กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 92 สัตว์เลี้ยงของอ๋ององค์ก่อน
บทที่ 92 สัตว์เลี้ยงของอ๋ององค์ก่อน
Ink Stone_Romance
หลังจากที่ขบวนรถเข้ามาในรัฐเจ้าแล้ว ก็เข้าสู่นครใหญ่เพียงนครเดียวที่อยู่ระหว่างทาง ทว่าทุกครั้งที่ซ่งชูอีเข้าใกล้นครใหญ่ ก็จะสั่งคนเข้าเมืองไปแอบสืบสถานการณ์ระส่ำระส่ายของรัฐเจ้า แต่กลับรู้เพียงภาพรวมเท่านั้น
รัฐเจ้ามีชายแดนติดกับรัฐฉิน บวกกับความโกลาหลภายใน สถานการณ์เฉพาะเจาะจงเป็นเยี่ยงไรนั้นบัดนี้ยากที่จะรู้แน่ชัด ฉะนั้นซ่งชูอีจึงต้องกระทำการทุกอย่างด้วยความระมัดระวังกว่าในรัฐฉินมาก อาศัยช่วงที่เพิ่งจะหยุดพัก ซ่งชูอีสั่งให้
จี้ฮ่วนและจี๋อวี่ไปสืบสถานการณ์เจาะจงของรัฐเจ้าอีกครั้ง
“องค์ชายฟ่านก่อกบฏ ได้ยินว่ารวบรวมทหารแสนนายเพื่อยึดครองอู่อาน เผชิญหน้ากับหานตาน สงครามภายในของรัฐเจ้ากำลังจะเริ่มขึ้นและทุกคนในเมืองล้วนตกอยู่ในอันตราย” จี๋อวี่มิได้ออกไปนานนัก แต่สามารถสืบรู้ข่าวพวกนี้แล้วนับว่าไม่ง่ายแล้ว
“องค์ชายฟ่าน? ทหารแสนนาย?” ซ่งชูอีประหลาดใจ นางจำได้ว่าโลกก่อนแม้องค์ชายฟ่านจะก่อกบฏ ทว่ามิได้มีกำลังคนมากมายเพียงนี้ อีกทั้งสงครามยังพลังทลายลง และอันที่จริงมันไม่ได้มีภัยคุกคามต่อราชวงศ์เจ้าตั้งแต่แรก “มารดาขององค์ชายฟ่านสถานะต่ำต้อย ตัวเขาเองก็มิได้มีชื่อเสียง เหตุใดจึงสามารถรวบรวมกองทหารได้ถึงแสนนาย?”
สำหรับรัฐเจ้าแล้ว นายทหารแสนนายนั้นไม่นับว่ามาก ทว่านี่อยู่ใกล้กับหวังเฉิงเชียวนะ! เจ้าโหวก็ไม่ได้ตาบอด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอนุญาตให้เขาระดมกองกำลังประจำการที่ชายแดน ซ่งชูอีเดาว่ากองทหารรักษาการณ์ในหานตานจะต้องมีกบฏจำนวนมากแน่ๆ
อย่างไรก็ดีในฐานะองค์ชายอ่อนแอและไร้การสนับสนุนของมารดาผู้มีเชื้อสายราชวงศ์ แม้นมีเล่ห์กลเก่งกาจทว่าก็ไม่ต่างจากโลกก่อน การมีกำลังห้าหกหมื่นคนก็เยี่ยมยอดแล้ว เขาจะสามารถปลุกระดมให้กองทหารรักษาการณ์ก่อกบฏได้
เยี่ยงไรกัน?
ซ่งชูอีสับสนเล็กน้อย ความคืบหน้าของความเป็นจริงกับเหตุการณ์ในความทรงจำของนางเปลี่ยนไปในแต่ละครั้ง นางยากที่จะรับได้ในตอนนี้
นางมิได้กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ แต่หากโลกใบนี้ไม่ใช่โลกก่อนอีกต่อไป เช่นนั้นหมิ่นฉือยังเป็นหมิ่นฉือคนก่อนหรือไม่? หากไม่ใช่ แล้วนางจะเอาความเคียดแค้นไปไว้ที่ใด?
“หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านถึงยังคงแสดงตัวตนในเวลานี้?” จี๋อวี่เข้าใจดี หากรัฐเจ้าหยุดชะงักเช่นนี้ไปอีกวัน พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสหว่านล้อมให้เจ้าโหวบุกโจมตีเว่ย ไฟไหม้ในลานบ้านตัวเองแล้วยังจะมัวไปแย่งทรัพย์สินจากเพื่อนบ้านอีกหรือ?
“หากพูดให้ไม่น่าฟัง รัฐเว่ย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดสำหรับรัฐเจ้า ต่อให้ไร้ความยุ่งเหยิงภายใน หากเจ้าโหวอารมณ์ไม่ดีก็สามารถเพิกเฉยได้เป็นเวลาหนึ่งหรือสองเดือน ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งความวิตกกังวลอันรุนแรงนี้ เจ้าโหวจะมีกะใจพบพวกเราหรือ?”
ซ่งชูอีพูดต่อ “อีกอย่าง ในเวลานี้รัฐเจ้ายังมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าคลี่คลายกบฏอีกเล่า? ยังมีเรื่องใดที่คู่ควรแก่ความสนใจของเหล่าขุนนางได้ยิ่งกว่า?”
ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว รัฐเว่ย์เป็นรัฐเล็กจ้อย ความขัดแย้งภายในกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ สังคมทุกระดับจำต้องอุทิศความพยายามทั้งหมดไปกับความไม่สงบภายในนี้ และเกรงว่ารัฐอื่นโดยรอบกำลังคาดหวังการต่อสู้โดยเร็วที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสปล้น
หากเทียบกันแล้ว ข่าวการมาเยือนของราชทูตจากรัฐเล็กและไม่สำคัญนี้ดูเหมือนไร้ค่าอย่างเห็นได้ชัด หรือแม้กระทั่งถูกปล่อยให้จมอยู่ในเปลวเพลิงแห่งสงคราม
อีกอย่างหากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ที่นี่ก็ปลอดภัยยิ่ง ดีกว่าเป็นปลาติดร่างแหอยู่ข้างนอก และยังได้กินอาหารคนอื่นดื่มน้ำคนอื่น สบายใจเหลือเกิน ข้อเสียอย่างเดียวคือไม่สามารถสืบข่าวได้สะดวกนัก ทว่าซ่งชูอีก็ไม่กลัว กำแพงที่มนุษย์เป็นผู้สร้างยังมีช่องโหว่ นับประสาอะไรกับสถานการณ์ที่วุ่นวายเยี่ยงนี้
“สังเกตการณ์สักวันสองวัน มันจะเป็นปัญหามากกว่าหากนิ่งเฉยตลอดเวลาและไม่สู้รบกัน” ซ่งชูอีคาดเดาว่าความขัดแย้งจะไม่กินเวลานานจนเกินไป องค์ชายฟ่านผู้ก่อกบฏกุมอำนาจที่อาจคุกคามบัลลังก์ จะไม่พิชิตเมืองหวังเฉิงในคราเดียวได้เยี่ยงไร?
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ซ่งชูอีคิดไม่ตกก็คือ องค์ชายองค์นี้ใช้วิธีใดเพื่อให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนจากกองทหารหนึ่งแสนนาย? ตามความเข้าใจของซ่งชูอี พระมารดาของเจ้าฟ่านเป็นเพียงสาวในวังนางหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาที่มีความขัดแย้งซ้ำซากระหว่างรัฐเจ้าและรัฐเว่ยนั้น เว่ยอ๋องต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ จึงส่งราชทูตไปยังรัฐเจ้า นอกจากสิ่งของล้ำค่าและเงินทองเหลือคณานับแล้ว ยังส่งสาวงามเป็นจำนวนมาก พระมารดาของเจ้าฟ่านก็คือหนึ่งในนั้น
จนสาวในวังผู้นี้คลอดเจ้าฟ่านออกมาจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นชายา เรียกว่าสนมน้อยเว่ย จากนั้นก็ราวกับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นชายาอยู่เงียบๆ เป็นระยะเวลาห้าหกปี ต่อมาเมื่อล้มป่วยก็ไม่ได้รับความเอ็นดูมากมายอีก ส่วนเจ้าฟ่านก็มิใช่ลูกรักของเจ้าจิ้งโหว
“อวี่ หลายวันนี้เจ้าลอบสืบให้ที ว่าเหตุใดองค์ชายฟ่านจึงโจมตีหวังเฉิง” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ” จี๋อวี่รับคำหนึ่งก็ถอยออกไป
หิมะเบาบางโปรยปรายอยู่ในพระราชวังเจ้า
ท้องพระโรงกว้างใหญ่ ขุนนางและทหารนั่งเต็มราชสำนัก บรรยากาศตึงเครียด
ชายวัยกลางคนในชุดจีนที่นั่งอยู่พระที่นั่งหลักยกมือขึ้น ทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างแรง เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว
“พูดมาสิ! ปกติพูดจาเก่งนักมิใช่หรือ?” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย
หลังจากความเงียบงันครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มีขุนนางขยับตัว เอ่ยด้วยความระมัดระวัง “ทหารรักษาการณ์มีเพียงหกหมื่นกว่านายเท่านั้น ทว่ากำแพงเมืองสูงใหญ่แข็งแรง สามารถต้านทานได้หลายวันแน่ ฝ่าบาทสามารถระดมกำลังทหารที่ประจำอยู่ใกล้ๆ ได้ทันที…”
“มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร!” ท่านแม่ทัพนายหนึ่งคัดค้านทันควัน “พวกเขาล้วนเป็นกองทหารป้องกันชายแดน ทันทีที่ทิ้งฐานประจำการฉีกับเว่ยก็ไม่ฉวยโอกาสโจมตีหรอกหรือ? เว่ยอ๋องผู้นี้มีความทะเยอทะยาน หากเขาอาศัยช่วงที่กำลังวุ่นวายบุกเข้ามา ถึงตอนนั้นรัฐเจ้าก็จะเผชิญกับวิกฤติจริงๆ!”
“แม้นจะกล่าวเยี่ยงนั้น ทว่าครั้นนครหลวงถูกยึดครอง อำนาจของรัฐก็จะเปลี่ยนมือทันที!” ขุนนางผู้นั้นกล่าว
“กองทหารย่อมมีวิธี! ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทั้งหมด แม้นข้าน้อยมิได้เก่งกาจเช่นซุนปิ้น แต่ก็สามารถรักษานครหลวงให้ปลอดภัยได้!” ท่านแม่ทัพกล่าวทุกคำอย่างทรงพลัง
“เยี่ยม!” เจ้าโหวปรบมือ “ท่านแม่ทัพช่างสมกับที่เป็นเสาหลักให้รัฐเจ้าของข้า!”
“เลิกประชุม ท่านแม่ทัพไปปรับใช้การป้องกัน” เจ้าโหวพูดจบ ก็หันมากล่าวกับขุนนางข้างหน้า “ท่านมหาเสนาบดีก็ตามกว่าเหรินมาคุยงานที่หออักษรเถิด”
มหาเสนาบดีที่สีหน้าเรียบเฉยตลอดเวลายืดตัวตรงพร้อมประสานมือคำนับ “กระหม่อมรับด้วยเกล้า”
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง” ท่านแม่ทัพถวายคำนับ
แม้นมีราชโองการลงไปแล้ว ทว่าในใจของเจ้าโหวกลับไม่รู้สึกสงบเลยแม้แต่น้อย เขาขมวดคิ้วก้าวเท้ายาวๆ เข้าหออักษรไป เพิ่งจะนั่งลงก็มีขันทีมาถวายรายงาน “ฝ่าบาท ราชทูตรัฐเว่ย์มาถึงแล้วพะย่ะค่ะ”
“รัฐเว่ย์?” เจ้าโหวรับน้ำชาที่สาวใช้ยื่นมาให้ จิบคำหนึ่ง “นครหลวงอยู่ในอันตราย กว่าเหรินจะมีเวลาว่างฟังพวกเขาร้องไห้คร่ำครวญได้เยี่ยงไร ให้รอไปก่อน”
การที่เจ้าโหวบอกว่าร้องไห้คร่ำครวญ เพราะว่าในตอนแรก เว่ย์โหวฟังแผนการของซ่งชูอีแล้วก็ส่งคนมาร้องเรียนกับเจ้าโหว คาดว่าราชทูตผู้นั้นมิได้มีประสบการณ์ในการร้องเรียนมากนัก ทำเอาเจ้าโหวปวดเศียรเวียนเกล้า จึงมีรับสั่งให้คนไล่เขาออกไปแล้ว เขานึกว่าเป็นเพราะเว่ย์โหวมิได้คำตอบ จึงตั้งใจส่งคนมาร้องเรียนอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดว่ารัฐเว่ย์เล็กๆ จะมีอนาคตยิ่งใหญ่อะไรอยู่แล้ว
“พะย่ะค่ะ” หลังจากขันทีถอยออกไปแล้ว ก็เชิญมหาเสนาบดีเข้ามา
“ท่านมหาเสนาบดีรีบนั่งเถิด” เจ้าโหวยืดตัวตรง ท่าทางนอบน้อมเป็นอย่างมาก
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” มหาเสนาบดีกลับมิได้เพิกเฉย หลังจากค้อมคำนับแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อก่อนคุกเข่าลงบนที่นั่ง
เจ้าโหวกล่าวอย่างหมดความอดทน “ไม่ทราบว่าท่านมหาเสนาบดีมีวิธีคลี่คลายวิกฤตนี้หรือไม่?”
เจ้าโหวไว้ใจชายชราผู้มีสีหน้าเฉยเมยตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง ตอนนั้นพระราชบิดาของเจ้าโหวหลงรักสาวชาวหลี่ว์นางหนึ่ง สาวผู้นั้นมีสถานะสูงศักดิ์ รูปโฉมงดงามหาได้ยากยิ่ง ขณะนั้นเขาอายุสิบแปดสิบเก้าและมีภรรยาแล้ว อีกทั้งมีนางสนมมากมาย ทว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าบนโลกใบนี้จะมีผู้หญิงงดงามสูงส่งถึงเพียงนี้
สาวหลี่ว์ผู้นี้ได้รับความรักความเอ็นดูจากเจ้าจิ้งโหวตามคาด อีกทั้งความรักนี้ไม่นานก็มาถึงจุดสูงสุด เจ้าจิ้งโหวแม้กระทั่งเรียกนางว่าเจ้าจางจีด้วยซ้ำ
นามเดิมของเจ้าจิ้งโหวคือเจ้าจาง ความหมายของเจ้าจางจีก็หมายถึงผู้หญิงของเจ้าจาง จากนั้นเจ้าจางจีตั้งครรภ์และคลอดทารกเพศชายคนหนึ่ง เมื่อทารกชายอายุได้สี่ขวบ ก็เห็นได้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาสืบทอดข้อดีมาจากเจ้าจางจีอย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นผู้ที่มีหน้าตาดีที่สุดในบรรดาโอรสของเจ้าจิ้งโหว
เจ้าจิ้งโหวยินดียิ่ง ตั้งชื่อให้ว่าเค่อ อีกทั้งยังขอขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นการส่วนตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ปรารถนาให้องค์ชายเค่อขึ้นเป็นจู่จวิน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มหาเสนาบดีท่านนี้เสี่ยงอันตรายโต้เถียงกับเจ้าจิ้งโหวจนหน้าดำหน้าแดงอยู่หลายครั้งเพื่อปกป้องราชบัลลังก์ให้พระโอรสคนโต แม้กระทั่งตอนนี้ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเขาด้วยกองกำลังทหาร
……………………………