ข้าชี้นำให้ปาอ๋องโยนความผิดไปที่รัฐฉิน ต่อไปข้าจะดูว่าพี่ชายวางกลยุทธ์เยี่ยงไรแล้ว!” ซ่งชูอีไม่สงสัยในความสามารถของจางอี๋เลยแม้แต่น้อย เรื่องการเป็นไม้กวนอุจจาระนั้น จางอี๋มีประสบการณ์มากกว่านางเสียอีก
สู่อ๋องเพียงแค่แอบสงสัยรัฐฉินอยู่ในใจ แต่เนื่องจากมีความสงสัยเช่นนี้จึงทำให้เขาไม่สามารถตัดสินใจแผนการที่จะต่อสู้กับรัฐปาได้ หนทางเดียวคือทำให้ความสงสัยนี้ไปสู่ด้านสว่าง จากนั้นค่อยแก้ไข ก่อนที่เรื่องราวจะเข้าสู่ด้านสว่าง แน่นอนว่ารัฐฉินจะไม่อยู่ดีๆ แล้ววิ่งไปอธิบายตัวเอง ปาอ๋องจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการยั่วยุเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
จางอี๋ยิ้มเอ่ย “หวยจินปูเรื่องนี้ไว้อย่างดีเยี่ยม ข้าก็เพียงหยิบยกด้านสว่างขึ้นมาง่ายๆ เท่านั้น จะบอกว่าวางกลยุทธ์ได้เยี่ยงไร?”
“จ้งเหิงความสัมพันธ์ทางการทูต พูดง่ายทำยาก เรื่องนี้ต้องให้พี่ชายเป็นคนทำ!” ซ่งชูอียกไหสุราขึ้น กล่าวด้วยความจริงจัง “ขอดื่มให้หนึ่งไห”
จางอี๋ออกมาจากสำนักจ้งเหิง[1]และเดินทางไปยังรัฐต่างๆ การปราศรัยของเขาได้แพร่หลายไปในรัฐต่างๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทว่ากลับถูกกีดกันโดยเหล่าสำนักหลักๆ ในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ สำนักที่เรียกว่าจ้งเหิงเป็นเพียงวิธีของคนต่ำต้อยที่อาศัยปากในการประจบสอพลอและเพื่อไต่เต้าตำแหน่งทางสังคมเท่านั้น
“หวยจินช่างรู้ใจนัก!” จางอี๋เงยหน้าดื่มสุราเต็มไห ก้อนเนื้อในใจก็ได้หายไปหมดแล้ว
เดิมทีจางอี๋ออกความเห็นเรื่องการโจมตีหานบุกโจว บังคับเทียนจื่อแต่งตั้งจูโหว นี่นับว่าเป็นความคิดเห็นใหญ่ชิ้นแรกนับตั้งแต่เขาเข้ารัฐฉิน ทว่ากลับถูกคนอย่างซ่งชูอีหักล้าง ในทางกลับกันตอนนี้เขาเป็นได้เพียงตัวประกอบรองจากผู้อื่นและชุบมือเปิบผลงานเท่านั้น นี่มีผลต่อผู้ที่มีจิตใจเย่อหยิ่งและความทะเยอทะยานอยู่ไม่น้อย เป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่าไม่มีก้อนเนื้อใดในใจเลย
หลายวันนี้จางอี๋ค่อนข้างคิดมาก สำหรับคำปลอบประโลมที่อาจโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของซ่งชูอีนั้น เขาก็เข้าใจเป็นอย่างดีและอดละอายใจมิได้ เขายังเคยถอนหายใจเอ่ยกับอิ๋งซื่อว่า “ว่ากันด้วยความทะเยอทะยาน จางอี๋มีไม่เท่าหวยจิน!”
นางวางแผนอย่างรอบคอบ ประสบความทุกข์ยาก สุดท้ายก็ยกความชอบและผลประโยชน์ทั้งหมดให้แก่เขา อีกทั้งยังรู้ว่าเขาไม่สบายใจ ปลอบประโลมระหว่างการทำภารกิจ หากตนยังเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจไม่นับเป็นความล้มเหลวหรอกหรือ?
ครั้นคิดได้ จางอี๋ก็วางความภาคภูมิใจของตนลงและตั้งใจทำให้ดีที่สุด ทว่าหลังจากเจอเรื่องเช่นนี้ หัวใจของเขาก็ยิ่งประเมินซ่งชูอีสูงขึ้นไปอีกหลายขั้น นอกจากนี้ทั้งสองยังมีแนวคิดเหมือนกันซึ่งทำให้กลายเป็นคนสนิทยิ่งขึ้น
ดื่มสุราจนได้ที่แล้ว จางอี๋เอ่ย “นึกถึงคราวที่พบหน้ากันครั้งแรกในรัฐเว่ย ก็ยังต้องขอบคุณที่หวยจินช่วยข้า คิดๆ ดูแล้วหวยจินก็เป็นผู้มีพระคุณของจางอี๋! ถ้าอย่างไรเรามาดื่มเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันที่นี่ดีหรือไม่?”
“ประเสริฐนัก!” ไม่ใช่ว่าซ่งชูอีกำลังคิดถึงสถานการณ์โดยรวม เพราะส่วนตัวแล้วนางก็มีความคล้ายคลึงกับจางอี๋มากจริงๆ
ทั้งสองคนกระทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ทันทีที่พูดจบก็รินสุราเต็มจอก กรีดเลือดทำสัญญาและสาบานเป็นพี่น้อง
การสาบานประเภทนี้เกือบเทียบเท่าความสัมพันธ์เชือดคอแล้ว สิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์เชือดคอเป็นการชี้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นมากจนสามารถร่วมเป็นร่วมตายได้ หากมีคนหนึ่งตาย อีกคนก็จะเชือดคอตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายตาม คำปฏิญาณแบบความสัมพันธ์เชือดคอคือความมุ่งมั่นที่จะละทิ้งทุกสิ่ง ไม่เหมือนการร่วมสาบานพี่น้องที่ว่า “ไม่ขอเกิดวันเดือนปีเดียวกัน ทว่าขอตายวันเดือนปีเดียวกัน” ความแตกต่างอยู่ที่ “ทว่าขอ” แค่คำว่า “ขอ” ก็อธิบายได้มากแล้ว
ความสัมพันธ์เชือดคอนี้โดยมากเกิดขึ้นระหว่างผู้ผดุงความยุติธรรม อย่างเช่นกุนซือที่ทำงานโดยมีแผนสำรองและอยู่กับความเป็นจริงเช่นจางอี๋และซ่งชูอีนั้น จะไม่สร้างความสัมพันธ์นี้อย่างหุนหันพลันแล่นโดยเด็ดขาด เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมที่รักษาสัญญาหรือกุนซือผู้เอาตัวรอดก็ต่างให้ความสำคัญกับคำสาบานเท่าชีวิต
จะกินข้าวแบบขอไปทีก็ได้ แต่ไม่สามารถสาบานแบบขอไปทีได้
การเป็นพี่น้องร่วมสาบานนั้น ทั้งสองต่างเข้าใจโดยปริยาย ไม่จำนวนต้องเอ่ยคำสาบานออกมา ในอนาคตหากทั้งสองคนถูกเรียกใช้ เกรงว่าองค์จวินแห่งรัฐฉินจะต้องเสียใจเป็นแน่
ด้วยความสัมพันธ์ระดับนี้ การพูดคุยจึงมีความใกล้ชิดมากขึ้น ซ่งชูอีเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าในโลกนี้บางครั้งความรักในครอบครัวไม่มั่นคงเท่าคำปฏิญาณ
หลังจากเมาเล็กน้อย จู่ๆ ซ่งชูอีนึกขึ้นได้ ตนก็นับว่าเข้าใจจิตใจและความรู้สึกของผู้คนดีมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดเพียงอาการบ่นงึมงำของเจ้าอี่โหลวจึงทำให้นางสับสนเล่า?
“พี่ใหญ่ หากมีคนนำดอกท้อสองกิ่งมาให้พี่ พี่ดีใจหรือไม่?” ซ่งชูอีรู้สึกว่าการเป็นคนนอกจะเห็นภาพรวมได้ดีกว่า ดังนั้นจึงขอคำปรึกษาจากจางอี๋
จางอี๋คออ่อนกว่าซ่งชูอีมาก บัดนี้พูดจาวกวนแล้ว ครั้นได้ยินดังนี้ก็อดที่จะหัวเราะเอ่ยมิได้ “เป็นเรื่องที่งดงามนัก! ตอนที่พี่ชายอยู่ในชนบท มักจะเด็ดดอกซิ่ง ดอกท้อ จิ๊…ก็เพราะเหตุนี้ข้าจึงถูกท่านแม่โบยบ่อยๆ คิดๆ ดูแล้วก็แค่ดอกไม้สองกิ่งเท่านั้น ก็มิได้ปีนกำแพงเข้าบ้านเสียหน่อย”
“ใช่แล้วใช่แล้ว” ซ่งชูอีเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าการมอบดอกไม้นั้นเป็นเรื่องที่สง่างามจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ทว่าจากนั้นก็ดึงสติกลับมา “ที่พี่ใหญ่เด็ดเป็นต้นไม้ที่ปลูกเองในบ้านเช่นนั้นหรือ!”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ถูกโบย! การหาอาหารกินในสมัยนี้ไม่ง่ายเลย มีบ้านไหนบ้างที่จะไม่อยากเก็บลูกแตงลูกท้อหรืออินทผลัมเพิ่ม? ประชากรในจงหยวนอยู่กันอย่างแน่นหนา ไม่เหมือนสถานที่ในป่าทึบเทือกนั้นที่มีผลท้อผลหลี่ให้เห็นอยู่ทั่วไป
“อืม” จางอี๋พยักหน้าหงึกหงัก “ท่านแม่ของข้าไม่เหมือนสตรีทั่วไป สายตากว้างไกลนัก! เพียงแต่ไม่เข้าใจความรู้สึกของบัณฑิตและบทกวี! อืม…บุตรไม่กล่าวถึงความผิดของมารดา ควรหยุด…”
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาเมาได้น่าสนใจมาก จงใจพูดบีบบังคับ “วันหน้าซื้อที่ดินสักผืนแล้วปลุกดอกไม้ให้เต็ม พวกเราไม่เก็บเกี่ยวผลท้อผลหลี่ ทว่าเด็ดดอกไม้เล่นทั้งวัน”
จางอี๋ปรบมือหัวเราะเสียงดัง “ยอดเยี่ยม ดีมากดีมาก!”
สิ้นวาจา ก็ฟุบลงบนโต๊ะเสียงดัง
“ยอดเยี่ยม? ตามความเห็นข้า ไปเด็ดดอกไม้ที่ลานบ้านผู้อื่นยังจะสนุกกว่า” ซ่งชูอีพึมพำ ลุกขึ้นลากเขาไปที่เตียง เมื่อวางเขาลงบนเตียงได้ไม่นาน ก็เห็นว่าหน้าผากของเขาปูดนูน อดที่จะแยกเขี้ยวเอ่ยมิได้ “คงมิได้ชนจนสติไม่ครบหรอกนะ”
[1] สำนักจ้งเหิง สำนักการทูตในยุคจั้นกั๋วหรือสงครามรัฐ ช่วง 475-221 ปีก่อนคริสตกาล