กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 43 พฤติกรรมเมามายของเหล่าบัณฑิต
บทที่ 43 พฤติกรรมเมามายของเหล่าบัณฑิต
Ink Stone_Romance
ซิง เป็นการตั้งตามอาชีพของนักดาราศาสตร์
ซ่งชูอีออดไม่ได้ที่จะมองสำรวจเขาสองสามรอบ คำนับกลับ “ข้าน้อยซ่งหวยจิน”
“สามารถร่วมดื่มได้หรือไม่” แววตาของซิงโส่วมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับซ่งชูอีอย่างซ่อนไว้ไม่อยู่
ซ่งชูอีค่อนข้างตรงไปตรงมา “ข้ากำลังดื่มสังสรรค์กับสหาย ข้าเห็นว่าท่านมีบุคลิกไม่สามัญ พวกเขาคงไม่ว่ากระไร ถ้าหากท่านไม่รังเกียจ จะไปชั้นบนด้วยกันหรือไม่?”
“ได้!” ซิงโส่วตอบด้วยความดีอกดีใจ
บุคลิกที่สง่างามเช่นซิงโส่วเป็นภาพที่หาได้ยากยิ่ง แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูออกจะน่าเวทนาเล็กน้อย ทว่าการคบหาระหว่างบัณฑิต บางคราไม่ถามไถ่แม้กระทั่งชื่อ ยิ่งไม่สนใจเรื่องสถานะ ซ่งชูอีชื่นชมเขาจึงยินยอมคบหาด้วยเป็นธรรมดา
ทั้งคู่หลีกทางให้กันและกันไปชั้นบน ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงยังคงดื่มด่ำไปกับรสชาติที่ยังหลงเหลือจากคำปราศรัยของซ่งชูอีเมื่อครู่
การปาฎกถาไม่จำเป็นต้องเป็นการพูดปราศรัยใหญ่โต ทว่าต้องมีความคมคาย เป็นไปได้ว่าในสิบกว่าประโยคนั้น มีเพียงหนึ่งหรือสองประโยคที่จับใจ ที่เหลือล้วนเป็นคำตกแต่งให้ดูสวยงาม ขอเพียงประโยค “จับใจ” นี้มีพลังมากพอ ก็สามารถโด่งดังด้วยประการฉะนี้
ซ่งชูอีพาซิงโส่วเข้าไปในโอกงาม
จีเหมียนพุ่งเข้ามาคนแรก “หวยจิน เมื่อครู่เจ้าสง่างามมากจริงๆ!”
ในฐานะบัณฑิตผู้โดดเด่น จำต้องมีจุดยืนและความคิดของตัวเอง ดังเช่นซางยางผู้ชำนาญด้าน “กฎหมาย” และยืนหยัดที่จะใช้กฎหมายปกครองบ้านเมืองเสมอมา ส่วนซีหงและจี้เยี่ยนนั้น แม้นพวกเขาจะมาจากสำนักชื่อดังก็มีจุดยืน ทว่าจุดยืนของพวกเขาเป็นจุดยืนของลัทธิขงจื้อ แต่ไม่มีปาฏกภาที่ตัวเองได้คิดค้นขึ้นมาใหม่และเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงจึงไม่เคยปรากฏเด่นชัด
ซ่งชูอียิ้มกว้าง เอ่ยขึ้น “ข้าขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จัก ท่านนี้คือท่านซิงโส่ว”
ซ่งชูอีเบี่ยงตัวหลบ เชิญให้ซิงโส่วเข้ามา
พวกเขาอยู่ชั้นบนเมื่อครู่ก็เห็นซิงโส่วแล้ว แต่เมื่อได้มองใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกว่าโดดเด่น ซีหงร้องอุทาน “หล่อเหลานัก! บุคลิกงดงาม!”
“ท่านชมเกินไปแล้ว” ซิงโส่วเอ่ยคำนับ
“ข้าน้อยซีหง”
“ข้าน้อยจี้เยี่ยน”
“ข้าน้อยฮุ่ยซูอวิ๋น”
……
หลังจากทุกคนแนะนำตัวเสร็จสิ้น ก็จัดแจงให้ซิงโส่วนั่งลงข้างซ่งชูอี จีเหมียนนั่งลงอีกด้านหนึ่ง
“มา ดื่มเหล้าพร้อมกัน!” ซีหงยกจอกเหล้าขึ้น เอ่ยยิ้ม “ได้พบผู้วิเศษ ยินดีนัก!”
นักดาราศาสตร์ก็เหมือนกับพวกหมอผี จอมขมังเวทย์ และนักทำนายดวงชะตา จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ชั้นสูง อีกทั้งไม่มีโอกาสที่แน่นอนจึงยากที่จะมีชื่อเสียงและจะไม่ถูกเรียกใช้งานในแต่ละรัฐ ชีวิตน่าเวทนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บัณฑิตทั่วไปอาจมีบ้างที่ล้มลุกคลุกคลาน ทว่าผู้ที่จะเต็มใจเลือกวิชาเอกในเวทย์มนตร์เหล่านี้มีไม่มากนัก ดังนั้นการเรียกซิงโส่วว่าผู้วิเศษก็มิใช่การพูดเกินจริง
“ได้พบบัณฑิตผู้มีความรู้ทุกท่าน ยินดีนัก!” ซิงโส่วยกจอกเหล้าขึ้น
ทุกคนใช้แขนเสื้อปกปิดเล็กน้อย เงยหน้าดื่มรวดเดียวหมด
หลังจากดื่มทำความรู้จักกันแล้ว ทุกคนต่างเริ่มพูดคุยสัพเพเหระ ผู้ที่นั่งอยู่ในที่นี้ล้วนมีประสบการณ์เล่าเรียนในต่างถิ่น พบพานโลกกว้างใหญ่ จึงมีเรื่องให้ถกกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ซ่งชูอีไม่ได้กินเนื้อคำโตมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงอาศัยช่วงที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรส ก้มหน้าก้มตาตั้งใจกิน
“หวยจินมีความรู้ล้ำลึก เหตุใดจึงไม่พูดจา?” ฮุ่ยซูหวิ๋นกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
หนานฉียิ้มเยาะ “เนื้อย่างอยู่ตรงหน้า ตอนนี้เขาคงเกลียดตัวเองยิ่งนักที่ไม่มีสิบปาก จะมีกำลังสนใจเจ้าที่ไหนกัน”
ซ่งชูอีกำลังจะยื่นมือไปฉีกเนื้อ เห็นว่าทุกคนต่างมองนางเป็นตาเดียว นางเพียงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แล้วฉีกเนื้อชิ้นใหญ่อย่างสบายใจ “ความหิวโหยนั้นยากจะยับยั้ง ได้โปรดทุกท่านได้อภัย!”
“หวยจินตามสบาย!” ซิงโส่วก็ยิ้มพร้อมฉีกเนื้อชิ้นหนึ่ง
ซ่งชูอียัดเนื้อชิ้นใหญ่เข้าไปในปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “เรียบง่ายเฉียบคม ข้าชอบ! ไม่เหมือนใครบางคนในโลกใบนี้ที่วิพากย์วิจารณ์ทุกอย่างร่ำไป ไม่รู้ว่าตื่นตระหนกจนเหนื่อยล้าบ้างหรือไม่ วิถีการใช้ชีวิตของข้ายังผ่อนคลายกว่าเสียอีก! ไร้ซึ่งพันธะ ล่องลอยได้อย่างอิสระ!”
หนานฉีมองดูปากมันเยิ้มของนาง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ เบือนหน้าหนีด้วยความทุกข์ทรมาน ตราบใดที่ไม่หันไปมองมันก็จะไม่รบกวนจิตใจ
ทุกคนเห็นซ่งชูอีกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็เริ่มรู้สึกหิวเล็กน้อย แต่ละคนทยอยกินเนื้อชิ้นใหญ่ตามนาง
ครั้นหนานฉีเห็นว่าบัณฑิตที่มีท่าทีสุขุมในตอนแรกได้กลายร่างเป็นหมาป่าดุร้ายฉับพลัน ก็คิดจะจากไปทันที แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าการทำเช่นนั้นดูไร้การอบรมเป็นอย่างมาก จึงได้แต่อดกลั้นไว้
หลังจากกินดื่มจนหนำใจแล้ว ทุกคนก็ต่างมึนเมาเล็กน้อย คนแรกที่ไม่เป็นผู้เป็นคนที่สุดคือหนานฉี เขาเห็นคนอื่นกินแล้วก็ไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย จึงเอาแต่ดื่มเหล้า ขณะที่ทุกคนกำลังกรึ่มๆ อยู่นั้น เขาก็หมอบอยู่บนกล่องอาหารแล้ว
ซ่งชูอีรู้สึกมึนเมาเพียงเล็กน้อยขณะที่นอนราบอยู่ด้านข้าง ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางอยู่ในร่างอื่น ก็คงไม่มีความวิงเวียนเลยแม้แต่น้อย
จีเหมียนกอดซิงโส่วพร้อมกับร้องไห้โหยหวน น้ำหูน้ำตาเปื้อนเต็มเสื้อของเขา ซิงโส่วหลับตาราวกับว่าพยายามทำสมาธิ
ซีหงร้องเพลงเต้นแร้งเต้นกา ฮุ่ยซูอวิ๋นกอดถังอาเจียนจนฟ้าดินมืดดับ แต่กลับถูกซีงหงเขย่าตัวอยู่ตลอดเวลา ขอร้องให้ร้องเพลงด้วยกัน ฮุ่ยซูอวิ๋นมองพวกเขาพร้อมหัวเราะโง่ๆ
จี้เยี่ยนกับคนอื่นๆ ถอดเสื้อจนเหลือเพียงแค่ผ้าชั้นในผืนเดียว…
ซ่งชูอีมองดูฉากแห่งความโกลาหลนั้นด้วยความตะลึงงัน ในขณะนั้นเองนางคิดไม่ออกว่าจะหาคำใดมาอธิบาย
จีเหมียนร้องไห้ไปร้องไห้มา พบว่าซิงโส่วไม่สนใจเขาจึงผลักเขาออกไป บีบเข้ามาหาซ่งชูอี มองนางน้ำตานองหน้า “หวยจิน”
“ท่านมิได้เมาหรอกนะ?” สีหน้าซ่งชูอีเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ
“ใครว่าข้าเมา!” จีเหมียนพ่นคำออกมาอย่างชัดเจน ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลรินไม่หยุด สะอื้นไห้ “ข้าเพียงแค่รู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย”
“เหตุใดจึงโศกเศร้า?” ซ่งชูอีเอ่ย
ทันทีที่จีเหมียนได้ยินคำตอบของซ่งชูอี ทันใดนั้นก็ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายกว่าเดิม “ตั้งแต่ข้าออกมาจากสำนัก ก็มีเป้าหมายยิ่งใหญ่ แต่กลับเจอแต่ทางตันรอบทิศ…”
จากนั้น จีเหมียนได้เล่าประวัติศาสตร์ตั้งแต่ตอนที่เขาใส่กางกางเปิดบั้นท้ายในวัยเด็กแล้วขโมยลูกท้อกับศิษย์พี่จนถูกทำโทษและกินข้าวไม่ได้ไปสามวัน จากนั้นเมื่อออกจากสำนักแล้วแต่ละรัฐก็ไม่เต็มใจจะใช้งานเขา จนกระทั่งมาถึงความเศร้าโศกที่อุทิศตนให้รัฐเว่ย์ในบัดนี้
วิชาของจีเหมียนมิได้ต่ำต้อย เขาเป็นหนึ่งในบัณฑิตผู้สนับสนุนการปฏิรูป อีกทั้งยังเก่งกาจด้าน “กฎหมาย” เพียงแต่เกิดช้าไปสิบกว่าปี การปฏิรูปของเจ็ดมหานครรัฐบัดนี้ได้ปิดฉากลงอย่างต่อเนื่องแล้ว และเนื่องด้วยเขายังเยาว์ จึงพบทางตันทั่วทุกแห่ง ไม่มีรัฐใดที่เต็มใจจะใช้งานเขา เมื่อไม่มีทางเลือกจึงทำได้แต่พอใจกับสิ่งที่ดีรองลงมาแล้วอุทิศตนให้กับรัฐเล็กก่อน
ประสบเหตุการณ์เช่นนี้ก็น่าทอดถอนใจนัก
ทว่าในที่สุดซ่งชูอีได้ตัดสินว่าบัดนี้เขาเมาแล้ว
จู่ๆ ซีหงก็ร้องเพลงเสียงดัง “ขึ้นยอดสูงซางเยวี่ยแห่งซานซานเอ๋ย เทพเจ้าทั้งห้าต้อนรับให้ข้าขับร้อง มังกรเหลืองเอ๋ยออกมาจากลำน้ำ ถือภาพจารึกแห่งเทพงูสองหัว มองจากภาพแล้วไซร้เพียงนภาทอดถอนใจ ร้องรำทำเพลงในถ้ำอ้างว้าง วิหคเอ๋ยเดินโซเซพลันพญาหงส์ปรากฏกาย!”
ซ่งชูอีนวดคลึงขมับ นอนแกล้งตายอยู่บนพื้น
จีเหมียนยังร้องทุกข์ไม่เสร็จสิ้น ก็เห็นซ่งชูอีล้มลงไป จับนางเขย่าอย่างแรงทันที “หวยจิน! หวยจิน!”
“ท่านหวยจินอยู่หรือไม่?” ทันใดนั้น เสียงอันร้อนรนดังมาจากด้านนอกโอกงาม
ในห้องนี้ก็มีเพียงซ่งชูอีที่มีสติครบถ้วน จำต้องลืมตาเอ่ย “มีกระไร?”
ผู้นั้นกล่าวอย่างรวดเร็ว “ท่านจวินต้องการพบ! ขอเชิญท่านหวยจินรีบตามข้ามาเถิด”
ซ่งชูอีลุกขึ้นพรวด แขนเสื้อยังคงถูกจีเหมียนคว้าไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย นางเอื้อมมือดึง
คนที่ด้านนอกรบเร้าด้วยความกระวนกระวาย “ท่าน”
เป็นตายเยี่ยงไรจีเหมียนก็ไม่ยอมปล่อยมือ ทันใดนั้นซ่งชูอีระเบิดอารมณ์ ส่งเสียงคำราม “พ่องเอ๊ย! ปล่อยข้า!”
จีเหมียนถูกด่าจนตะลึงงัน ซ่งชูอีฉวยโอกาสจากช่องว่างนี้ เดินออกไปจากโอกงามทันที
…………………………..