กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 216 ตาบอดก็เป็นเรื่องดี
ซ่งชูอีได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามระหว่างทางไปหวังเฉิงแล้ว ทว่านางกลับไม่เป็นกังวล ถูอู้ลี่ฉลาด ซือหม่าชั่วก็ไม่ด้อยยิ่งกว่า ยิ่งไปกว่านั้นทหารฉินมีมากกว่าทหารสู่หลายเท่า หากยังล้มเหลวแม้แต่กับเรื่องเหล่านี้ จะมีหน้าบอกว่าแข่งขันกับใต้หล้าได้เยี่ยงไร?
ท่านขอรับ มีข่าวมาจากรัฐปา จี้ฮ่วนเอ่ย
เข้ามา ช่วงหลังนี้ซ่งชูอีรู้สึกเวียนศีรษะแม้ไม่ได้ขยับตัว การมองเห็นก็ยิ่งพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวานยังสามารถแยกแยะสิ่งต่างๆ ด้วยสีได้ ตอนนี้ทุกอย่างกลับพร่ามัวเป็นกระจุก แสงสว่างก็มืดมนลงทุกที
รถม้าหยุดลง จี้ฮ่วนถือม้วนไผ่เข้ารถมา
อ่านเถิด ซ่งชูอีเอนหลัง ปรับท่าให้สบาย
จี้ฮ่วนคลี่แผ่นไผ่ออก สงครามระหว่างปาฉู่ รองแม่ทัพหลงกู่ปู้วั่งนำทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายสังหารทหารปามากกว่าสามหมื่นนาย ทหารที่เหลือของรัฐปาที่มีไม่เกินเก้าหมื่นนายกำลังต่อต้านกองทัพหนึ่งแสนสี่หมื่นนายของกองทัพฉู่อย่างเอาเป็นเอาตาย…
นิ้วของซ่งชูอีที่เคาะอยู่บนโต๊ะหยุดชะงัก รอยยิ้มแปลกประหลาดผุดขึ้นบนใบหน้า เจ้าเด็กปู้วั่งต้องการทำลายแผนการของข้า
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรือ? จี้ฮ่วนมองนาง ในใจคิดว่ารอยยิ้มนี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ อาจเป็นเพราะช่วงนี้ได้รับแรงกระตุ้นมากเกินไปจนทำให้เกิดความผิดปกติทางจิต?
ท่าน… จี้ฮ่วนเอ่ยอย่างเป็นห่วง
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็พูดขึ้น ฮ่วน พาข้าออกไปดูข้างนอก
อ่อ จี้ฮ่วนวางแผ่นไผ่ลง หาแถบผ้าสีดำปิดตาให้นาง ให้คนขับรถม้าหยุดและอุ้มนางออกไป
เมื่อซ่งชูอีเหยียบพื้นดินก็ได้กลิ่นของต้นไม้ใบหญ้ารุนแรง มันปะปนอยู่ในอากาศที่แผดเผาทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด ซ่งชูอียกมือขึ้นดึงแถบผ้าสีดำออก ลืมตาขึ้นช้าๆ
ไม่ได้! จี้ฮ่วนรีบยกมือขึ้นปิดตาของนาง ท่าน ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง แสงแดดแรงมาก ดวงตาของท่านรับความกระตุ้นนี้ไม่ได้หรอก
บางทีอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมหรือบางทีอาจเป็นเพราะความภาคภูมิใจของลูกผู้ชาย ในอดีตแม้ว่าจี้ฮ่วนจะรู้ว่าซ่งชูอีมีความสามารถและสติปัญญา แต่เขาก็ยังมีความรังเกียจนางอยู่ในใจส่วนลึก อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นนางเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้อย่างสงบและไม่แยแสครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ทำให้ท้ายที่สุดเขาปล่อยวางแม้แต่ความภาคภูมิใจก้อนนั้นที่แบกเอาไว้ เขาในฐานะลูกผู้ชายสงสัยว่าตัวเองสามารถทำได้เหมือนซ่งชูอีหรือเปล่า
ฮ่วน เอามือออกไปเถิด ซ่งชูอีกล่าวเรียบๆ ข้ารู้ว่าอีกไม่กี่วันดวงตาคู่นี้ก็จะมองอะไรไม่เห็นแล้ว ให้ข้าได้เห็นแสงสว่างเป็นครั้งสุดท้ายเถิด
จี้ฮ่วนลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะคลายมือออกช้าๆ ท่านไม่ต้องรีบลืมตา ปรับตัวสักครู่หนึ่งก่อน
ซ่งชูอีพยักหน้า
ยาม
ยามค่ำคืนดวงตาของนางมืดสนิทแล้ว หากต้องการเห็นแสงสว่างก็ทำได้เฉพาะช่วงเที่ยงเท่านั้น นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นเป็นช่องว่างเล็กๆ และแสงสีขาวก็พรั่งพรูเข้ามา ดวงตาเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงและน้ำตาก็ไหลออกมา
นางปรับตัวอยู่ครู่หนึ่งจึงสามารถลืมตาได้ตามปกติ
ด้วยแสงแดดเช่นตอนนี้ แม้ว่าดวงตาที่มีสุขภาพดีก็แทบจะไม่ไหว นับประสาอะไรกับดวงตาของซ่งชูอีที่มิได้เห็นแสงสว่างมาหลายวันเล่า
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตารอบกายมีเพียงสีเขียวอมน้ำมัน แทบไม่สามารถแยกแยะเงาคนได้
จี้ฮ่วนเห็นน้ำตาของนางไหลไม่หยุดก็นึกว่านางกำลังเสียใจ ปลอบประโลมว่า ท่าน ข้าได้ยินว่าหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยอาศัยอยู่ระหว่างฉินและเว่ย ไว้กลับเสียนหยางแล้ว ท่านจะได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งอย่างแน่นอน!
ข้ายังไม่เคยได้ยิน เจ้าไปได้ยินมาจากไหน? ซ่งชูอีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ดวงตาของนางเพียงไม่สามารถทนต่อการระคายเคืองได้ มิได้เสียใจแต่ว่านางก็ไม่ได้อธิบาย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่าจะอธิบายเยี่ยงไร เกรงว่าคนอื่นคงจะคิดว่านางปากแข็งก็เท่านั้น
เรื่องที่แก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ก็อย่าไปเสียแรงแก้ต่างเลย!
สีหน้าดำคล้ำของจี้ฮ่วนแดงระเรื่อ เอ่ยปากแข็ง ข้าได้ยินมาจริงๆ!
ซ่งชูอีหัวเราะ เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าใสสะอาด ทอดถอนใจ ช่างเถิด
หัวหน้าหมอเข้ามาได้ยินประโยคนี้ของนางเข้าพอดี จึงปลอบโยน ท่านอย่าได้เสียใจไป ฝ่าบาทจะต้องตามหาหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยเจออย่างแน่นอน
มันน่ารำคาญมากที่ต้องถูกปลอบประโลมโดยไม่มีอะไรใหม่ๆ ทั้งวันเช้าจรดเย็น ซ่งชูอีเอียงศีรษะและเพลิดเพลินไปกับสายลมและตอบรับว่าอืมแผ่วเบา
หัวหน้าหมอเห็นดังนี้ก็ไม่พูดมากอีก วางกล่องยาลง วินิจฉัยอาการให้ซ่งชูอี
หลังจากนั่งข้างนอกได้สักพัก เมื่อซ่งชูอีกลับมาที่รถม้าพบว่าเบื้องหน้ามืดมนฉับพลัน เมื่อต้องเผชิญกับความมืดมิดอย่างกะทันหันเช่นนี้ จิตใจของนางสงบยิ่ง ในทางกลับกันเมื่อจี้ฮ่วนพบว่านางมองไม่เห็นโดยสมบูรณ์แล้วก็ตกอกตกใจยกใหญ่จนทำให้ผู้คนที่อยู่นอกรถพลอยตกใจไปด้วย
ซ่งชูอีแคะๆ หู เจ้าตะโกนอะไร? คนอื่นไม่รู้จะคิดว่าข้าทำอะไรเจ้า
ท่าน! จี้ฮ่วนได้ยินนางล้อเล่นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ทรมานในใจ
ซ่งชูอีฟังอารมณ์ในน้ำเสียงของเขาออก เก็บท่าทีสบายๆ แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ นับจากนี้ไป ข้าก็จะมองไม่เห็นผู้พลัดถิ่น ไม่เห็นซากศพที่อวัยวะฉีกขาด ไม่เห็นผู้หิวโหยทั่วทุกแห่ง ไม่เห็นภูเขาและแม่น้ำที่แตกสลาย…สำหรับจอมวางแผนคนหนึ่งแล้วอาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ แม้ว่าไม่น่ายินดีแต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้ข้าลำบากใจ
มีคำหนึ่งที่บอกว่า มองเห็นอยู่ในตา พรั่นพรึงอยู่ในใจ จะต้องบอกว่าภายใต้สถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ การได้ยินจากที่ไกลๆ ไม่น่ากลัวเท่ากับการได้เห็น หากไม่เห็นความทุกข์ที่เกิดจากสงคราม หัวใจของนางก็จะเยือกเย็นและสงบลง
ท่านขอรับ! ท่านขอรับ!
ข้างนอกมีทหารนายหนึ่งวิ่งมายังรถม้าของซ่งชูอีมีด้วยความเร่งรีบ
จี้ฮ่วนขมวดคิ้ว เลิกผ้าม่านขึ้นมองผู้นั้นด้วยความเกรี้ยวโกรธ มีเรื่องใด?
หากในเวลาปกติ ความเกรี้ยวกราดของจี้ฮ่วนในตอนนี้คงทำให้คนอื่นเข่าอ่อนไปแล้ว ทว่าเรื่องที่เขาเจอเมื่อครู่น่ากลัวยิ่งกว่านี้เสียอีก เรียนท่าน! มีการต่อสู้กับในสิบสี่ลี้ข้างหน้า จากการสังเกตการณ์อย่างรวดเร็วของข้า น่าจะมีทหารสู่ประมาณหนึ่งหมื่นนายที่ล้อมสังหารทหารฉินห้าพันนาย! ผู้นำทัพก็คือตูเว่ยม่อ
ภายในรถ มือของซ่งชูอีที่ลูบไป๋เริ่นกำแน่น เมื่อคืนนางได้ข่าวว่าตูเว่ยม่อ (เจ้าอี่โหลว) นำทหารม้าห้าพันนายไล่ล่าองค์รัชทายาทสู่ ในเวลานั้นก็รู้สึกว่าเส้นทางการหลบหนีขององค์รัชทายาทสู่แปลกไปดังนั้นจึงได้แจ้งให้ซือหม่าชั่วทราบแล้ว
ส่งสายลับไปรายงานท่านแม่ทัพซือหม่า แล้วส่งสายลับอีกคนไปสืบสถานการณ์สงคราม รวมถึงภูมิประเทศโดยรอบ พวกเราจะเข้าใกล้จากถนนสายเล็กของแควน้ำก่อน ซ่งชูอีสั่งเป็นชุด
ทหารนายนั้นได้ยินคำสั่งที่เป็นขั้นเป็นตอนของซ่งชูอี มากไปกว่านั้นคือนางก็ยังมีแผนที่ของรัฐปาสู่อยู่ในสมอง ความร้อนใจและหวาดกลัวของเขาจึงค่อยๆ สงบลง ตอบรับด้วยน้ำเสียงมีพลัง ขอรับ!
ผู้คุ้มกันของซ่งชูอีมีสามพันนาย แม้ไม่มีกลยุทธ์ใดๆ การรีบเข้าร่วมการต่อสู้ยังสามารถช่วยเจ้าอี่โหลวได้
ซ่งชูอีละทิ้งรถม้าเพื่อรีบออกเดินทางและเพื่อซ่อนร่องรอย จากนั้นก็เดินเท้าด้วยกันกับทหารราบ อย่างไรก็ดีการรักษาสมดุลย์ของคนตาบอดในช่วงแรกนั้นแย่มาก เดินสะดุดไปตลอดทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จี้ฮ่วนต้องการจะแบกนางอยู่หลายครั้งแต่กลับถูกนางปฏิเสธ ไม่ใช่ว่านางทำเป็นกล้าหาญไม่เลือกเวลา ทว่าอดีตแม่ทัพระดับผู้บัญชาการสามพันนายนี้ตายอยู่ในสนามรบแห่งหุบเขาหวงกุย การเข้ารับตำแหน่งนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจในทุกๆ ด้าน ด้วยเหตุนี้นางยังต้องการให้จี้ฮ่วนทำอะไรอีกหลายอย่างและนางก็ไม่เชื่อใจผู้อื่น จึงทำได้เพียงเดินด้วยตัวเองก่อนชั่วคราวแล้วค่อยว่ากัน
ไม่รู้ว่าเดินอยู่นานแค่ไหนก็ได้ยินเสียงน้ำแผ่วเบา บัดนี้ซ่งชูอีตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว ร่างกายอ่อนเพลียอย่างรุนแรง ขณะที่กำลังจะเรียกคนร่างกายแข็งแรงมาแบกนางนั้น จู่ๆ ร่างกายกลับเบาโหวงราวกับว่ากำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ
ในขณะนี้ซ่งชูอีมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ แล้ว แม้สงบนิ่งอยู่เสมอแต่ก็ยังตกใจไม่น้อย มือก็คว้าสิ่งที่อยู่ใต้นางไปตามสัญชาตญาณ
สัมผัสบนมือที่นุ่มนิ่มนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน…
มันคือไป๋เริ่นนั่นเอง