กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1019
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1019
“ไม่ได้ พ่อของข้า….พ่อของข้าบอกว่ามีเพียงภรรยาของข้าเท่านั้นที่สามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้าได้”
“เจ้าหมายความว่า เจ้าไม่ใช่คนของรัฐปิง?”
“ขอบคุณบะหมี่ของเจ้า ข้าต้องเดินทางต่อไปแล้ว ครั้งหน้าหากมีโอกาสข้าจะเลี้ยงอาหารเจ้าตอบแทน”
ขอทานมองท้องฟ้าหลายครั้งและเมื่อเห็นพลุที่จุดขึ้นทางตอนเหนือของเมืองก็รีบเดินออกไป ทิ้งให้กู้ชูหน่วนและคนอื่นๆ จ้องมองหน้ากันอย่างมึนงง
ฝูกวงกล่าว “นายท่าน ต้องการให้ข้าน้อยตามเขาไปหรือไม่ขอรับ”
“ช่างเถอะ เดินดูสภาพการใช้ชีวิตของผู้คนในสลัมของเมืองหลวงกันเถอะ”
“ขอรับ”
แม้ว่าจะเกิดความสนใจต่อขอทานคนนั้น ทว่ากู้ชูหน่วนก็ไม่กล้าเสียเวลาอีกต่อไป
มีเรื่องมากมายที่กำลังรอให้นางจัดการ ทำให้นางเสียเวลาเปล่าไม่ได้อีกต่อไป
หากต้องการไปสลัมพวกเขาจำเป็นต้องเดินผ่านสะพานชางยุ่น ขณะที่พวกเขายังเดินทางไปไม่ถึงก็มีทหารจำนวนมากที่มุ่งหน้าไปยังสะพานชางยุ่นอย่างรีบร้อน
“ข้างหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ดูเหมือนว่าเสบียงอาหารของทางการที่ส่งมาเพื่อบรรเทาทุกข์จะถูกโจรขโมยไปขอรับ”
กู้ชูหน่วนได้ยินก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ผู้คนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติกำลังรออาหารเพื่อช่วยชีวิตพวกเขา
เพื่อรวบรวมเสบียงอาหารเหล่านี้ นางใช้ความพยายามไปมากเพียงใด และใช้เงินไปเท่าไหร่
“ใครกันเหตุใดถึงกล้ามากเช่นนี้ แม้แต่เสบียงอาหารจากทางการก็กล้าแตะต้อง ไปดูเร็วเข้า”
“ขอรับ”
เมื่อเดินผ่านฝูงชนจำนวนมาก ในที่สุดกู้ชูหน่วนก็เดินทางมาถึงสะพานชางยุ่น
บริเวณโดยรอบของสะพานมีทหารคอยคุ้มกันเพื่อไม่ให้ใครเข้าใกล้
บริเวณใต้สะพานชางยุ่นกำลังเกิดเหตุการณ์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เนื่องจากพวกเขายืนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม กู้ชูหน่วนจึงเห็นเจ้าหน้าที่และทหารจำนวนมากรายล้อมขอทานห้าหกคนตั้งแต่แรก และบีบบังคับให้พวกเขาลงไปในน้ำโดยตรงและซักถามหาเสบียงอาหารที่หายไป
นางเห็นว่าขอทานคนหนึ่งคือเด็กผู้ชายที่นางเพิ่งพบเจอ
ขอทานคนนั้นว่ายน้ำไม่เป็น เขาจึงดิ้นทุรนทุรายในน้ำ สำลักและไออย่างรุนแรงเป็นระยะๆ
กู้ชูหน่วนกระโดดออกไปอย่างไม่รอช้าและใช้วิชาตัวเบาแตะไปยังสิ่งที่ลอยอยู่ในน้ำ และไม่นานก็ไปถึงกลางแม่น้ำ จากนั้นก็คว้าตัวของขอทานคนนั้นขึ้นมา
“แค่กๆๆ…..”
ขอทานสำลักน้ำออกมาใส่ตัวของกู้ชูหน่วนเต็มๆ ทว่ากู้ชูหน่วนก็ไม่ใส่ใจอะไรและพยายามลากเขาขึ้นไปบนฝั่ง
“เจ้าเป็นใครกันแน่ แม้แต่คนที่ลักขโมยเสบียงอาหารของทางการก็กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยว จับตัวนางไปด้วยอีกคน”
ทหารจำนวนหนึ่งต่างกรูกันเข้ามา ทว่ากู้ชูหน่วนเพียงยกฝ่ามือขึ้นมาก็ทำให้พวกเขาต่างถูกโจมตีจนถอยร่นไป
ขอทานคนนั้นคิดไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของกู้ชูหน่วนจะร้ายกาจเช่นนี้
เมื่อเห็นว่ากู้ชูหน่วนจะพาเขาหนีไป เขาก็รีบกล่าว “ในน้ำยังมีเพื่อนๆ ของข้าอีกจำนวนหนึ่ง เจ้าช่วยพาพวกเขาหนีไปด้วยกันได้หรือไม่?”
“ฝูกวง ลั่วอิ่ง”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ควับ ควับ ควับ….
พวกเขาเขย่งปลายเท้าและแตะไปเบาๆ ทั้งสองได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่อยู่ในน้ำขึ้นมาและพาพวกเขาไปยังที่ปลอดภัย
วับ…..
เวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ขอทานที่ลักขโมยเสบียงอาหารจากทางการก็หายไปกันหมด
คนที่เข้ามาช่วยขอทานเหล่านี้ก็ไม่อยู่แล้ว ราวกับพวกเขาได้หายหัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะคอกออกมา “มัวทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบตามไปอีก หากเสบียงอาหารเหล่านี้หายไป เราทุกคนต้องถูกตัดหัวแน่”
“ขอรับ”
ในตรอกเปล่าเปลี่ยวข้างถนนแห่งหนึ่ง กู้ชูหน่วนวางขอทานลงและกล่าวอย่างไม่พอใจ “เด็กน้อยขอทาน เจ้าเพิ่งจะกินบะหมี่ไปไม่ใช่หรือ? ขโมยเสบียงอาหารของทางการไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย”
“นายท่าน คนอื่นได้ถูกส่งไปยังสถานที่ปลอดภัยแล้วขอรับ”
ฝูกวงและลั่วอิ่งคอยอยู่ข้างกายของนางทุกเมื่อ ทำให้พวกเขาสามารถคุ้มกันความปลอดภัยให้กู้ชูหน่วนได้ตลอดเวลา
ขอทานจามออกมาและสะบัดผมที่เปียกน้ำของเขาไปข้างหลัง ทำให้เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
เมื่อสักครู่นี้ใบหน้าของเขาสกปรกและเขามองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของเขาเลย แต่ตอนนี้เขาถูกล้างโดยน้ำในแม่น้ำ สิ่งสกปรกก็หายไปตามธรรมชาติ
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ กู้ชูหน่วนก็เซเล็กน้อย สมองของนางรู้สึกเจ็บปวดราวกับจะฉีกขาด และแม้แต่หัวใจของนางก็หายใจอย่างยากลำบาก
ใบหน้านี้…
เหตุใดใบหน้าของเขาถึงคุ้นเคยอย่างมาก?
นางเคยพบที่ไหน?
รูม่านตาของฝูกวงกว้างขึ้น และเขาอุทานว่า “ประมุขชิง”
“ประมุขชิงคือใคร?”
ขอทานคนนั้นรู้สึกประหลาดใจและเขาก็บิดผมสีดำที่เปียกด้วยมือของเขาอย่างรวดเร็ว
“เจ้า….เจ้าเป็นใคร?”
หลังจากที่ดึงสติได้ ฝูกวงก็เดินเข้าไปใกล้ขอทานคนนั้น
ใบหน้านี้มีความคมชัดและไร้ที่ติ มีรัศมีอ่อน ๆ ส่องกระทบกับแสงจันทร์ คิ้วของเขาเหมือนภาพวาดหมึก และสีผิวของเขาเหมือนพระจันทร์ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ สง่างามจนอดไม่ได้ที่จะหลงใหล
ฟูกวงกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยที่ใบหน้านั้นสมบูรณ์แบบอย่างมาก
ทว่า…
ใบหน้านี้เหมือนกับประมุขชิงทุกประการ เสมือนถูกแกะสลักจากแม่พิมพ์เดียวกัน
เป็นไปได้อย่างไร……
ประมุขชิงกระโดดลงมาจากเตาปรุงกลั่นยาและเสียชีวิตเพื่อเป็นการบูชายัญเมื่อสามปีที่แล้ว ไม่เหลือแม้แต่กระดูกแม้แต่ชิ้นเดียว เขาจะปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขาอีกครั้ง
แววตาของเขาใสราวกับน้ำ ขี้เล่นและบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความอยากรู้และความแปลกใหม่ของสิ่งใหม่ๆ
แววตาของประมุขชิงนั้นอ่อนโยนมาก แต่ก็เศร้ามากเช่นกัน
ไม่มีทางที่แววตาของเขาจะดูขี้เล่นและซุกซนเช่นนี้
เขาไม่ใช่ประมุขชิง
กู้ชูหน่วนตบศีรษะของตัวเองอย่างแรงและอดไม่ได้ที่จะเรียกชื่อ
“พี่เฉินเฟย”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมานางเองก็ตกตะลึง
ดวงวิญญาณบนหน้าผากออกฤทธิ์อีกแล้วหรือนี่?
ขอทานยิ้ม “ข้าไม่ได้ชื่อเฉินเฟย ข้าชื่อหยุนเฟย อี้หยุนเฟย”
“อี้เฉินเฟยเป็นอะไรกับเจ้า?” กู้ชูหน่วนก้าวไปจับไหล่ของเขาและถามไถ่
ขอทานรู้สึกสับสนมึนงงและกล่าวออกมา “ข้าไม่รู้ว่าใครชื่ออี้เฉินเฟย เจ้าจำคนผิดหรือไม่”
“เจ้าอายุเท่าไร?”
“สิบแปด”
กู้ชูหน่วนอยากปล่อยมือจากเขา ทว่าไม่รู้เพราะอะไรสองมือของนางกลับไม่ยอมปล่อยราวกับหากปล่อยมือลงเขาก็จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“เจ้าจับจนข้ารู้สึกเจ็บไปหมดแล้ว ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
ขอทานพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของนางและรักษาระยะห่างจากนาง
ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนสติไม่ค่อยดี หรือว่าสมองของนางจะไม่ปกติ?
กู้ชูหน่วนรู้สึกว่างเปล่าและหันไปมองฝูกวง “เจ้ารู้จักอี้เฉินเฟยหรือไม่?”
“รู้ขอรับ เขาเป็นประมุขชิงแห่งหออันดับหนึ่งในใต้หล้า เป็นคนที่มีพรสวรรค์และอายุน้อยที่สุดในเผ่าอวี้” และก็เป็นคนที่อยู่ในใจของนายท่านด้วยเช่นกัน
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรือ?”
แววตาของฝูกวงเผยให้เห็นความโศกเศร้า “เขาไม่อยู่แล้ว”
“ดวงวิญญาณที่อยู่บนหน้าผากของข้าสนิทสนมกับเขาอย่างมาก?”
“อืม”
ฝูกวงไม่อยากพูดถึงและหันหลังให้
ในใจของกู้ชูหน่วนรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา นางพยายามปรับอารมณ์ความรู้สึกและบอกตัวเองว่าทั้งหมดล้วนเป็นอารมณ์ความรู้สึกของดวงวิญญาณเหล่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง
“หากพวกเขาหน้าตาเหมือนกัน ไม่แน่พวกเขาอาจเป็นฝาแฝดกันก็ได้”
“นายท่าน อายุไม่เท่ากัน ประมุขชิงอายุมากกว่านี้ขอรับ”
“หากไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน สองคนนี้ไม่มีทางมีหน้าตาที่เหมือนกันอย่างแน่นอน หรือพวกเจ้าลองไปตรวจสอบดู”
“ประมุขชิงจากไปนานแล้ว ตรวจสอบเรื่องเหล่านั้น….ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
หลังจากที่ขอทานบิดเสื้อผ้าและสะบัดผมที่เปียกจนแห้งดีแล้ว เขาก็เตรียมเดินหนีไปโดยไม่สนใจคำพูดที่ฟังดูแปลกประหลาดของพวกเขา
กู้ชูหน่วนคว้าคอเสื้อของเขาจากข้างหลัง
“ลักขโมยเสบียงอาหารของทางการ เจ้ายังคิดจะหนีอีกอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าคงไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรอกนะ? รัฐปิงนอกจากจักรพรรดินีแล้วก็มีเพียงผู้หญิงคนเดียวที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเจ้าจะเป็นหยางม่าน?”
“เหตุใดถึงขโมยเสบียงอาหารของทางการ?”
“เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อเอาไปกินน่ะสิ หรือเจ้าคิดว่าทำไปเล่นๆ”
“เจ้าคนเดียวกินมากเช่นนั้นเลยหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่ามีผู้ประสบภัยพิบัติมากมายในรัฐปิงที่กำลังรอการบรรเทาทุกข์อยู่เป็นจำนวนมาก?”
“รู้ แต่มีเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตอยู่เป็นจำนวนมาก เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ถูกแจกจ่ายทีละขั้นๆ และกว่าจะถึงมือประชาชนที่ประสบทุกข์ก็แทบไม่เหลือ ข้าเลยต้องออกมาแจกจ่ายด้วยตัวเอง เจ้าอยากรู้ว่าข้าเอาเสบียงอาหารเหล่านี้ไปทำอะไรไม่ใช่หรือ เจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง”