กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 5 พิงตึกรามฟังเสียงลมฝน
บทที่ 5 พิงตึกรามฟังเสียงลมฝน
Ink Stone_Romance
เด็กหนุ่มจ้องนางเขม็งไม่พูดจา
ซ่งชูอีสามารถจับความรู้สึกของเขาได้เลือนลาง เด็กหนุ่มคิดว่าเมื่อครู่นางหลอกกินอาหาร พออิ่มกินแล้วก็จะฆ่าตัวตายกลายเป็นผีอิ่มท้อง
“ข้ากำลังดูหน้าของตัวเอง เจ้าทำบ้าอะไรน่ะ!” ซ่งชูอีโบกไม้โบกมือ “อย่าทำตัวเป็นขอนไม้สิ รีบพยุงข้าขึ้นมา!”
ราวกับกำลังพิจารณาว่าคำพูดของนางจริงหรือเท็จ ผ่านไปครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มจึงขยับร่างกาย ช่วยนางขึ้นมาจากพื้น
เขาได้รับบาดเจ็บ ก่อนหน้านี้เนื่องด้วยเขาต้องตื่นตัวตลอดเวลาจึงไม่ได้มีผลมากนัก ขณะนี้ดูเหมือนว่าครั้นมาถึงสถานที่ที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัยแล้ว ร่างกายจึงผ่อนคลายและความเจ็บปวดก็ชัดเจนมากขึ้น การเคลื่อนไหวไม่มั่นคง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากจึงจะสามารถดึงซ่งชูอีกลับขึ้นมาได้
“นี่ เจ้ามีนามว่าอันใด?” ซ่งชูอีนั่งลงบนกองฟาง ผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่มีทีท่าจะตอบ จึงเอ่ยต่อ “ชื่อเสียงเรียงนามคือของขวัญจากบรรพบุรุษ หากมีชื่อก็จงพูดออกมาอย่างสง่างามผ่าเผย จะปกปิดเยี่ยงโจรไปเพื่อเหตุใด!”
ในโลกใบนี้ ใช่ว่าทุกคนจะมีชื่อแซ่ได้ ชื่อแซ่แสดงออกถึงสถานะ คนที่มีสถานะแน่นอนเท่านั้นที่พึงมีได้ เนื่องจากเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนมีความรู้ดี จะต้องไม่ใช่ราษฎรที่อาศัยอยู่ในป่าทั่วไปอย่างแน่นอน
“เจ้า” เด็กหนุ่มคลำผลไม้ป่าสองสามลูกออกมากจากในอก ถูไถอยู่บนพื้นหญ้า โยนให้ซ่งชูอีลูกหนึ่ง
“สกุล?” ซ่งชูอีถาม
ในยุคก่อนฉิน แซ่และสกุลไม่ได้มีความหมายอย่างเดียวกัน แซ่ของหญิงสาวนั้นแต่เดิมถูกกำหนดโดยเชื้อสายฝ่ายมารดา หลังจากใช้มันแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนสกุลนั้น เป็นสัญลักษณ์ของครอบครัวซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการเปลี่ยนแปลงของครอบครัว สกุลไม่มีกฎตายตัว บ้างเนื่องด้วยเป็นครอบครัวของราชสำนักก็เรียกว่าสกุลกงซุน บ้างก็เรียกตามตำแหน่งของชั้นขุนนาง เช่นสกุลหม่า สกุลซือคง บ้างเรียกตามชื่อของแผ่นดิน เช่นหาน เจ้า…
สรุปได้ว่า พวกโจรมีเพียงแซ่แต่ไร้สกุล มีเพียงผู้สูงศักดิ์เท่านั้นที่มีทั้งแซ่และสกุล ที่ซ่งชูอีถามเช่นนี้ เพียงเพราะต้องการมั่นใจสถานะของเด็กหนุ่มผู้นี้
“ไม่รู้” เด็กหนุ่มเคี้ยวผลไม้ น้ำส้มรสเปรี้ยวเปียกชุ่มบาดแผลบนปาก เขาเจ็บจนกัดฟัน
อิริยาบทต่างๆ ของเขาเช่นนี้ ทำให้ส่วนลึกบางแห่งในหัวใจของซ่งชูอีรู้สึกอบอุ่น ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สถานการณ์ของนางคล้ายคลึงกับเด็กหนุ่มผู้นี้มาก “ชื่อเจ้าล่ะ?”
ผลไม้ในปลายฤดูใบไม้ร่วงนั้นล้ำค่ามาก แม้ว่ามันจะมีรสเปรี้ยวหรือสุกงอมเต็มที่ แต่เนื่องด้วยย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว ก็จะมีผลไม้ป่าที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวในฤดูหนาวได้เหมือนตอนฤดูใบไม้ผลิ เด็กหนุ่มตั้งใจกัดกินผลไม้ป่าและได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
ซ่งชูอียื่นผลไม้ในมือคืนเขา “ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม?”
เด็กหนุ่มมองผลไม้ป่าที่ซ่งชูอีส่งให้เขาเป็นอันดับแรก ด้วยความประหลาดใจ จึงเงยหน้าขึ้นมองซ่งชูอี คนทั่วไปต่างโจมตีซึ่งกันและกันเพื่อแย่งชิงอาหารเพียงเล็กน้อย ถ้าหากเขาไม่มีพละกำลังมากพอก็คงตายอยู่กลางป่านี่นานแล้ว มันไม่มีเหตุผลเลยที่คนเราจะยื่นอาหารที่พวกเขาได้รับให้คนอื่น
“พิงตึกรามฟังเสียงลมฝน[1] ไม่หวั่นไหวต่อเส้นทางยุทธภพ เจ้าอี่โหลว” ซ่งชูอียังคงยื่นมือออกมา ยิ้มถามเขา
เมื่อเด็กหนุ่มหวนรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ในหลายปีต่อมา เขาไม่เคยเข้าใจความหมายของประโยคนี้เลย เขาเพียงรู้สึกว่ากิริยาที่นางคืนผลไม้นั้นดีเหลือเกิน ภายใต้แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วง แม้ไม่ใช่ใบหน้าที่สวยงาม แต่เขาชอบความเมตตาที่นางแสดงออกมาก
“ได้” เขายื่นมือคว้าผลไม้ในมือของซ่งชูอีอย่างรวดเร็ว กลัวว่าจะนางจะเปลี่ยนใจ
พิงตึกรามฟังเสียงลมฝน ไม่หวั่นไหวต่อเส้นทางยุทธภพ ซ่งชูอีนอนอยู่บนกองฟาง ถอนหายใจแล้วหลับตาลง พักผ่อนต่อไป
พิงตึกรามฟังเสียงลมฝน ในใจรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน นี่คืออารมณ์ของซ่งชูอีในตอนนี้ เมื่อครู่นางมองเห็นเงาของตัวเองบนผิวน้ำ บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แม้ว่าสมองของนางจะเลอะเลือนจากการถูกวางยา แต่ในบัดนี้นางก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นางตื่นตกใจ แต่หากโลกย้อนเวลากลับมาอีกครั้งก็ย่อมมีเหตุผลในตัวของมันเอง บางเรื่องไม่มีข้อสรุป เช่นนั้นก็อย่าเปลืองสมองไปค้นหาความจริงเลย
ซ่งชูอีพลิกตัว นวดคลึงเอวที่ปวดเมื่อย ผล็อยหลับไปด้วยความสะลึมสะลือ
ได้ยินเสียงสวบสาบอยู๋ในความมืดมัว เด็กหนุ่มกำลังห่มกองฟางให้นาง รู้สึกอบอุ่นในใจพร้อมหลับไปท่ามกลางเสียงนั้น
ในความฝัน นางเห็นหยางเฉิงที่กำลังอยู่ในเปลวเพลิงแห่งสงคราม
กลางพายุหิมะที่บ้าคลั่ง ทุกคนเงอะงะอย่างเห็นได้ชัด คนคนหนึ่งยืนอยู่เหนือเมือง รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อแขนกว้างสีเทา คลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำ แม้แต่คิ้วก็ยังขมวดกันตามความเคยชิน
ซ่งชูอีเดินย่ำหิมะไปหาเขาอย่างเชื่องช้า นางยืนเคียงข้างเขาพร้อมมองดูเมืองที่สู้รบกันอยู่เบื้องล่าง มองอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา
หมิ่นฉือราวกับว่ารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง หันขวับไปทันที มองหิมะที่โปรยปรายหนาแน่น จากนั้นก็ดึงความสนใจทั้งหมดกลับไปยังสนามรบเบื้องล่างอีกครั้ง
ช่างเป็นความฝันที่ไร้ความหมาย…
ครั้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
เมื่อซ่งชูอีลืมตา ก็เห็นเพียงฟางและแสงจันทร์สีเงินที่สาดแสงลงมาประปรายเท่านั้น นางใคร่ครวญถึงฉากฝันเมื่อครู่ การที่กองทหารฉินรุดเข้ามา ไม่จำเป็นต้องมีกุนซือหรือแม่ทัพที่ยอดเยี่ยม รัฐฉินมีกำลังเสริมแต่รัฐเว่ยอาจไม่มี ฉะนั้นต่างฝ่ายจึงมีโอกาสแพ้ชนะครึ่งต่อครึ่ง
นี่คือชีวิตหลังความตายของนางหรือ? ซ่งชูอีรู้สึกเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย นี่มันเป็นคำอธิบายอะไรกัน แม้จะไม่ได้เห็นสนามรบ แต่นางก็สามารถคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้ได้
ซ่งชูอีออกมาจากกองหญ้า รู้สึกได้ถึงความหนาวบาดผิวหนังในทันที อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย นางหันไปก็เห็นเงาตะคุ่มที่ขดตัวอยู่ข้างกำแพงหิน มีวัชพืชจำนวนหนึ่งอยู่บนตัว
ซ่งชูอีนอนอยู่บนฟาง แม้จะระคายเคือง แต่ก็ยังอบอุ่นกว่าวัชพืชที่เปื้อนเศษดินเหล่านั้น
นางยื่นมือเขย่าเขา “เจ้าอี่โหลว”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นพรวด ยังไม่คุ้นชินว่า ‘เจ้าอี่โหลว’ นั้นคือชื่อเรียกของตน จ้องนางอย่างระแวดระวังอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ ผ่อนคลาย
“นอนด้วยกันเถิด” ทันทีที่ซ่งชูอีพูดจบ รู้สึกว่าไปกระตุ้นความสงสัยที่ไม่เหมาะสมให้กับเด็กหนุ่ม จึงพูดเสริม “ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครล้มป่วยก็จะแย่ พวกเราไม่มียารักษา”
เจ้าอี่โหลวจ้องมองนางอยู่นาน ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้า ขากรรไกรล่างทั้งบวมและช้ำ มองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ
ซ่งชูอีเริ่มหมดความอดทน “แม่งเอ๊ย! ข้าก็ไม่ได้รังเกียจ เจ้าลังเลอะไร?”
เจ้าอี่โหลวลังเลครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมุดเข้าไปในกองฟางอย่างรวดเร็ว เขาประสบกับความหนาวเย็นและความหิวเกือบแทบทุกวัน ดังนั้นจึงไม่ต้องการที่จะทนหนาวโดยเปล่าประโยชน์เพื่อผู้หญิงที่ไม่รู้จักคนหนึ่งและเพื่อขนมธรรมเนียมที่กินแทนข้าวไม่ได้
ซ่งชูอีก็ตามเข้าไปด้วย ฟางนั้นมีไม่มากนัก นอนคนเดียวได้อย่างสบาย นอนสองคนก็ออกจะแออัดเสียหน่อย
“ตอนกลางคืนเจ้าอาบน้ำก่อนนอนไม่ได้หรือไง!” ซ่งชูอีดมกลิ่มประหลาดที่ออกมาจากตัวเด็กหนุ่ม อดไม่ได้ที่จะเหยียดเท้าและเตะเขาไปด้านข้าง
นางไม่ใช่เป็นคนเรื่องมากอะไร อยู่ในค่ายทหารก็ดมกลิ่นเหม็นเหงื่อและอะไรอื่นๆ มาหมดแล้ว แต่ว่ากลิ่นตัวของเจ้าอี่โหลวนี้ นางจำเป็นจะต้องรังเกียจจริงๆ ไม่เช่นนั้นมันจะยิ่งอยู่เหนือความควบคุม
“มันเรื่องอะไรของเจ้า!” น้ำเสียงของเจ้าอี่โหลวไม่พอใจ แต่ยังคงเผชิญหน้ากับนาง
นี่คือการแสดงออกของความไม่ไว้วางใจของคนที่อาศัยอยู่ในป่ามาเป็นเวลานาน
“ข้าว่าเจ้าหันไปจะดีกว่า” ซ่งชูอีถูๆ จมูก พูดขึ้น “ส่วนตัวข้านั้น คิดว่าการป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายสำคัญกว่าการป้องกันตัวจากข้าเสียอีก เจ้าดูผู้หญิงที่พิการทางจิตใจอย่างข้าสิ หากไม่มีเจ้าแล้ว ข้าก็เดินไปจากที่นี่ไม่ได้ แล้วจะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร”
ที่นี่รกร้างไร้ผู้คน ดูจากการแสดงออกจากเด็กหนุ่มเมื่อครู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา คาดว่าคงเคยได้รับบาดเจ็บจากการถูกสัตว์ร้ายโจมตีมาก่อน
เจ้าอี่โหลวไม่ได้คิดถึงคำว่า ‘ผู้หญิงที่พิการทางจิตใจ’ อย่างลึกซึ้ง เขาจะไปเข้าใจได้อย่างไร รู้สึกเพียงว่าสิ่งที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผลจึงพลิกตัวไป
…………………………………
[1] พิงตึกรามฟังเสียงลมฝน ในภาษาจีนคือ ‘倚楼听风雨’ สองคำแรกซึ่งออกเสียงได้ว่า ‘อี่โหลว’