กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1032
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1032
ประตูใหญ่ถูกผลักออกและอาม่อก็วิ่งเข้ามา
เยี่ยจิ่งหานหันไปมองเจี้ยงเสวี่ยตาเขม็ง
เจี้ยงเสวี่ยเช็ดเหงื่อด้วยความลำบากใจ
ตอนแรกนายท่านเป็นคนบอกเองว่าคนในวังหลังมีเพียงจอมมารคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าออกหอดาบได้อย่างอิสระ เพราะเขาเป็นเพื่อนที่ดีของนายหญิงของเขา
ฉะนั้นองครักษ์ของหอดาบจึงไม่ได้ห้ามจอมมารไม่ให้เข้ามา
เมื่อนึกถึงสถานะของมู่หน่วน ทำให้เจี้ยงเสวี่ยรีบเข้าไปขวางซือม่อเฟย “คุณชายม่อ นายท่านของข้าน้อยได้รับบาดเจ็บและจำเป็นต้องพักผ่อน ได้โปรดรีบกลับออกไปจากหอดาบก่อนเถอะขอรับ”
ชิ้ว…..
ซือม่อเฟยวิ่งเข้าไปข้างกายของกู้ชูหน่วนอย่างรวดเร็วและกอดเอวที่บอบบางของนางเอาไว้
“พี่หญิงอยู่ที่ไหน ข้าจะอยู่ที่นั่น พี่หญิง อาม่อคิดถึงพี่หญิงเหลือเกิน”
เมื่อเห็นผู้หญิงของตัวเองถูกผู้ชายคนอื่นกอด เยี่ยจิ่งหานก็รู้สึกเยือกเย็น
จากนั้นก็เห็นเขาสะบัดแขนและจัดการโยนอาม่อออกไปทันที
“ปัง……”
“เจ็บเหลือเกิน…..ข้าเจ็บแขนเหลือเกิน”
กู้ชูหน่วนกล่าวด้วยความโมโห “เยี่ยจิ่งหาน อาม่อทำอะไรผิดต่อเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ผิดตั้งแต่หัวจรดเท้า”
“พิลึกคน”
กู้ชูหน่วนเข็นรถเข็นออกไปที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว
“วันนี้หากเจ้าออกจากประตูนี้ไป ก็อย่าหวังจะได้เงินจากข้าอีกแม้แต่ตำลึงเดียว”
กู้ชูหน่วนเย้ยหยันและเข็นไปข้างหน้าโดยไม่สนใจ
“และอย่าหวังจะได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงที่กำจัดทำลายตระกูลมู่คือใคร”
กู้ชูหน่วนหยุดชะงักและเงยหน้าขึ้นกล่าว “เจ้ารู้หรือว่าฆาตกรคือใคร?”
“เมื่อก่อนไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว”
“คือใคร”
เยี่ยจิ่งหานชำเลืองมองออกไปนอกหน้าต่างและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างเย็นชา “หากเจ้าไม่พูด เช่นนั้นก็อย่าหวังจะใช้ข้าเพื่อช่วยเจ้าตามหาดวงวิญญาณของภรรยาเจ้าแล้วกัน”
“งั้นก็ไม่หาก็ได้”
ไม่ตามหาแล้ว?
นางฟังไม่ผิดใช่ไหม?
เยี่ยจิ่งหานบอกว่าจะไม่ตามหาแล้ว?
“ต่อให้เจ้าไม่ช่วยข้าตามหา เหวินเส่าอี๋ก็มีวิธีหาดวงวิญญาณที่เหลือของอาหน่วนเจอ ข้านั่งรออยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ”
“แผนการของเจ้าช่างร้ายกาจนัก”
“แล้วเจ้า…..เจ้าจะอยู่ที่นี่ไหม?”
“ไม่ ข้าเกลียดคนที่รังแกข่มเหงคนอื่นมากที่สุด”
“แกร๊ง……”
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก กู้ชูหน่วนเข็นรถเข็นไปข้างๆ ซือม่อเฟยและประคองแขนของเขาเพื่อถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ทั้งสองเสมือนเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่รักใคร่และแนบชิดและเพิ่งแต่งงานกันท่ามกลางแสงจันทร์ ทำให้เยี่ยจิ่งหานรู้สึกโมโหอย่างมาก
เจี้ยงเสวี่ยกล่าว “นายท่าน ดูเหมือนว่าพระชายาจะไปนอนที่เรือนของคุณชายม่อ นายท่านจะปล่อยให้พระชายาไปอยู่กับจอมมารอย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ?”
จากนั้นเจี้ยงเสวี่ยก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาทเกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ เกิดไฟไหม้ที่เรือนม่อโรวพ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชูหน่วนกล่าว “เหตุใดถึงเกิดไฟไหม้ได้?”
“ตอนนี้ยังไม่ทราบต้นเหตุของไฟไหม้ ทว่าเกรงว่าคืนนี้ฝ่าบาทคงไปบรรทมที่เรือนม่อโรวไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบสั่งให้คนไปช่วยกันดับไฟและช่วยคนออกมาให้ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พี่หญิง ทำเช่นไรดี เรือนม่อโรวของข้าไฟไหม้ไปแล้ว ไม่งั้นข้าไปนอนที่ตำหนักเฟิ่งหลวนกับพี่หญิงแล้วกัน”
“รายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ…..ฝ่า…..ฝ่าบาท ตำหนักเฟิ่งหลวนก็เกิดเพลิงไหม้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทหารองครักษ์ล่ะ มัวทำอะไรกันหมด เรือนม่อโรวเพลิงไหม้อย่างเดียวไม่พอ เหตุใดตำหนักเฟิ่งหลวนถึงเกิดเพลิงไหม้ด้วย รีบไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนก่อเรื่องขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พี่หญิง…..อาม่อเหนื่อยเหลือเกิน ไม่เช่นนั้นเราไปนอนพักผ่อนที่ห้องตำราหลวงกันสักคืนดีกว่าไหม”
“ฝ่า…..ฝ่าบาท….. ห้องตำรา…..ห้องตำราหลวง……”
“ห้องตำราหลวงก็ไฟไหม้หรือ?”
“ไม่…..ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ…..ห้องตำราหลวงถูกหิมะถล่มทำให้หลังคาทะลุเป็นวงใหญ่ เกรงว่า…..เกรงว่าจำเป็นต้องหาคนมาซ่อมแซมพ่ะย่ะค่ะ”
เจี้ยงเสวี่ยเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
เพื่อไม่ให้พระชายาได้อยู่ร่วมกันกับจอมมาร นายท่านกลับยอมทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างลงคอ
กู้ชูหน่วนรู้สึกโกรธมากและจ้องมองเยี่ยจิ่งหานที่อยู่ในหอดาบด้วยความโมโห
“อาม่อ ข้าจะสั่งให้ฝูกวงหาห้องพักรับรองที่เงียบสงบให้กับเจ้า เจ้าไปพักผ่อนก่อนแล้วพรุ่งนี้ข้าจะไปหาเจ้า”
“อาม่ออยากอยู่กับพี่หญิง”
“เชื่อฟังข้าแล้วข้าจะโปรดปรานเจ้า”