กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 66 ไม่ทำดีโดยเปล่า
บทที่ 66 ไม่ทำดีโดยเปล่า
Ink Stone_Romance
ซ่งชูอีหิ้วนมแพะกับเนื้อแห้งที่หลงกู่ปู้วั่งนำมา แล้วลงจากรถม้า
ร่างของแม่หมาป่ายังอยู่ที่เดิม หิมะที่โปรยปรายแทบจะฝังร่างของมัน ซ่งชูอีคุกเข่าลง ใช้มือปัดหิมะตรงส่วนท้องของแม่หมาป่า หยิบถุงน้ำที่บรรจุนมแพะไว้แล้วออกมาจากถุงผ้า เทบางส่วนลงบนนิ้ว จากนั้นก็ยื่นมือเข้าไปลูบคลำเจ้าขนปุยตัวน้อยนั้น
รอเงียบๆ ครู่หนึ่ง ทันในนั้นซ่งชูอีรู้สึกราวกับว่าเจ้าตัวน้อยกำลังเลียนิ้วของนาง อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย
รอกระทั่งมันเลียขนสะอาดแล้ว ซ่งชูอีก็เทอีกเล็กน้อย เขยิบมือออกมาข้างนอกอีกหน่อย
ทำเช่นนี้สองสามครั้ง เจ้าตัวน้อยทนความยั่วยุไม่ไหวจึงโผล่หัวออกมา ซ่งชูอีจ่อปากถุงน้ำที่บรรจุนมแพะที่ปากของมัน มันก็ไม่มากเรื่องและเลียอย่างรวดเร็ว ครั้นอิ่มจนท้องเป็นลูกกลมๆ จึงหยุด
ซ่งชูอีอุ้มมันขึ้นมา ใช้ขนกระต่ายห่อเอาไว้ “เอาแม่หมาป่าตัวนั้นไปฝังเถิด ออกคำสั่งลงไป ใครบังอาจแตะต้องศพของแม่หมาป่า ก็ฝังมันไปด้วยกันเสีย ”
“รับทราบ!” จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนประสานมือตอบโดยพร้อมเพรียง
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้สำรวจร่างของแม่หมาป่าอย่างละเอียดแล้ว มันคล้ายกับป่วยมานาน ขนบนตัวสูญเสียความเงางามสุขภาพดีและขนยังร่วงหลุดทีละเส้นๆ ต่อให้ลอกขนไปขายก็มิได้ราคาสูง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครประหลาดใจกับคำสั่งของซ่งชูอี
ครั้นพักผ่อนที่ตีนเขาครึ่งราตรีแล้ว ลมก็ค่อยๆ สงบลง จี๋อวี่ก็สั่งให้ขบวนพ่อค้าออกเดินทาง
ก่อนหน้านี้ซ่งชูอีนอนมาพอแล้ว ในเวลานี้ไม่มีความง่วง จึงเปิดหน้าต่างเป็นช่องเล็กๆ เพื่อชมคืนหิมะอันงดงามภายนอก
รถม้าเคลื่อนไปได้ไม่กี่จั้ง ซ่งชูอีเห็นกลุ่มนายพรานกำลังขดตัวอยู่ใต้เนินเขา สามคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถอดเสื้อผ้าบนตัวเพื่อห่อร่างของอีกสองคนที่บาดเจ็บสาหัส พวกเขาไม่กล้านอน กลัวว่าหลับไปแล้วก็จะถูกแช่งแข็งและไม่ตื่นขึ้นมาอีก
ครั้นเห็นสายตาของทั้งสามคนมองตามขบวนรถ ในความมืดมิดนั้นสามารถมองเห็นประกายความหวังวูบผ่านดวงตาที่ชัดเจนของพวกเขาเลือนราง ซ่งชูอีหวั่นไหวเล็กน้อย เอ่ยเสียงสูง “หยุดรถ”
จี๋อวี่ในเสื้อคลุมฟางขี่ม้าเข้าไปใกล้ โน้มตัวไปยังหน้าต่างพร้อมเอ่ยถาม “ท่านมีเรื่องอันใด?”
เดิมทีซ่งชูอีต้องการจะฝากข้อความผ่านจี๋อวี่ ทว่านางคิดดูแล้ว ก็หยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ลงจากรถ สั่งจี๋อวี่ให้นำถุงสุรามาสองถุง เดินย่ำหิมะไปหาเหล่านายพรานด้วยความทุลักทุเล
ยังไม่เข้าไปใกล้ ซ่งชูอีก็โยนถุงสุราในมือแล้วเอ่ยเสียงดัง “ข้าชื่นชมในมิตรภาพของพวกท่าน วันหิมะตกหนาวเหน็บยิ่ง สุราสองถุงคือของขวัญแก่บุรุษผู้เข้มแข็ง”
ฉือจวี้สำรวจเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน รูปลักษณ์ธรรมดา เมื่อเห็นครั้งแรกยังดูด้อยกว่าเด็กหนุ่มในชุดจีนหรูหราเมื่อครู่เล็กน้อย ทว่าบัดนี้ในตัวเขากลับมีความภาคภูมิใจและความเป็นอิสระ ทำให้อดที่จะเลื่อมใสมิได้
สามคนรีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคำนับ “ขอบคุณท่าน!”
“สุราแด่บุรุษผู้เข้มแข็ง เป็นสิ่งดีงามแล้ว! พวกท่านมิจำเป็นต้องขอบคุณ” ซ่งชูอียิ้มน้อย ประสานมือคำนับกลับ หมุนตัวกลับไปที่รถ แอบนับอยู่ในใจ “หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…”
เมื่อนับถึงห้า พลันได้ยินเสียงของฉือจวี้ “เชิญท่านช้าก่อน”
ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย หมุนตัวกลับไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาให้ฉือจวี้เป็นผู้นำ ซ่งชูอีส่งสายตาสงสัยไปให้เขา รอเขากล่าวด้วยความอดทน
“ท่าน พวกข้าร่อนเร่เพนจร วันนี้ประสบกับอันตราย สหายสองคนบาดเจ็บสาหัส แม้นมีขบวนพ่อค้าผู้สูงส่งเยี่ยงท่านให้การรักษา ทว่าก็ท่ามกลางหิมะและน้ำแข็งเช่นนี้เกรงว่ายากที่จะรอด ถ้าหากท่านสามารถพาพวกข้าไปด้วย ข้าพร้อมสาบานที่จะมอบชีวิตให้ท่าน” ฉือจวี้กล่าว
ฉือจวี้เป็นคนพาพวกเขามาจากบ้านเกิด ตอนแรกที่ออกมาจากหุบเขา เขากล่าวว่าจะพาพวกเขาไปมีชีวิตที่ดี ทว่าสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกผิดและเจ็บปวดนัก ในเมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้า เขายินดีที่ใช้ตัวเองแลกเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา
สองคนที่เหลือประสานมือคารวะเช่นกัน “พวกข้ายินดีมอบชีวิตให้กับท่านพร้อมพี่ใหญ่”
ซ่งชูอีเหลือบมองสองคนที่อยู่บนพื้นแล้วทอดถอนใจ “แต่สิ่งที่ข้าคิดกลับตื้นเขิน การพาพวกท่านไปด้วยมิใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ข้าน้อยเป็นเพียงผู้ค้าขาย มิอาจเทียบเท่าขุนนางในราชสำนัก เกรงว่าจะเป็นการลบหลู่บุรุษผู้เข้มแข็งเยี่ยงพวกท่าน เรื่องมอบชีวิตนั้น พวกท่านสามารถใคร่ครวญให้ดีอีกที อย่าได้พลาดอนาคตเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”
ซ่งชูอีมิรอให้พวกฉือจวี้ตอบก็เอ่ยต่อ “พี่ชายสองท่านบาดเจ็บสาหัส ข้าน้อยจะยกรถม้าของข้าให้ทั้งสองท่านได้ใช้ชั่วคราว ส่วนท่านทั้งสามนั้น…” นางยิ้มเอ่ย “ร่างกายกำยำ คงไม่มีปัญหาในการขี่ม้ากระมัง!”
ทั้งสามคนตื้นตันใจ ปฏิเสธเป็นพัลวัน ทว่ากล่อมซ่งชูอีไม่สำเร็จ อีกทั้งเป็นห่วงสหายทั้งสองคน ในที่สุดก็ยังทำตามที่ซ่งชูอีบอก หามคนเจ็บทั้งสองคนเข้าไปในรถม้าของซ่งชูอีแล้ว
ซ่งชูอีอุ้มหลบลูกหมาป่าหิมะไปด้านข้าง เคลื่อนย้ายตัวเองและสิ่งของทั้งหมดไปยังรถของหลงกู่ปู้วั่ง
หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จสิ้น ขบวนรถก็ออกเดินทางอีกครั้ง
จี้ฮ่วนที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าหันมามองสามคนนั้นที่อยู่ด้านหลังขบวน ถามจี๋อวี่เสียงเบา “เมื่อก่อนใยจึงมองไม่ออกว่าท่านหวยจินเป็นผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมเช่นนี้?”
จี๋อวี่ยกมุมปากยิ้ม “ไม่ทำดีโดยเปล่า”
จี้ฮ่วนสีหน้างงงัน เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของห้าคำนี้ที่ไหนกัน!
จี๋อวี่มิได้คุ้นเคยกับซ่งชูอีไปมากกว่าจี้ฮ่วน ทว่าเขาเฉียบคมกว่าจี้ฮ่วนมากนัก ซ่งชูอีปฏิบัติต่อแต่ละคนด้วยการตีสีหน้าที่แตกต่างกัน…ไม่สิ ท่าทีที่ต่างกันต่างหาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าซ่งชูอีที่อยู่ในป่ารกร้างของรัฐซ่งต่างหากคือซ่งชูอีที่แท้จริงที่สุด ไร้ระเบียบทว่าพูดจาแหลมคม เปล่งวาจาสิบคำมีห้าคำที่เป็นคำแดกดันผู้อื่น
สำหรับเหตุผลที่นางถึงโอบอ้อมต่อเหล่านายพรานนั้น จี๋อวี่คิดว่าเพราะนางต้องการเก็บพวกเขาไว้ใช้งาน
การกระทำดีต่อผู้ที่มีจิตใจชอบธรรม อีกทั้งยังแสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติและตรงไปตรงมานั้น เป็นการถือไพ่ที่เหนือชั้นกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังได้รับความเคารพและความภักดีจากพวกเขาได้โดยง่าย
กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับนั้นยอดเยี่ยมกว่าคำสัญญาลิบลิ่ว
ฉือจวี้ขี่ม้าตามอยู่ข้างหลัง มองไปยังรถม้าที่ซ่งชูอีอยู่ คลื่นความรู้สึกท่วมท้นอยู่ในใจ
เขายืนอยู่นอกรถก่อนหน้านี้ ได้ยินเด็กหนุ่มชั้นสูงผู้นั้นเรียก “อาจารย์” นึกว่ายังมีผู้อาวุโสอยู่ภายในรถ เพียงแต่ใช้ให้เด็กหนุ่มมาสอบถามก็เท่านั้น จากนั้นเขาก็ง่วนอยู่กับการดูท่านหมอรักษาอาการบาดเจ็บของสหายตน มิได้ไปสนใจซ่งชูอี ทว่าเมื่อครู่ ขณะที่เขาหามสหายสองคนขึ้นไปรถจึงตระหนักว่า “อาจารย์” ที่ว่านั้นหมายถึงซ่งชูอี!
ผ่านไปเนิ่นนาน อารมณ์ของฉือจวี้จึงกลับมาเป็นปกติ หันไปเอ่ยกับสองคนด้านข้างแผ่วเบา “ข้าเห็นว่าแม้นท่านผู้นี้อายุยังน้อย ทว่าบุคลิกไม่สามัญ ข้าเต็มใจมอบชีวิตให้เขาด้วยใจจริง พวกเจ้าเห็นเยี่ยงไร”
“ข้าก็คิดว่าท่านผู้นี้ไม่เลว ทว่าเมื่อครู่เสียมารยาทเกินไปแล้ว ยังมิได้ถามชื่อแซ่ของผู้มีพระคุณเลย” หนึ่งในชายหนุ่มกล่าว
อีกคนหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย
……
ภายในรถม้า แม้นหลงกู่ปู้วั่งไม่ได้นอนหลับระหว่างวันสักเท่าไร ทว่าเด็กหนุ่มเปี่ยมด้วยพลังงาน บวกกับความตื่นเต้นในการออกนอกบ้านเป็นครั้งแรก จึงไม่มีความง่วงเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นเจ้าลูกหมาป่าหิมะที่หลับสนิทที่สุด
“อาจารย์ เหตุใดจึงคิดเลี้ยงหมาป่าหิมะ?” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยถาม
ในโลกใบนี้ แม้นไม่มีใครสนใจว่าใครจะเลี้ยงอะไร แต่การจูงหมาป่าตัวหนึ่งเดินตามท้องถนนก็น่าตกใจไม่น้อย
ซ่งชูอีเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่คิดว่ามันมีเกียรติมากหรือ?”
หลงกู่ปู้วั่งประหลาดใจ เขาก็ออกล่าสัตว์เป็นครั้งคราว รู้จักชนิดของสัตว์ไม่มาก ทว่ารู้นิสัยทั่วไปของสัตว์ป่าไม่มากก็น้อย “มีเกียรตินั้นนับว่ามีเกียรติมาก อย่างไรเสียหมาป่าหิมะก็เป็นสัตว์ดุร้าย เลี้ยงจนโตแล้วเกรงว่าจะถูกมันทำร้าย”
ซ่งชูอีหิ้วเจ้าขนปุกปุยตัวน้อยที่กำลังหลับสบายขึ้นมา จับใบหน้าน้อยๆ ของลูกหมาป่าแล้วสำรวจอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งมันส่งเสียงร้องเอ๋งๆ อย่างอึดอัด จึงกอดมันไว้ในอ้อมแขนพร้อมลูบไล้ขน “ข้าดูลักษณะของมันใช้ได้ ลูกตาดำเยอะลูกตาขาวน้อย หางตาตกเล็กน้อย มิใช่หมาป่าเนรคุณ เลี้ยงไปอีกหน่อยก็คุ้นแล้ว หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็ยังมีหนังหมาป่าหนึ่งผืนเหนาะๆ”
“อาจารย์เข้าใจสำนักหยินหยางรึ?” หลงกู่ปู้วั่งประหลาดใจ ถามด้วยความกะตือรือร้น “เรียนถามอาจารย์ ท่านตัดสินนิสัยของมันจากรูปลักษณ์ได้เยี่ยงไร?”
ซ่งชูอีพิจารณาด้วยความจริงจังครู่หนึ่ง รอจนกระทั่งหลงกู่ปู้วั่งเกือบหมดความอดทน จึงพ่นคำหนึ่งออกมาอย่างเคร่งขรึม “สัญชาตญาณ”
หลงกู่ปู้วั่งแทบอยากกระอักเลือด จากนั้นกลับได้ยินเสียงหัวร่อของซ่งชูอี “กุ่ยกู๋จื่อยังขี่เสือขาวได้ ข้าเลี้ยงหมาป่าหิมะตัวหนึ่งก็ไม่แปลกดอก”
“กุ่ยกู๋จื่อขี่เสือขาวงั้นหรือ?” หลงกู่ปู้วั่งเปลี่ยนความสนใจทันควัน
…………………………