กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 90 เพื่ออำลาท่าน
บทที่ 90 เพื่ออำลาท่าน
Ink Stone_Romance
“ตอนนั้นกงจื่อเฉียนกล่าวหาว่าซางจวินก่อกบฏ หลังจากนั้นได้ยินว่าไม่พบหลักฐาน เป็นข้อกล่าวหาเท็จ…”
มุมปากของซ่งชูอียกทำมุมยกยิ้มขึ้น วิธีการของอิ๋งซื่อโหดร้ายและแนบเนียนตามคาด ไม่ต้องลงแรงมาก็สามารถกำจัดอุปสรรคชิ้นใหญ่ได้ถึงสอง ต่อจากนี้…ก็เป็นคราวของตระกูลเก่าแก่แล้ว
แม้นกงจื่อเฉียนจะเป็นเสด็จลุงของอิ๋งซื่อและยังเคยเป็นอาจารย์ขององค์ชาย ทว่าหลังจากที่เขาถูกทรมานแล้ว ก็คิดวางแผนแก้แค้น สะสมกองกำลังทั้งในราชสำนักและราษฎรทั่วไป จนบัดนี้คุกคามถึงอำนาจจักรวรรดิของอิ๋งซื่อ ความตายจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ตั้งแต่ที่ซ่งชูอีรู้ว่าโลกนี้ไม่เหมือนกับโลกก่อน นางก็จะไม่มองเรื่องนี้ผ่านความทรงจำอีก เพราะไม่รู้ว่าอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกเมื่อใด
หลังจากทานอาหารค่ำแล้ว ซ่งชูอีก็นั่งอยู่สักพักหนึ่ง แล้วกลับไปพักผ่อนบนรถม้า แม้มันจะคับแคบเหมือนกันทว่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมาก
หิมะขาวนวล แสงจันทรากระจ่าง
ซ่งชูอียกมือขึ้นเคาะกำแพงรถ เสียงของจี๋อวี่ดังขึ้นจากด้านนอก “ท่าน”
“อวี่ เชิญเข้ามา” ซ่งชูอีกล่าว
คนที่อยู่ด้านนอกคล้ายลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นรถม้าไป
คืนนี้เป็นเวรเฝ้ายามของจี๋อวี่และจี้ฮ่วน ซ่งชูอีกล่าว “เจ้ากับจี้ฮ่วนขึ้นรถไปพักเถิด ข้าจะอยู่เฝ้ากับปู้วั่ง”
จี๋อวี่มองนาง ประสานมือเอ่ย “ขอบคุณท่าน”
“เจ้าคิดว่าฉินกงเป็นคนเยี่ยงไร?” จู่ๆ ซ่งชูอีถามขึ้น
จี๋อวี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดซ่งชูอีจึงถามเช่นนี้กะทันหัน ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบตามความจริง “เป็นวีรบุรุษ และจักรพรรดิใต้หล้า”
ซ่งชูอีหัวเราะ หยิบกล่องหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะ ตบๆ ไป๋เริ่น แล้วพามันลงไปจากรถด้วยกัน
จี๋อวี่มิได้ขยับเขยื้อน เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง มองแผ่นหลังของนางผ่านช่องว่างของหน้าต่างอย่างครุ่นคิด
ซ่งชูอีพ่นหมอกสีขาวออกมาทันทีที่เผชิญกับอากาศอันหนาวเหน็บ ทุกวันนี้มีวีรบุรุษผู้กล้าหาญมากมาย ความแตกต่างในความแข็งแรงล้วนมีไม่มาก การได้เป็นจักรพรรดิใต้หล้าก็นับว่าเป็นที่สุดแล้ว ทฤษฎีโค่นรัฐของนางเป็นเพียงความฝันสูงส่งเท่านั้น ฉะนั้นนางจึงคิดจะเปิดสำนักเพื่อสร้างหลักคำสอนใหม่ และหวังว่าหลักความคิดนี้จะยังดำเนินต่อไป
“ฉือจวี้” ซ่งชูอีเดินเข้ามาหากลุ่มคนที่กำลังเฝ้ายาม
นี่คือผู้ชายนางที่ “เก็บ” มาพร้อมกับไป๋เริ่น ช่วงที่เดินทางนี้ ซ่งชูอีมิได้ไปพูดคุยด้วยเป็นพิเศษ ทว่าปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดียิ่ง ในเวลาเดียวกันก็แอบสังเกตพวกเขาอยู่เงียบๆ
“ท่าน!” ฉือจวี้กับผู้ชายที่อยู่ถัดจากเขาสี่คนทยอยกันค้อมคำนับ
“ไม่ต้องมากพิธี” ซ่งชูอีพิจารณาคำพูด ในที่สุดก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “วันนี้พวกเราก็ร่ำลากันเถิด”
ฉือจวี้ตกใจ “หรือว่าท่านรังเกียจพวกข้าเช่นนั้นหรือ?”
“เปล่า ข้าเพียงมีเรื่องอยากให้พวกท่านช่วยเหลือ” ซ่งชูอีกล่าว
ฉือจวี้รีบประสานมือเอ่ย “ขอเพียงท่านสั่งมา พวกข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ”
ซ่งชูอียื่นกล่องในมือให้ฉือจวี้ “นี่คือห้าสิบตำลึงทอง กับชิ้นหยกสองสามอัน แม้นชิ้นหยกจะเล็ก ทว่ามีมูลค่ามากกว่าห้าร้อยตำลึงทอง”
“นี่เพราะเหตุใด?” ใบหน้าของฉือจวี้เปี่ยมด้วยความสงสัย แต่เพราะได้ยินซ่งชูอีกล่าวมีเรื่องจะให้ทำ จึงมิได้รีบคืนของ
“ขายของเหล่านี้เสีย คิดหาวิธีซื้อที่ดินใกล้เสียนหยาง แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ข้าแนะนำให้ซื้อสาวใช้สิบนาง ปลูกหม่อนและเลี้ยงไหมเพื่อการเลี้ยงชีพ แต่หากพวกท่านมีวิธีที่ดีกว่าในการสร้างอาชีพก็ลองดู ทว่าห้ามสูญเสียที่ดินไปโดยเด็ดขาด!” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
พวกเขาเป็นพ่อค้า เรื่องการหาซื้อที่ดินประเภทนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่สุดแล้ว อีกทั้งมันก็มิใช่เรื่องผิดศีลธรรมอันใด ดังนั้นซ่งชูอีจึงมิได้หลบๆ ซ่อนๆ
เห็นอย่างชัดเจนว่านี่คือการให้เงินพวกเขาได้ปักหลักและเริ่มต้นการค้าขาย มันเป็นสิ่งล่อใจชิ้นใหญ่ ทว่าฉือจวี้ก็ยังคงปฏิเสธอยู่ “ท่าน พวกข้าได้รับความเมตตาจากท่านแล้ว มีบุญคุณไม่ทดแทนแต่ยังรับเงินจากท่านอีกได้เยี่ยงไร!”
“ที่ให้พวกท่านทำเช่นนี้ แน่นอนว่ามันมีประโยชน์” ซ่งชูอีมิได้ยื่นมือออกไปรับกล่อง “คิดเสียว่าช่วยข้าทำการค้าขายในครัวเรือนก็แล้วกัน”
ฉือจวี้เอ่ยด้วยความลังเล “ท่านไม่กลัวว่าพวกข้าจะหอบเงินหนีหรือ?”
ถึงอย่างไรห้าร้อยตำลึงทองนับเป็นเงินก้อนใหญ่ หากไม่ฟุ่มเฟือยก็สามารถทำให้พวกเขาอยู่อย่างสุขสบายชั่วชีวิต
ซ่งชูอีได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง เอ่ยว่า “ทุกท่านล้วนเป็นผู้มีคุณธรรม ข้าจะสงสัยได้เยี่ยงไร? อีกอย่างเงินทองเป็นของนอกกาย ถ้าหากพวกท่านหอบเงินหนีจริงๆ ก็ถือว่าข้ามองคนผิดไปก็เท่านั้น!”
ฉือจวี้ซาบซึ้ง โค้งคำนับเอ่ย “ท่านเชื่อใจพวกข้าถึงเพียงนี้ พวกข้าจะทำภารกิจให้สำเร็จอย่างแน่นอน”
“พวกข้าจะทำภารกิจให้สำเร็จ” คนที่เหลือก็สัญญาเช่นกัน
ซ่งชูอีพยักหน้า “พวกท่านก็รู้หนังสือ ในกล่องมีจดหมายของข้า ภายภาคหน้าหากประสบความลำบากก็อ่านมันเสีย”
สิ้นวาจา นางโน้มตัวหาฉือจวี้พร้อมกระซิบเสียงต่ำ “ที่ดินใกล้เสียนหยางไม่น่าซื้อ พวกท่านสามารถซื้อที่ดินผืนเล็กๆ ในชนบทก่อน อดทนรอสักปีครึ่งจะต้องดีขึ้นแน่นอน”
ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำในอดีตหรือว่านิสัยของอิ๋งซื่อ วันเวลาแห่งความสับสนอลหม่านของตระกูลเก่าแก่นั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว
หลังจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายแล้ว ตระกูลเก่าแก่ก็จะเสียที่ดินมากมาย ทว่าไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นชนชั้นสูงที่ยังมีที่ดินนับร้อยไร่ ทันทีที่เมื่อพวกเขาก่อความวุ่นวายอย่างรุนแรง การทำธุรกรรมทางที่ดินก็จะพลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย
“ไปพักผ่อนเร็วหน่อย แล้วออกเดินทางแต่เช้าเถิด ไม่จำเป็นต้องร่ำลากับข้าแล้ว” ซ่งชูอีประสานมือ หลังจากอำลากับพวกฉือจวี้ก็พาไป๋เริ่นขึ้นรถม้าของหลงกู่ปู้วั่ง
เมื่อได้รับบทเรียนจากคราวที่แล้ว หลงกู่ปู้วั่งเห็นซ่งชูอีเข้ามาก็หลีกทางให้อย่างไม่ลังเล สั่งสาวใช้ให้นำเสื่อมาปูพื้น รถ ป้องกันมิให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นอีกครั้ง
เนื่องด้วยปกติแล้วไป๋เริ่นมักจะชอบกระโดดโลดเต้นในอ่างอาบน้ำ เนื้อตัวไม่สกปรก หลงกู่ปู้วั่งจึงใช้มันเป็นสิ่งให้ความอบอุ่นอย่างไม่เกรงใจ
ราตรีนี้เงียบสงัดนัก
ขณะที่ฟ้ายังมืดครึ้ม จุดพักม้าก็เริ่มคึกคักแล้ว
ส่วนใหญ่แล้วจี๋อวี่มักจะเป็นผู้ตัดสินใจในการจัดแจงการเดินทาง ไม่จำเป็นต้องผ่านซ่งชูอีทุกเรื่อง
หลงกู่ปู้วั่งตื่นเช้าตามความเคยชิน เขาตื่นขึ้นทันทีที่มีความเคลื่อนไหวภายนอก เขาลืมตาปรืออยู่พักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปยังบนเตียง
คราวก่อนได้เห็นซ่งชูอีที่นอนหลับอย่างหมดสภาพแล้ว คราวนี้ฉากที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาตะลึงยิ่งกว่า! ทั้งเตียงอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง ผ้าห่มถูกซ้อนกันจนมองไม่เห็นหัวท้าย ซ่งชูอีถูกห่อไว้ภายในด้วยท่วงท่าที่ยากจะบรรยาย อวัยวะบางส่วนโผล่ออกมานอกผ้าห่ม ทว่ามองไม่ออกเลยว่าส่วนไหนคือแขนส่วนไหนคือขา
หลงกู่ปู้วั่งอ้าปากค้าง มองอยู่ครู่หนึ่งก็ยืดตัวตรงเพื่อสำรวจอย่างละเอียด หาอยู่สักพัก ในที่สุดก็เห็นผมเผ้ากะเซอะกะเซิง ไม่รู้ว่านั่นคือหน้าหรือว่าท้ายทอย เขาอดไม่ไหวเอื้อมมือปัดๆ ผมของนาง ครั้นเห็นจมูกโผล่ออกมาก็พึมพำ “ทำไมถึงไม่ขาดใจตายนะ!”
ขบวนรถเดินทางต่อไปยังทิศเหนืออย่างเชื่องช้า หลงกู่ปู้วั่งแต่งกายเรียบร้อย หน้าตาล้างตารอบหนึ่งก่อนทานอาหารเช้า จากนั้นก็มองดูท่านอนของซ่งชูอีที่แม้แต่ภูติผีปีศาจยังประหลาดใจ สิ่งที่ทำให้หลงกู่ปู้วั่งชื่นชมยิ่งกว่าก็คือ นางเปลี่ยนท่าทางเป็นพักๆ หลังจากเหยียดทุกท่วงท่าบนเตียงแล้ว ในที่สุดกลับสู่ท่านอนที่เกือบปกติ! หลักฐานหนึ่งเดียวที่สามารถพิสูจน์ว่าเมื่อคืนนางนอนหลับได้ไม่ดีนักก็คือทรงผมเหมือนรังนกบนศีรษะ
แสงยามอรุณสาดส่องเข้ามาในหน้าต่างรถ ซ่งชูอีจึงตื่นขึ้น พบว่าวิสัยทัศน์มืดมิด อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนยื่นมือปัดเส้นผมที่บังตาออก แล้วหันมองไปที่โต๊ะ
ซ่งชูอีมองหลงกู่ปู้วั่ง อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วเอ่ย “นั่นมันสีหน้าอะไรของเจ้า?”
“อาจารย์ ท่านคิดว่าตัวเองหลับเป็นอย่างไรบ้าง?” หลงกู่ปู้วั่งอดถามมิได้
ซ่งชูอีมองไปบนเตียง ขยี้หัวรังนกเล็กน้อย ปิดปากหาวหวอด ประเมินตนเองอย่างเที่ยงธรรม “น่าจะ…หลับไม่สนิทมาก ทว่าก็ไม่เลว อืม เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องนี้?”
ซ่งชูอีคิดในใจ หรือว่านางปล่อยให้เจ้าเด็กคนนี้เห็นการกระทำบางอย่างที่ไม่งาม?
“หากข้าพูดความจริง ท่านจะเคียดแค้นข้าหรือไม่?” หลงกู่ปู้วั่งลองถาม
ซ่งชูอีหรี่ตา ต้องการจะเอ่ยปาก พลันได้ยินหลงกู่ปู้วั่งพูดขึ้นทันควัน “การนอนของอาจารย์ชวนให้น่าอิจฉายิ่ง คุณภาพการนอนของข้านั้นแย่มาก ข้าต้องการจะถามอาจารย์ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถหลับสนิทเยี่ยงท่าน”
จ้องมองใบหน้าจริงใจของหลงกู่ปู้วั่ง ซ่งชูอีไอหนึ่งที เอ่ยด้วยความเคร่งขรึม “ต้องอ่านหนังสือปราชญ์เยอะๆ”
“ปู้วั่งเข้าใจแล้ว” ใบหน้าของหลงกู่ปู้วั่งแดงระเรื่อเล็กน้อย รีบเคาะกำแพงรถ “หยุดรถ หยุดรถ ข้าต้องการปล่อยเบา”
รถม้าหยุดลง หลงกู่ปู้วั่งพุ่งตัวออกไป
ใบหน้าของซ่งชูอีมืดมน คาดเดาอยู่ในใจ หรือว่าข้านอนได้แย่มากจริงๆ?
คิดไปคิดมา ซ่งชูอีสรุปว่าเพราะถนนเป็นหลุมบ่อ จึงนอนหลับไม่สนิทนัก นางหยิบหวีออกมาจากกล่องข้างโต๊ะ เริ่มดึงผมที่ยุ่งเหยิงด้วยความยากลำบาก
หลังจากใช้แรงพอๆ กับวัวเก้าตัวกับเสืออีกสองตัวมารวมกันก็สามารถทำผมมวยด้านบนศีรษะได้ หลายวันนี้ซ่งชูอีไม่ได้เรียกสาวใช้ให้มาหวีผมให้นางอีก เพราะว่าวันก่อนที่ส่องกระจก จู่ๆ ก็พบว่านางยิ่งเหมือนผู้หญิงมากขึ้นทุกทีเวลาที่ปล่อยผม เกรงว่าแม้นจะเสแสร้งเป็นเด็กหนุ่มก็อาจจะถูกจับได้ในอีกไม่นาน
บางคราวความแตกต่างระหว่างเด็กหนุ่มและเด็กสาวมีไม่มากนัก ทว่าความแตกต่างระหว่างพวกเขาใช่ว่ามีเพียงแค่เสื้อผ้าหรือท่าทางของเพศชายก็สามารถตบตาผู้คนได้
ตอนนี้นางอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ของเพศหญิง ซึ่งเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว…
หลังจากซ่งชูอีล้างหน้าและทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนหยิบยาขวดนั้นออกมาจากทรวงอก เทยาเม็ดหนึ่งออกมาแล้วใส่ลงไปในน้ำ
“ท่าน” สิ้นเสียงจี๋วอี่ ซ่งชูอีก็ได้ยินเสียงควบม้าที่ดังดุจกลองสงคราม
ซ่งชูอีเก็บขวดยา เลิกผ้าม่านมองออกไปด้านนอก
กองทหารในชุดเกราะสีดำกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามา เกือกม้าทำให้หิมะที่ทับถมอยู่บนพื้นฟุ้งกระจาย หมอกหนานั้นตัดกับสีดำชัดเจน งดงามมากทีเดียว
พวกเขาลดความเร็วลงขณะที่ใกล้จะถึงขบวนรถ ทหารสามนายขี่ม้าออกมาและมาถึงข้างหน้าต่างในชั่วพริบตา
ในเวลานี้ซ่งชูอีจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ที่นำกองทหารมาก็คือท่านแม่ทัพในชุดเกราะสีดำคนนั้น ขนสุนัขจิ้งจอกรอบคำบดบังใบหน้าเสียครึ่งหนึ่ง ทว่าคิ้วตาคู่นั้นทำให้รู้ในทันทีว่าเขาคือฉินกงอิ๋งซื่อ
“ข้าคือท่านแม่ทัพฉิน นามว่าซือหม่าชั่ว มาน้อมส่งท่าน” อิ๋งซื่อกล่าวเสียงสูง
รถม้าค่อยๆ หยุดลง ซ่งชูอีรีบลงจากรถค้อมคำนับอิ๋งซื่อ แม้นนางรู้สึกว่าอิ๋งซื่อจะมองตนด้วยความเคารพ ทว่าไม่เคยคิดเลยว่าเขาในฐานะจวินองค์หนึ่งจะมาส่งด้วยตัวเอง นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งอย่างแท้จริง
“ท่านแม่ทัพมาส่งด้วยตัวเอง หวยจินปลาบปลื้มใจยิ่งนัก” ซ่งชูอีเอ่ย
อิ๋งซื่อนั่งอยู่บนหลังม้า ดวงตาเย็นชาที่สะท้อนแสงหิมะมองนางด้วยรอยยิ้ม “บุรุษยินดีอุทิศตนเพื่อผู้ที่ชื่นชมและเข้าใจตนเอง ข้าเพียงมาลาเท่านั้นซึ่งท่านคู่ควรกับมันอยู่แล้ว”
เขาพูดพลางหมุนตัวลงจากม้า ยกมือสั่งให้คนนำกล่องสองใบเข้ามา “น้ำใจเล็กน้อย ท่านจำต้องเดินทางไกลเช่นนี้ การเตรียมตัวเพิ่มเติมเป็นสิ่งที่สมควร ข้าตั้งใจมอบให้ท่าน หวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธ”
ไหนๆ ก็พูดถึงขนาดนี้แล้ว หากปฏิเสธอีกก็จะเป็นการเสียมารยาท ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความชื่นบาน “เช่นนั้น หวยจินขอบคุณท่านแม่ทัพแล้ว!”
……………………………