กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1009
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1009
อะไรนะ?
กู้ชูหน่วนคิดไม่ทันว่าเยี่ยจิ่งหานต้องการจะสื่ออะไร?
“เอ่อ…..ตอนที่เหวินเส่าอี๋อยู่ในครรภ์ก็ได้หมายหมั้นการแต่งงานนี้กับรัฐปิงแล้ว ไม่ว่าใครได้เป็นจักรพรรดินีก็จำเป็นต้องแต่งงานกับเหวินเส่าอี๋”
กู้ชูหน่วนอยากจะบอกว่านี่เป็นสัญญาที่ตกลงกับไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน และนางเองก็ยังไม่เกิดมาเลย จะมาโทษนางไม่ได้
เยี่ยจิ่งหานไม่พูดอะไร ทว่ากลับจับจ้องนางราวกับศัตรู
เป็นเวลานานกว่าที่กู้ชูหน่วนจะดึงสติได้
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากแต่งงาน บังเอิญมากข้าก็ไม่อยากแต่งงานเช่นกัน เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าจะออกราชโองการสัญญาหย่าร้างของเราสองคน และต่อไปก็แยกทางกันอยู่อย่างอิสระ”
เยี่ยจิ่งหานหัวเราะเยาะ “ฮึ เช่นนั้นก็หมายความว่าข้าถูกเจ้าบอกเลิกอย่างนั้นหรือ”
“การหย่าร้างไม่ได้หมายถึงการบอกเลิกกระมัง”
“ตอนนี้เจ้าเป็นถึงจักรพรรดินี ไม่ใช่เจ้าบอกเลิกหรือเจ้าคิดว่าเป็นข้าบอกเลิกอย่างนั้นหรือ?”
“เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนเขียนสัญญาการหย่าร้าง เขียนว่าเจ้าบอกเลิกข้า เช่นนี้เจ้าจะได้ไม่เสียหน้า”
“เจ้าคิดว่าคนอื่นโง่อย่างนั้นหรือ? กุ้ยเหรินมีหรือจะสามารถบอกเลิกจักรพรรดินีได้?”
“เช่นนั้นเจ้าก็เป็นกุ้ยเหรินต่อไป รอให้บาดแผลที่ขาของเจ้าหายดีแล้วค่อยหาโอกาสออกไปจากวังหลวง เพื่อไปใช้ชีวิตตามที่เจ้าต้องการ”
“เช่นนั้นทุกคนจะต้องรู้ว่าข้าเป็นกุ้ยเหรินในวังหลังของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นไร?”
“ฮึ ข้าเป็นถึงท่านอ๋องแห่งรัฐเยี่ย แต่กลับเป็นได้เพียงกุ้ยเหรินอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนกลอกตามองบน
เจ้าคิดอยากจะเลื่อนตำแหน่งเจ้าก็พูดมาตามตรงสิ
พูดให้มากความไปเพื่ออะไร
“ตำแหน่งกุ้ยจวินยังว่างอยู่สี่ตำแหน่ง ข้าเลื่อนขั้นให้เจ้าเป็นกุ้ยจวินดีหรือไม่”
“ไม่ได้”
“หวงกุ้ยจวินล่ะ?”
“ไม่ได้เช่นกัน”
“หวงกุ้ยจวินเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดรองลงมาจากพระสวามีแล้วนะ”
“เจ้าคิดว่ามีตรงไหนที่ข้าสู้เหวินเส่าอี๋ไม่ได้”
กู้ชูหน่วนเหลือบมองขาที่พิการทั้งสองข้างของเขาอย่างอดไม่ได้
และการแสดงออกนี้ทำให้เยี่ยจิ่งหานโกรธเคืองอย่างมาก
ผู้หญิงคนนี้ แต่งงานกับคนคนเดียวก็พอแล้ว ทว่านางกลับแต่งงานถึงสามคนในวันเดียว
แถมยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาอีกด้วย
และที่น่าแปลกที่สุดคือ เขาเป็นถึงเทพแห่งสงคราม ทว่ากลับเป็นได้เพียงกุ้ยเหริน?
และเหวินเส่าอี๋กลับได้เป็นถึงพระสวามีที่สูงส่ง
กู้ชูหน่วนรีบเปลี่ยนประเด็น “ที่แท้เจ้าก็ต้องการเป็นพระสวามี เสี่ยวเยี่ยเยี่ย ข้ากลับไม่รู้ว่าเสน่ห์ของข้าจะเย้ายวนเจ้าเช่นนี้ ทำให้เจ้าเอาแต่คิดถึงคะนึงหาข้าเช่นนี้”
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า ใครอยากเป็นพระสวามีของเจ้า?”
“เมื่อสักครู่เจ้าไม่ได้หมายความเช่นนี้หรอกหรือ?”
“ฮึ เจ้าน่ะหรือ คนที่มีพฤติกรรมหยาบคายและหน้าตาอัปลักษณ์อย่างเจ้า ข้าไม่มีทางตาบอดยอมไปแต่งงานด้วยอย่างแน่นอน”
“เจ้าจำคำพูดวันนี้ของเจ้าให้ดีเถอะ แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังเพื่อขอร้องให้ข้าแต่งงานกับเจ้า”
พฤติกรรมหยาบคายอะไร?
หน้าตาอัปลักษณ์อะไร?
รูปลักษณ์ของนางเช่นนี้ ในรัฐปิงแล้วจะมีใครเทียบได้กับนางอีก?
เขาไม่เพียงแค่พิการขาทั้งสองข้าง ทว่ากลับตาบอดอีกด้วย
“คิดจะเป็นภรรยาของข้า ฝันไปเสียเถอะ”
“วางใจได้ ต่อให้ผู้ชายทั้งโลกจะตายไปจนหมด ข้าก็ไม่มีวันแต่งงานกับเจ้าอย่างแน่นอน”
กู้ชูหน่วนจับมืออาม่อและพาเขาออกไป
ทว่าใครจะไปรู้ว่าเยี่ยจิ่งหานได้เข้ามาสกัดกั้นอีกครั้ง
“หย่าร้างเจ้าไม่ต้องการ เลื่อนขั้นเจ้าก็ไม่ต้องการ เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“วันนี้พาข้ากลับไปที่เผ่าเพลิงฟ้าด้วย”
“…….”
“เจ้ากับเหวินเส่าอี๋เป็นศัตรูต่อกันไม่ใช่หรือ? เจ้าไปเผ่าเพลิงฟ้า เจ้าไม่กลัวจะถูกคนของเผ่าเพลิงฟ้าถลกหนังหรอกหรือ?”
“นั่นเป็นเรื่องของข้า”
“บอกเหตุผลข้ามา ไม่เช่นนั้นก็อย่าคิดจะได้ไปเลย”
“ไม่มีเหตุผล ก็แค่รู้สึกคันมือเท่านั้น หากเจ้าไม่พาข้าไป ข้าอาจทำลายวังหลังของเจ้าก็ได้”
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยจิ่งหานเงยหน้าขึ้นและสบตากับกู้ชูหน่วน และเจตนาตักเตือนในแววตาของเขาก็เผยออกมาอย่างไม่อาจปกปิดได้
กู้ชูหน่วนเคาะโต๊ะเสียงดัง
จากนั้นก็พูดขึ้นมา “เจ้าติดค้างบุญคุณข้าหนึ่งเรื่อง”
นางไม่ได้โง่หรอกนะ มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าเยี่ยจิ่งหานไปที่เผ่าเพลิงฟ้าเพื่อต้องการไปตรวจสอบประวัติความเป็นของเหวินเส่าอี๋
และที่นางช่วยเขาก็เพียงเพราะเขาเคยเสียสละช่วยชีวิตนางไว้
ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณแล้วกัน
ซือม่อเฟยจับมือของกู้ชูหน่วนแน่นและเดินออกไปพร้อมกัน
“ท่านพี่หญิงจะพาพี่เยี่ยไปที่บ้านของพี่เหวินใช่หรือไม่?”
“อืม”
พี่เยี่ย? พี่เหวิน?
เขาช่างเรียกได้ไม่อายปาก แถมยังฟังดูสนิทสนมอย่างมาก
แต่คนอื่นกลับไม่คิดจะรู้สึกดีกับเขาเลยสักนิด
“เช่นนั้นท่านพี่พาข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าก็อยากไปด้วยเช่นกัน”
“เผ่าเพลิงฟ้ามีดีอะไร เจ้าอยู่เล่นกับพวกเจ้าเสือน้อยที่วังหลวงสบายกว่าเสียอีก”
หากไม่ใช่เพราะต้องการไปขูดรีดเงินจากเผ่าเพลิงฟ้ามาสักเล็กน้อยละก็ นางไม่มีทางไปเผ่าเพลิงฟ้าอย่างแน่นอน
“ท่านพี่หญิง ข้าก็อยากไปด้วยเช่นกัน ท่านพี่หญิงพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ วันๆ เอาแต่อยู่ในวังหลวง ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“ก็ได้ๆ ไปด้วยกันก็ได้”
“ขอบคุณท่านพี่หญิง”
ซือม่อเฟยยิ้มและดอกไม้ทั้งสวนก็เบ่งบานออกมาอย่างท่วมท้น
กู้ชูหน่วนลูบศีรษะของเขาและเตรียมจะไปเปลี่ยนชุดเพื่อเดินทางไปเผ่าเพลิงฟ้า
ทว่านางกลับเห็นซือม่อเฟยหยิบขวานขึ้นมาจากมุมหนึ่งของวังหลวง และแสดงท่าทางจะตัดต้นไม้ในวังหลวงเป็นครั้งคราว จากนั้นใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนหวาน
เมื่อกู้ชูหน่วนเห็นขวานนั้นก็เปลี่ยนไปทันที
นางวิ่งเข้าไปและแย่งขวานนั้นมาจากซือม่อเฟย
“คอขวานผานกู่ อาม่อ เจ้าเอาขวานผานกู่นี้มาจากที่ใด?”
“ท่านพี่หญิงชอบขวานนี้หรือ? อาม่อก็ชอบเช่นกัน ข้ามักคิดเสมอว่าขวานนี้จะต้องมีพลังวิเศษบางอย่างอยู่ หากท่านพี่หญิงชอบข้าจะมอบให้ท่านพี่หญิง”
“ข้าถามเจ้าว่าเจ้าเอาขวานนี้มาจากไหน?”
“เก็บมาได้ ก่อนหน้านี้ที่ออกไปตามหายาสมุนไพรกับเจ้าเสือน้อย เพื่อมารักษาให้พี่เยี่ยและพี่เหวิน จากนั้นก็ไปพบเข้าที่ริมแม่น้ำ เจ้าเสือน้อยอยากได้ แต่ข้าไม่ให้ ข้าชอบขวานด้ามนี้ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถหายาสมุนไพรชั้นสูงมาได้ โชคดีที่พี่เยี่ยและพี่เหวินต่างก็อาการดีขึ้นมากแล้ว”
มีหรือที่กู้ชูหน่วนจะตั้งใจฟังว่าซือม่อเฟยพูดอะไร
อารมณ์ของนางพลุ่งพล่านและตื่นเต้น และคลื่นแห่งความหวังก็เพิ่มขึ้นอย่างแผ่วเบา
“อยู่ในแม่น้ำที่ใด? รีบพาข้าไปเดี๋ยวนี้”
“อ๋า…..สนุกมากเลย อยู่นอกวังหลวง”
“ส่งคนมาที่นี่ เตรียมรถม้า เอารถม้าที่เร็วที่สุด ข้าและอาม่อจะออกไปนอกวังหลวง”
“ฝ่าบาท วันนี้ฝ่าบาทต้องกลับไปที่บ้านของพระสวามี และตอนนี้ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว ฝ่าบาท…..”
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าอย่างนั้นหรือ”
“ข้าน้อยไม่กล้า ข้าน้อยจะรีบไปเตรียมการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชูหน่วนไม่สนใจเรื่องการเปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบเดินทางออกจากวังหลวงไปพร้อมกับซือม่อเฟยและทหารองครักษ์
ในหุบเขาที่ชานเมืองหลวง ซือม่อเฟยชี้ไปที่แม่น้ำในหุบเขา “นั่นไง ข้าเก็บได้จากที่นี่”
กู้ชูหน่วนมองไปรอบๆ และเห็นว่าเหนือแม่น้ำเป็นหน้าผาล้อมรอบด้วยภูเขาลึกและป่าไม้เก่าแก่ไม่มีที่อยู่อาศัยของมนุษย์
แม่น้ำไม่ใหญ่มาก แต่น้ำไหลเร็วและลึกมาก และมีกระแสน้ำวนในแม่น้ำที่หมุนอยู่ตลอดเวลา
ที่นี่ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
กู้ชูหน่วนตามหาตามแม่น้ำ แต่ไม่พบเซี่ยวอวี่เซวียน
“ท่านพี่หญิง ท่านกำลังตามหาขวานด้ามอื่นใช่หรือไม่? ตอนนั้นอาม่อก็คิดว่ายังมีขวานอีก แต่หาอยู่นานก็กลับไม่พบว่ามีขวานด้ามที่สองปรากฏ”
กู้ชูหน่วนชี้ไปยังทหารองครักษ์ “พวกเจ้าแบ่งกำลังออกเป็นสองกลุ่มและพยายามมองหาร่องรอยเบาะแสของเซี่ยวอวี่เซวียนตามแม่น้ำข้างล่าง”
“ส่วนพวกเจ้าว่ายน้ำขึ้นไปค้นหาบริเวณต้นน้ำและถามหมู่บ้านใกล้เคียงทีละหมู่บ้านว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาหรือไม่ จำไว้ว่าทันทีที่พบผู้ต้องสงสัยให้รีบรายงานข้าทันที ห้ามละเลยทุกซอกทุกมุม เขาอาจจะได้รับบาดเจ็บ”
“กาวกงกง เจ้ารีบส่งกองกำลังทหารองครักษ์มาอีกหนึ่งหน่วย เพื่อตรวจสอบว่ามีใครอยู่ใต้แม่น้ำหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชูหน่วนมองไปยังหน้าผาด้านบน