กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1012
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1012
กู้ชูหน่วนหัวเราะอย่างชอบใจและพูดจาหยอกล้อ “วางใจได้ เจ้าจะต้องพึงพอใจอย่างแน่นอน”
“เสี่ยวเยี่ยเยี่ย ขอเพียงแค่เจ้ายอมจ่าย ข้าก็จะทำให้เจ้าพึงพอใจด้วยเช่นกัน”
ฝูกวงดึงแขนเสื้อของกู้ชูหน่วนเพื่อเป็นการตักเตือน
“นายท่านพอได้แล้ว ตำแหน่งพระสวามีมีเพียงตำแหน่งเดียว ท่านจะทำให้พวกเขาทั้งสองพึงพอใจได้อย่างไร สองคนนี้ไม่ใช่จะมีเรื่องด้วยได้ที่ไหน”
“ออกไปซะ เจ้าคิดว่าข้ายอมคนอย่างนั้นหรือ”
ฝูกวงกลอกตาใส่นาง
หากรวมอำนาจของดินแดนเยี่ยอวี่เข้ามา ในพวกเขาสามนั้นละก็ แน่นอนว่านางเป็นคนที่มีเรื่องได้มากที่สุด
กู้ชูหน่วนจ้องฝูกวงตาเขม็งเพื่อส่งสัญญาณให้เขาหยุดพูดและตัวเองก็ยิ้มออกมา “เป็นอย่างไรบ้างเสี่ยวเยี่ยเยี่ย คิดออกหรือยัง? ตำแหน่งพระสวามีถือเป็นตำแหน่งที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น หากเจ้าได้เป็นพระสวามี เช่นนั้นเจ้าก็จะได้เป็นหัวหน้าในวังหลัง ทุกคนต่างก็ต้องเชื่อฟังเจ้า”
เยี่ยจิ่งหานมองไปยังเหวินเส่าอี๋และครุ่นคิดอยู่นาน ขณะเดียวกันก็ลูบขลุ่ยหยกขาวและกล่าวออกมา “ได้ ตามที่เจ้าพูดมาห้าสิบล้านตำลึงซื้อตำแหน่งพระสวามี ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทำให้พวกข้าพึงพอใจอย่างไร”
“เสี่ยวเยี่ยเยี่ย เจ้าจะจ่ายเงินอย่างไร?”
เยี่ยจิ่งหานยกมุมปากขึ้น
นางต้องรีบร้อนเช่นนี้เลยหรือ?
“เงินห้าสิบล้านตำลึงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาสิบวัน ข้าจำเป็นต้องให้คนรวบรวมมาให้ครบ”
“แค่ห้าสิบล้านตำลึงเอง ไม่ได้เยอะอะไรเลย สิบวันมากเกินไป ครึ่งวันได้หรือไม่ หรือไม่ก็หนึ่งวัน หนึ่งวันได้หรือไม่?”
ภัยพิบัติเป็นเรื่องเร่งด่วน
นางแทบไม่อยากรอต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว
ยิ่งรอนานกว่านี้ก็ไม่รู้ว่าราษฎรต้องล้มตายลงอีกกี่คน
เยี่ยจิ่งหานถามย้ำ
“วันเดียว?”
ครั้งนี้แม้แต่ลั่วอิ่งก็ทนดูต่อไปไม่ได้
หากอยู่ที่ดินแดนเยี่ยอวี่ เงินเพียงห้าสิบล้านตำลึงไม่ได้มีผลอะไรกับเยี่ยจิ่งหานสักนิดเดียว
แต่ที่นี่คือดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง คือสถานที่ของคนอื่น
“ใช่ วันเดียว หากเจ้านำมาจ่ายภายในหนึ่งวัน ข้าก็จะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระสวามีโดยไม่ผิดคำพูด”
เยี่ยจิ่งหานรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเยี่ยจิ่งหานที่แอบอยู่แทบเป็นลมหมดสติ
หาเงินห้าสิบล้านตำลึงให้ได้ภายในหนึ่งวัน?
เยอะเกินไปหรือเปล่า
กู้ชูหน่วนตะโกนออกมาอย่างดีใจ “ได้ยินแล้วใช่ไหม เยี่ยกุ้ยเหรินจะใช้ทองคำห้าสิบล้านตำลึงในการซื้อตำแหน่งพระสวามี จำเอาไว้ดีดีล่ะ ประเดี๋ยวอย่าลืมสั่งให้คนไปแบกทองคำของเขากลับมา”
ซี๊ด……
ฝูกวงลั่วอิ่งแทบล้มทั้งยืน
เยี่ยจิ่งหานตกตะลึง
เหวินเส่าอี๋ก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน
ส่วนคนอื่นๆ ต่างทรุดลงกับพื้น
ทองคำ…..ห้าสิบล้านตำลึง?
พวกเขาฟังผิดไปหรือเปล่า
ไม่สิ ฝ่าบาทพูดผิดแล้ว
ต้องเป็นเพราะฝ่าบาทพูดผิดแน่ๆ
“เสี่ยวเยี่ยเยี่ย ถือว่าเจ้าร่ำรวยอย่างมาก ทองคำห้าสิบล้านตำลึง เจ้าคิดจะจ่ายก็จ่ายได้ง่ายๆ”
เยี่ยจิ่งหานกัดฟันกรอด “ข้าหมายถึงเงินห้าสิบล้านตำลึง”
“ไม่สิ เมื่อกี้เจ้าได้ตอบตกลงข้าแล้วว่าจะยอมจ่ายด้วยทองคำห้าสิบล้านตำลึงเพื่อซื้อตำแหน่งพระสวามี ทุกคนต่างก็ได้ยิน ฝูกวง ลั่วอิ่ง พวกเจ้าพูดสิว่าพวกเจ้าก็ได้ยิน”
กู้ชูหน่วนกะพริบตาส่งสัญญาณ
ฝูกวงกล่าวด้วยความลำบากใจ “เอ่อ…..ใช่ ได้ยิน…..ขอรับ”
เยี่ยจิ่งหานจ้องฝูกวงตาเขม็ง
คนทรยศ
เขาเป็นทหารอารักขาข้างกายของกู้ชูหน่วน ตอนนี้เขาคอยปกป้องคุ้มครองนาง แถมยังร่วมมือกับนางเพื่อรังแกเขา
อย่างน้อยเขาก็เป็นสามีของอาหน่วน เป็นเจ้านายของเขาเช่นกัน
“ลั่วอิ่ง เจ้าบอกไปสิว่าเจ้าก็ได้ยินด้วยเช่นกัน”
ลั่วอิ่งหันหน้าไปทางอื่น คำพูดเช่นนี้เขาไม่อยากพูดออกมา
กู้ชูหน่วนพูดออกมาอย่างไร้ยางอาย “ดูสิ ปัญหาง่ายดายเช่นนี้ ลั่วอิ่งยังไม่อยากจะตอบเลย”
“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทไม่ได้บอกว่าเป็นทองคำนี่นา”
ขันทีข้างกายของเยี่ยจิ่งหานพึมพำออกมา
กู้ชูหน่วนกล่าว “เช่นนั้นแล้วข้าได้พูดว่าเป็นเงินหรือ?”
“เอ่อ…..ไม่…..ไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ เสี่ยวเยี่ยเยี่ยจ่ายมาให้ข้าเถอะ”
เหวินเส่าอี๋มองหน้าที่บูดบึ้งของเยี่ยจิ่งหานและความเจ้าเล่ห์ของกู้ชูหน่วน จากนั้นก็สั่งให้คนยกเก้าอี้และเมล็ดแตงโมมา แล้วตัวเองก็นั่งลงแทะเมล็ดแตงโมและดูพวกเขาสองคน
กู้ชูหน่วนมองไปยังเยี่ยจิ่งหานและมองไปยังเหวินเส่าอี๋อย่างงุนงง
นี่มันอะไรกัน?
พวกเขาสองคน คนหนึ่งคือพระสวามี อีกคนหนึ่งคือกุ้ยเหรินและต่างก็นั่งลง
ทว่านางเป็นถึงจักรพรรดินีแต่กลับยืนอยู่ราวกับคนโง่ ใครเป็นจักรพรรดิกันแน่?
นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและชี้ขึ้นไป “ดูสิ ใกล้จะมืดแล้ว ข้าเกรงว่าวันนี้คงติดตามเจ้ากลับเผ่าเพลิงฟ้าไปด้วยไม่ได้แน่ พรุ่งนี้แล้วกัน ขอเพียงแค่พรุ่งนี้เจ้ายังเป็นพระสวามีของข้า ข้าก็จะติดตามเจ้ากลับไป แต่หากพนุ่งนี้เสี่ยวเยี่ยเยี่ยได้เป็นพระสวามีละก็ เช่นนั้นข้าก็จะพาเสี่ยวเยี่ยเยี่ยติดตามติดตามเจ้ากลับเผ่าเพลิงฟ้าไปด้วยตกลงไหม?”
เหวินเส่าอี๋ไม่ตอบโต้และยังคงแทะเมล็ดแตงโมต่อไป
เยี่ยจิ่งหานก็ไม่ตอบอะไรและยังคงลูบขลุ่ยหยกขาวที่อยู่ในมืออย่างเกียจคร้าน
ทำเหมือนกับว่านางเป็นตัวตลกยังไงยังงั้น
“ยืนมานานและพวกเจ้าต่างก็เหนื่อย ไม่เช่นนั้นแยกย้ายกลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะไปที่ตำหนักของพวกเจ้าเพื่อพูดคุยต่อ”
เหวินเส่าอี๋ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวออกมา “ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมจะรอฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ ดูว่าฝ่าบาทมีอะไรจะตรัสกับกระหม่อม”
ไม่พูดเปล่า เขายกชุดขึ้นและลุกขึ้นอย่างสง่างาม จากนั้นก็เดินไปทางตำหนักเฟิ่งหลวนอย่างเชื่องช้า
กู้ชูหน่วนคิดว่าเยี่ยจิ่งหานจะจัดการได้ยาก และคาดไม่ถึงว่าเยี่ยจิ่งหานได้สั่งให้คนเข็นรถเข็นออกไปและกล่าวเพียง “ข้าก็อยากจะรู้เช่นกันว่าฝ่าบาทมีอะไรจะพูดคุยกับข้า”
กู้ชูหน่วนปาดเหงื่อและนั่งลงยังเก้าอี้ที่เหวินเส่าอี๋นั่งลงเมื่อสักครู่อย่างเหนื่อยล้า
“เหตุใดการหาเงินเพียงเล็กน้อยถึงทำได้ยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้นะ”
ฝูกวงพึมพำ “เงินเพียงเล็กน้อยหรือ? นี่มันเยอะกว่าภูเขาเงินภูเขาทองเสียอีก”
ทองคำห้าสิบล้านตำลึงเชียวนะ นางพูดมาได้เช่นไร เขาไม่เห็นจะได้ยินเลย
“เฮ้อ ฝูกวง เจ้าเข้าข้างใครกันแน่? อย่าทำตัวเป็นคนหลายใจหน่อยเลย ข้าไม่อยากเลี้ยงคนทรยศเอาไว้”
“ข้าอยากจะเป็น แต่ก็ไม่มีโอกาสนั้น”
นายท่านยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย
หากนายท่านฟื้นชีพขึ้นมา ไม่ว่านางพูดอะไรเขาก็จะเข้าข้างนายท่านฝ่ายเดียว
“ไปกันเถอะ ไปที่ศาลาราตรีกัน”
กู้ชูหน่วนถอนหายใจ
เพียงแค่มีเงินตำลึง จะไปมัวสนใจเกียรติและศักดิ์ศรีอะไร
ภายในหอราตรี กู้ชูหน่วนได้พูดชื่นชมยกยอและชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้รู้ถึงประโยชน์ของการได้เป็นพระสวามีว่าดีมากแค่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไร พูดไปเท่าไรเยี่ยจิ่งหานก็ไม่ตอบอะไร
นางเหนื่อนจนดื่มน้ำชาไปหลายถ้วย
“เจ้าดูสิเจ้านั่งเหมือนกับพระพุทธรูปที่ขยับไม่ได้ เจ้าคิดอย่างไรกันแน่ จะซื้อหรือไม่ซื้อ”
“ซื้อ แต่ข้ามีข้อแม้อย่างหนึ่ง”
“พูดเงื่อนไขของเจ้ามาเลย”
กู้ชูหน่วนคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป เงินจำนวนมากมายเช่นนั้นแต่เขากลับตอบอย่างรวดเร็ว?
“ออกพระราชโองการแต่งตั้งตอนนี้และเดี๋ยวนี้”
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องนำเงินมามัดจำให้ข้าก่อน หากเจ้าไม่ให้ละก็ คนอื่นจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร”
“มัดจำหนึ่งแสนตำลึง”
“ทองคำ?”
“ตกลง”
เยี่ยจิ่งหานเป่าขลุ่ยหยกขาว