กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 210 ใครเป็นพ่อรองของมัน
ในโลกนี้ไม่มีเรื่องสมมติ หากมีเรื่องสมมติจริงนางก็ยินดีที่จะอยู่อย่างสันติ แต่เกรงว่าคงจะไม่มีวันจะอยู่ด้วยกันกับผู้ชายอย่างเจ้าอี่โหลวกระมัง? ซ่งชูอีเข้าใจตัวเองอย่างดีมาโดยตลอด
ระหว่างที่เดินทางไปหลายๆ รัฐ นางสงบและมั่นใจราวกับว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุม ทว่านางก็มีช่วงเวลาที่ไม่มั่นใจเช่นกัน หากทิ้งความรู้ด้านการวางยุทธศาสตร์ทั้งหมด ลำพังเพียงรูปลักษณ์และสถานะนางก็แตกต่างกับเจ้าอี่โหลวราวฟ้ากับเหว อีกอย่างนางก็มิใช่ดอกไม้หอมในแบบที่ผู้ชายชอบ ซ่งชูอีเกิดมาในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสถานะชาติกำเนิดซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะไม่มีความมั่นใจ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นในด้านประชาชนหรือด้านวิชาการ ความคิดของผู้คนนั้นเป็นอิสระยิ่ง และไม่คิดว่า “เพศ” เป็นเรื่องที่น่าอับอาย แม้แต่ลัทธิขงจื้อซึ่งมีความยับยั้งต่อผู้คนมากมายก็ไม่สนับสนุนการทำลายธรรมชาติของผู้คน
ทฤษฎีวิชาการเรื่อง “ธรรมชาติของชีวิต” ที่เก้าจื่อประกาศไว้ เขามองว่าอาหารและการมีเพศสัมพันธ์คือสิ่งที่จำเป็นในการดำรงอยู่ของมนุษย์ ในการถกเถียงกับเมิ่งจื่อ เขาก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ความต้องการในอาหารและเพศเป็นธรรมชาติของมนุษย์” เมิ่งจื่อไม่ได้หักล้างประเด็นนี้ แต่เห็นด้วยกับคำพูดนี้โดยปริยาย
ขงจื้อก็กล่าวไว้ว่า: ชายหญิงผู้ดื่มกิน ความปรารถนาแรงกล้าของมนุษย์ยังคงอยู่
การแสวงหาวัตถุและความปรารถนาทางเพศเป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์
แม้ว่าลัทธิเต๋าจะสนับสนุนหัวใจอันบริสุทธิ์ด้วยกิเลสอันน้อยนิด ทว่าก็บอกว่าให้ปล่อยไปตามธรรมชาติของมัน ไม่ไปทำลายธรรมชาติ ดังนั้นซ่งชูอีจึงไม่เคยปิดบังความกำหนัดของตัวเองเลย
การรู้แจ้งเรื่องเพศของเหล่าบัณฑิตไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถนอนกับใครก็ได้ตามใจ ซ่งชูอีเป็นคนที่ได้สัมผัสกับความคิดแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก จึงรู้แจ้งในด้านนี้และไม่รู้สึกสับสนโดยธรรมชาติ ซ่งชูอีก็แยกแยะได้อยู่เสมอว่าควรสัมผัสได้ถึงขั้นไหนกับบุคคลที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นนางชื่นชมที่จะเห็นรูปร่างกำยำของจี๋อวี่ และก็เคย “ชกหน้าอก” ของเขา ทว่า พฤติกรรมของนางก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมีโอกาสมากมายกองอยู่ตรงหน้า
อย่างไรก็ตาม การมีเพศสัมพันธ์บ้างก็คือการแสดงออกซึ่งอารมณ์ และจะรู้สึกสบายใจไม่ได้ถ้าไม่กินมันเข้าปาก
ซ่งชูอีไม่ใคร่เข้าใจว่าตนมีความรู้สึกอย่างไรต่อเจ้าอี่โหลว ดังนั้นนางจึงหักมุมและคิดวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า ในเมื่อนางได้พบกับเขาในชาตินี้ หากไม่จับให้อยู่หมัดก็จะเป็นการทำผิดต่อความประสงค์ดีของสวรรค์อย่างแท้จริง
ท่ามกลางความสะลึมสะลือ ทันใดนั้นซ่งชูอีก็ตกใจกับความคิดของตัวเอง ลุกพรวดขึ้นนั่ง ทำเอาไป๋เริ่นที่เพิ่งวิ่งเข้ากระโจมมาสะดุ้งโหยง
“เข้ามา” ซ่งชูอีกวักมือเรียกไป๋เริ่น
ไป๋เริ่นวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ถูไถกับมือของซ่งชูอีอย่างว่าง่าย แสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่นางทำให้หัวใจน้อยๆ ของมันตกใจจริงๆ
“ดูหน้าโง่ๆ ของเจ้าสิ ขอเพียงมีอาหารกิน หัวก็จะเริ่มเป็นประกายแล้ว” ซ่งชูอีเข้าใจความคิดของมันได้ในพริบตา พฤติกรรมออดอ้อนเช่นนี้ก็เพียงเพื่อต้องการให้นางใช้เนื้อมาปลอบประโลมมันเท่านั้น “ได้ ข้าจะให้เจ้าได้สมหวังสักครา ไว้ข้าจะไปบอกพ่อรองของเจ้าให้เขาทำของอร่อยๆ ให้เจ้ากิน”
“ใครเป็นพ่อรองของมัน?” ทันใดนั้นเสียงของเจ้าอี่โหลวก็ดังมาจากด้านนอก
“เจ้าได้ยินแล้วนะ ข้าจะได้ไม่ต้องพูดอีกรอบ ทำของอร่อยๆ ให้มันกินด้วย” ซ่งชูอีเอ่ย
ความหมายนี้ก็คือ…พ่อรองในตำนานก็คือ…เขาเจ้าอี่โหลว?
เจ้าอี่โหลวรู้สึกซับซ้อนมากกับการรับรู้นี้ เขาเป็นชายผู้ไม่เคยแต่งงานจู่ๆ ก็กลายเป็นพ่อของสัตว์ป่าหัวปุกปุยไปเสียแล้ว แต่ที่ไม่พึงประสงค์ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขาอยู่ในอันดับที่สอง เอ่ยว่า “พ่อของมันเล่า?”
“ก็คือข้าน้อยไร้ความสามารถผู้นี้” ซ่งชูอีเอ่ย
เจ้าอี่โหลวเดินเข้ามาในห้องด้านใน มองไปยังเตียงที่ไร้ระเบียบ รู้สึกว่ามันช่างเหมือนกับอารมณ์ของเขาในตอนนี้เสียเหลือเกิน มันไม่ใช่ความยุ่งเหยิงที่อยู่นอกเหนือจินตนาการ แต่มีเพียงความยุ่งเหยิงที่ไม่อยากนึกถึง
ซ่งชูอีนึกถึงความคิดที่มีต่อเจ้าอี่โหลวเมื่อครู่ ก็อดที่จะมองเขาอีกเล็กน้อยไม่ได้ นึกถึงตอนที่ลวนลามเขาไม่กี่ครั้งก่อนหน้านี้ เขาก็แบ่งรับแบ่งสู้มาตลอดมิใช่หรือ? นี่แสดงว่าก็มิได้ขัดขืนเท่าใด?
“อี่โหลว” ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน พลางสวมเสื้อพลางกระแอมไอ “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเพียงอยากถามสักครั้ง”
เจ้าอี่โหลวกำลังแหย่ไป๋เริ่น ครั้นได้ยินน้ำเสียงจริงจังของซ่งชูอีก็เงยหน้าขึ้นมา “อืม”
“เจ้ารังเกียจที่ข้าทำเรื่องพรรค์นั้นกับเจ้าหรือไม่?” ซ่งชูอีคาดสายรัดเอว มองตรงไปที่เขา
ทันใดนั้นเจ้าอี่โหลวก็หน้าแดงก่ำ เขาได้ยินเรื่องนี้มาบ้างไม่มากก็น้อยขณะที่อยู่ในวังตอนเป็นเด็ก ทว่าเนื่องจากอายุน้อยเกินไป ข้างกายจึงไม่มีบ่าวสาวใช้ที่คอยสอนเขา จากนั้นก็ใช้ชีวิตตามลำพังมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้จึงหูป่าตาเถื่อนในด้านนี้ และเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนต้องหน้าแดง เพียงแต่เมื่อนึกถึงตอนที่ได้สัมผัสกับซ่งชูอีก็มีปฏิกิริยาตอบสนองโดยธรรมชาติ
ซ่งชูอีเห็นว่าเขามีท่าทีหลบเลี่ยง พลันคิดในใจว่าตนร้อนใจไปหรือเปล่า? ลังเลครู่หนึ่งแต่ก็ยังกล่าวว่า “พูดมาตรงๆ ไม่เป็นไร”
ท่ามกลางสายตาของซ่งชูอีที่จ้องมองเขาตลอดเวลา เจ้าอี่โหลวรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก จริงๆ แล้วเขาไม่ได้รังเกียจ ทว่าก็ไม่อยากถูกบังคับเช่นนั้นทุกครั้ง เพราะมันน่าอับอายมากจริงๆ
“ช่างเถิด ไม่บังคับเจ้า” ซ่งชูอีจัดกระชับเสื้อผ้า หมุนตัวจากไป
แม้ว่าซ่งชูอีจะคงสีหน้าเช่นเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าเจ้าอี่โหลวรู้สึกได้ถึงความผิดหวังในตอนท้ายที่นางหมุนตัวจากไป จึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ในความเป็นจริงแล้วก็มีเพียงพวกเขาสองคนในแต่ละครั้ง แม้จะโดนบังคับบ้างก็จะเป็นอะไรไปเล่า?
ครุ่นคิดแล้วเจ้าอี่โหลวก็ลุกขึ้นตามออกไป “หวยจิน”
ซ่งชูอีหยุดเดินและหันกลับมา แสงแดดที่เล็ดลอดออกมาจากกิ่งไม้ส่องแสงกระจัดกระจายอยู่บนตัวของนาง ร่างเพรียวบางถูกห่อหุ้มด้วยชุดเกราะอ่อนสีดำ ผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยถูกสายลมพัด คิ้วตาดูสามัญธรรมดา แววตาสงบนิ่งราวกับว่าไม่มีวันจะต่อสู้กับโลกใบนี้ ทว่าก็ดูมั่นใจและแน่วแน่
ในสายตาของเจ้าอี่โหลว นางมีพลังน่าดึงดูดจากภายในสู่ภายนอก
“ข้าไม่ได้รังเกียจ” เจ้าอี่โหลวกล่าว
ทันใดนั้นสายลมก็พัดแรงจนทำเอายอดไม้หนาทึบเหนือศีรษะของซ่งชูอีปลิวว่อน แสงอาทิตย์แพรวพราวส่องปกคลุมนาง เจ้าอี่โหลวเห็นรอยยิ้มของนางเลือนรางฉับพลัน และรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาด
“รู้แล้ว ข้าจะพยายามให้มากขึ้น” ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย
ซ่งชูอีมักจะมีกิริยาเช่นนี้บ่อยๆ ไม่ได้หมายความว่านางอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง แต่มันไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่านางอารมณ์ดีในขณะนี้
ความรักในวัยเด็กจะไม่มีวันกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของซ่งชูอี บัดนี้มีการต่อสู้ที่ยากลำบากอยู่เบื้องหน้า ไม่ควรที่จะประมาทง่ายๆ นางจึงไม่กะใจที่จะไปคิดเรื่องในอนาคตเท่าใดนัก
เหมือนกับคำพูดของนางที่ว่า วันหน้าค่อยไตร่ตรองกันอีกที
หากการสู้รบจะกินเวลาถึงปีครึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก นับประสาอะไรกับการโค่นสามรัฐเล่า? อย่างไรก็ตามแม้ว่าตอนนี้รัฐฉินจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ก็ไม่สามารถที่จะยืนหยัดต่อไปได้ รัฐที่แข็งแกร่งในที่จงหยวนมีกำลังพลมากที่สุดก็ไม่เกินสี่แสนนาย กองทัพสองแสนนายเป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ซึ่งส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ทหารชั้นยอด ในเวลานี้จึงไม่มีปัญหาใหญ่กระไร เพียงแต่ว่ามันจะกินเวลานานเท่าใดเล่า?
การโค่นปาสู่จะต้องรวดเร็ว แม่นยำและไร้ความปรานี!
ในค่ายผู้บัญชาการ ซือหม่าชั่วเรียกทหารทุกนายมาหารือเกี่ยวกับแผนการขั้นต่อไป เขาก็มองออกว่าถูอู้ลี่รู้ว่ารัฐฉินไม่สามารถสู้กับกองกำลังรัฐสู่ได้เป็นเวลานาน เป็นไปได้ว่าเขาจึงตัดสินใจที่จะยื้อเวลาออกไป!
ซือหม่าชั่วเอื้อมมือวาดไปที่จุดหนึ่งบนแผนที่ หมุนตัวมาพูดว่า “ตำแหน่งที่ถูอู้ลี่ยึดครองทำให้กองทัพของเราขยับตัวไม่ได้ หากมีการโจมตีโดยตรง กองทัพของเราจะต้องบาดเจ็บหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
แม้ว่าจะประสบกับการถูกควบคุม ทว่าหากกองทัพสองแสนนายไปตีกองทัพถูอู้ลี่ที่มีไม่ถึงแสนนายก็มีโอกาสที่จะชนะ แต่ในฐานะแม่ทัพ ซือหม่าชั่วจำต้องพิจารณาการบาดเจ็บล้มตายด้วย
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ตำแหน่งที่ค่ายกองทัพสู่อยู่นั้นเรียกว่าเขาหวงกุย ด้านหลังมีถนนหลายสายที่สลับซับซ้อน ข้าได้ส่งสายสืบไปตรวจสอบแล้ว หวังว่าจะเจอเส้นทางเสบียงของฝ่ายตรงข้าม”
ที่จริงเขาหวงกุยไม่นับว่าเป็นภูเขาแต่เป็นหลุมฝังศพ เมื่อเทียบกับภูเขาสูงตระหง่านในที่อื่นๆ ในปาสู่ถือได้ว่าเป็นเพียงเนินดินขนาดใหญ่ แต่ในแอ่งราบเรียบแห่งนี้ สถานที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่สูงที่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการสังเกตการณ์และควบคุมอย่างแท้จริง
“วิธีนี้ไม่ได้ผลมาก” สถานการณ์โดยรวมต้องมาก่อน ซ่งชูอีจำต้องบอกออกไปตามตรง “รัฐสู่อุดมไปด้วยผลิตภัณฑ์ ไม่เคยขาดแคลนเสบียงเลย มีสามนครในบริเวณนี้ที่สามารถกลายเป็นยุ้งฉางของกองทัพถูอู้ลี่ได้ แม้จะทำลายไปที่หนึ่งก็ยังไม่สามารถตัดทางหนีทีไล่ของพวกเขา”
ทันทีที่นางกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเศร้าสร้อย ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ได้ศึกษา “ทิวทัศน์ปาสู่” ของซ่งชูอีอย่างละเอียดแล้ว รัฐสู่เองก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจสถานการณ์นี้เลยและด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเข้าใจว่านางพูดถูก
“ข้ามีแผนการหนึ่ง ทว่าเสี่ยงเป็นอย่างมาก ต้องการจะหารือกับท่านแม่ทัพทุกท่านว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่” ซ่งชูอีมองไปรอบๆ ครั้นเห็นแววตาสนใจของทุกคนก็พูดต่อ “สงครามระหว่างปาสู่ดำเนินมาหลายปีติดต่อกัน ข้าเคยสืบเจอว่ากองกำลังของทั้งสองรัฐไม่เกินสองแสนนาย กองทัพที่สู่อ๋องนำมายังด่านเจียเหมิงเมื่อวันก่อนถูกรัฐจูและกองทัพเรากวาดล้างไปประมาณหนึ่งแสนนาย ทางถูอู้ลี่ก็มีเจ็ดถึงแปดหมื่นนาย แสดงให้เห็นว่าบัดนี้การป้องกันทางด้านหลังของพวกเขาว่างเปล่า”
หากคำนวณตามนี้ กองกำลังของรัฐสู่ที่รักษาการณ์นครหลวงในเวลานี้อย่างมากก็มีไม่เกินสามหมื่นนาย
ซ่งชูอีกล่าว “รัฐสู่มีถนนหนทางซับซ้อน มีผลประโยชน์ต่อกองทัพสู่เป็นอย่างมาก ถ้าพวกเราใช้ตัวประกันของสู่อ๋องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของกองทัพถูอู้ลี่ แอบส่งทหารชั้นยอดไปโจมตีหวังเฉิงของรัฐสู่ จับกุมองค์ชาย กองทัพสู่จะต้องเสียขวัญกำลังใจเป็นแน่! ถูอู้ลี่ไม่สามารถรักษาการณ์ได้อีกต่อไป ทันทีที่เขามีความเคลื่อนไหว กองทัพของเราก็จะฉวยโอกาสโจมตี”
หวังเฉิงถูกยึด องค์จวินและองค์ชายถูกจับทั้งหมด มันก็เท่ากับว่ารัฐสู่ล่มสลายในนามไปแล้ว เพื่อกอบกู้บ้านและเพื่อรักษาเสถียรภาพของทหาร ในฐานะที่ถูอู้ลี่เป็นแม่ทัพจำต้องเลือกว่าจะถอนทหารออกจากแนวหน้าเพื่อกลับไปช่วยองค์ชายและนครหลวงกลับคืนมา? หรือว่าต่อสู้กับกองทัพฉินเพื่อแย่งสู่อ๋องกลับคืนมา? ไม่ว่าจะตัดสินใจเช่นใด เขาไม่สามารถรักษาการณ์อยู่ที่นี่ตลอดไปได้
ซือหม่าชั่วก้มหน้าครุ่นคิด
ผ่านไปเนิ่นนานก็ร้องอุทานว่า “นับว่าเป็นแผนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
“ด้วยวิธีนี้ การเบี่ยงเบนความสนใจของกองทัพสู่มีความสำคัญมาก ไม่ทราบว่าท่านที่ปรึกษามีแผนเช่นใด?” จางเหลียวเอ่ยถาม
ซ่งชูอีหันมองจางอี๋ เขาหยุดการดึงแขนเสื้อออกจากจินเกอชั่วคราว กระแอมไอแล้วเอ่ยว่า “หารือกับถูอู้ลี่เถิด ตราบใดที่เขายอมจำนนและประกาศตัวเป็นข้าราชบริพารต่อฉิน ปลดกองทัพของรัฐสู่ ตกลงให้กองทัพฉินไปประจำการที่รัฐสู่ ตกลงที่จะส่งองค์รัชทายาทเป็ยเชลยศึกให้แก่รัฐฉิน เราก็จะคืนสู่อ๋องและไม่โค่นรัฐสู่”
ครั้นทุกคนได้ยินเงื่อนไขที่โหดร้ายเช่นนี้ พลันเข้าใจว่าการที่จะทำให้กองทัพสู่เชื่อในความจริงใจในการเจรจาต่อรองนั้นใช่ว่าทุกคนจะทำได้ มีคนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “เรื่องนี้ใครไปจึงจะเหมาะสม?”
หลังจากสิ้นวาจานี้ สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่จางอี๋
เมื่อครู่จางอี๋รู้สึกรำคาญจินเกอ ในเวลานี้จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่ามันเข้าทางซ่งชูอี นางจะไม่รู้เรื่องเช่นนี้จริงหรือ? ต้องให้เขาเอ่ยปากด้วยหรือ?
“เรื่องนี้…ให้หวยจินทำน่าจะเหมาะสมกว่า นางซ่อนตัวอยู่ในสู่นานกว่าครึ่งปี เข้าใจขุนนางรัฐสู่มากกว่า จับประเด็นสำคัญได้ง่ายกว่า” จางอี๋กล่าวจริงจัง
ซย่าเฉวียนมีความประทับใจต่อซ่งชูอียิ่ง อดที่จะกล่าวแทนนางมิได้ “เรื่องนี้อันตรายมาก หากซ่งจื่อทำพลาด มันจะคุ้มกับสิ่งที่เสียไปหรือ? ส่งหัวหน้ากองซือหม่าไปส่งสารไม่ได้หรือ?”
ซือหม่าชั่วเอ่ย “ที่ท่านแม่ทัพซย่าเฉวียนกล่าวก็มีเหตุผล แต่จุดประสงค์ของกองทัพของเราคือการเบี่ยงเบนความสนใจของถูอู้ลี่ สืบสถานการณ์จำเพาะของกองทัพสู่ไปในตัว เกรงว่าคนทั่วไปจะไม่สามารถกระทำการนี้ได้”
ท่านแม่ทัพทุกคนเงียบงัน
“เช่นนั้นก็รบกวนซ่งจื่อแล้ว” ซ่งหม่าชั่วหันไปกล่าวกับซ่งชูอี
ตัวเลือกที่ดีที่สุดมีเพียงจางอี๋และซ่งชูอีเท่านั้น ซือหม่าชั่วเชื่อว่าทั้งสองคนล้วนมีความสามารถ ใครไปก็เหมือนกัน เขาก็ไม่ใช่คนที่อืดอาดยืดยาด จึงฟันธงตัดสินใจให้ซ่งชูอีเป็นราชทูตในการเจรจา
เรื่องราวก็ถูกตัดสินเช่นนี้ “อย่างมีความสุข” จากนั้นก็เริ่มหารือกันเรื่องจำนวนคนที่จะส่งไปโจมตีทางด้านหลัง
เนื่องจากนครส่วนใหญ่ในรัฐสู่ไม่มีกำแพง ดังนั้นการโจมตีจึงเป็นไปได้ง่ายมาก นอกจากนี้ยังเอื้อต่อทหารม้ามากเช่นกัน