กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1074 ควบคุม
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1074 ควบคุม
ซือม่อเฟยแบกนางไว้บนหลังและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แต่กลับเคลื่อนที่ไปผิดทาง หากยังมีแรงอยู่ กู้ชูหน่วนจะต้องตะโกนด่าเขาอย่างแน่นอน
นี่มันเรื่องงี่เง่าอะไรกัน ขนาดคนที่ชอบหลงทางยังไม่มั่วถึงขนาดนี้ นางปวดหัวจนอยากจะตาย
ภายใต้ความงุนงง เสียงการต่อสู้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
นางได้ยินอย่างแผ่วเบา “พี่หญิง เจ้าทนอีกนิด ใกล้จะถึงแล้ว”
“เจ้าบอกว่าจะปกป้องข้า เวลานี้ข้าสูญเสียวรยุทธ์ไปแล้ว แค่ให้ข้าไปจับไก่ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าจะต้องปกป้องดูแลข้าให้ดี”
“พี่หญิง เจ้าอย่าเพิ่งหลับ รีบดูเร็วว่าข้าต้องไปทางไหน เมื่อสักครู่ก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ว่ามันอยู่แถว ๆ นี้ แต่เหตุใดถึงได้ไกลออกมาอีกแล้ว หรือว่าพวกเขาจะต่อสู้และเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน และให้พวกเราไล่ตามไป”
กู้ชูหน่วนโกรธจนได้สติขึ้นมาทันใด
“เหตุใดเจ้าจึง……เจ้าจึงไปทางตะวันตกอีกแล้ว”
“เอ๋……ก็เห็นอยู่ว่าข้าไปทางทิศใต้”
“……”
“น่ารำคาญชะมัด ข้าไม่มีพลัง ไม่เช่นนั้นระยะเพียงเท่านี้ข้าคงพาเจ้าบินไปแล้ว”
“……”
“พี่หญิง เหตุใดเจ้าจึงหลับไปอีกแล้ว เจ้าจะหลับไม่ได้ รีบตื่นขึ้นมาแล้ว”
“ใช่แล้ว ในร่างกายของเจ้ามีวิชาคืนชีพบุปผาผลิบานของข้าอยู่ เจ้าลองใช้มันออกมาดู”
ด้วยการเคลื่อนที่อันรุนแรง ร่างกายของกู้ชูหน่วนกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เวลานี้นางรู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมาก
อะไรคือวิชาคืนชีพบุปผาผลิบาน
นางไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วจะใช้ออกมาได้ยังไง
“บูม……”
ไม่รู้ว่าซือม่อเฟยหาทางพบแล้วหรือว่าอย่างไร
เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ที่กำลังต่อสู้กับฮวาอิ่งอยู่บนอากาศเห็นพวกเขาวิ่งไปวิ่งมาอยู่ที่เดิม รู้สึกเป็นห่วงพวกเขา จึงเลือกที่จะล้มลงแทบเท้าของพวกเขา
เสียงดังสนั่น ทำให้นางและซือม่อเฟยล้มลงกับพื้น
กู้ชูหน่วนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลืมตาขึ้นมา
ซือม่อเฟยหลุม
เหตุใดพวกเขาทั้งสองถึงได้ตกลงมาในหลุม
ขั้นกลางระดับเจ็ดสองคนต่อสู้กับระดับมนุษย์ การต่อสู้นี้ผ่านมาหนึ่งวันเต็ม เหตุใดจึงยังไม่จบสิ้น
แต่เมื่อลองมองให้ดู คนที่เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋กำลังต่อสู้ด้วยนั้นใช่ฮวาอิ่งเสียที่ไหน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับชายชราระดับหกหลายคน
ชายชราระดับหกหลายคนพวกนี้รวมถึงชายชราสองคนที่เพิ่งตายจากไป หากเดาไม่ผิด คนพวกนี้เป็นคนของอี้หยุนเฟย และทุกคนก็ตายไปแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เวลานี้พวกเขากำลังโจมตีมาที่เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋อย่างสุดชีวิต
ไม่ พวกเขาตายไปแล้ว ที่พวกเขาทำเช่นนี้จะต้องถูกควบคุมเป็นแน่
และ……ความแข็งแกร่งของพวกเขาในตอนนี้ มากกว่าตอนที่พวกเขายังมีชีวิตเสียอีก
ประกอบกับพวกเขาฆ่าไม่ตาย ไม่ว่าจะล้มลงไปสักกี่ครั้งก็ลุกขึ้นมาอีก โจมตีอย่างไรก็ไม่มีวันจบสิ้น
เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋กำลังพัวพันกับการต่อสู้และไม่สามารถปลีกตัวออกได้ จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขาจะไปสู้กับฮวาอิ่ง
แต่ซือม่อเฟยกลับพูดออกมาว่า “ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังถูกแมงมุมพิษหลากสีควบคุมอยู่?”
“วิชาต้องห้ามของเผ่าหยก?”
“น่าจะเป็นการใช้งานประสานกันระหว่างวิชาต้องห้ามของเผ่าหยกและวิชาเวทของเผ่าเพลิงฟ้า ทรงพลังมาก ตราบใดที่คนพวกนั้นยังถูกควบคุมด้วยแมงมุมพิษหลากสี ต่อให้ตาย หากศพยังไม่สลายไป พวกเขาก็ยังถูกควบคุมอยู่ดี”
“มี……มีวิธี……มีวิธีจัดการไหม?”
“มี นั่นก็คือก่อนที่พวกเขาจะตาย ต้องตัดคอพวกเขา หรือไม่ก็เผาศพของพวกเขา”
กู้ชูหน่วนรู้สึกปวดหัว
ดูเหมือนมีภาพบางอย่างพยายามจะโผล่ออกมาแต่ก็มองไม่เห็นอะไร รู้สึกทรมานจนขมวดคิ้วแน่น
“พี่หญิง เจ้าเจ็บปวดมากเลยงั้นหรือ?”
“อาม่อ……ข้าปวดหัวมาก”
กลางอากาศ ร่างหนึ่งร่างค่อย ๆ บินลงมา พร้อมกับเสียงหัวเราะอันน่ากลัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า……ขั้นกลางระดับเจ็ด มันก็แค่นั้น”
“ยายเฒ่าปีศาจ เอายารักษาแผลที่เกิดจากลำแสงพวกนั้นออกมาให้พี่หญิงของข้าเดี๋ยวนี้”
“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เจ้าเด็กโง่ผู้นี้นั่นเอง อ่า……ขนาดพวกเขาที่อยู่ขั้นกลางระดับเจ็ดยังทำอะไรข้าไม่ได้ แต่เจ้าที่เป็นแค่ขยะ กล้าดียังไงมาพูดจาอวดดีกับข้า แต่ต้องยอมรับว่าพลังของเจ้านั้นช่างแข็งแกร่ง สมแล้วที่เป็นผู้นำของเผ่าปีศาจ ลำแสงของข้า นอกจากข้าแล้วก็ไม่เคยมีใครทำลายมันได้มาก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ากลับสามารถจัดการมันได้”
จอมมารเย้ยหยัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ลำแสงกระจอกนั่น
หากไม่ใช่เพราะว่าเขาสูญเสียวรยุทธ์ มันคงถูกขาทำลายไปตั้งนานแล้ว
ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตอนนี้
“ลองดูดี ๆ แล้ว เจ้าเองก็หน้าตาไม่แล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าปรนนิบัติข้าให้ดี แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ”
จอมมารนำแขนที่เปื้อนเลือดออกมาจากด้านหลัง และกล่าวอย่างขยะแขยง
“จุ๊ จุ๊ จุ๊ ไม่รู้ว่านี่เป็นแขนของใคร ถูกตัดออกมาตั้งหลายท่อน ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน”
เขาพูดออกมาพร้อมกับวาดอักขระด้วยแขนที่เปื้อนเลือด
แขนพองตัวขึ้น จากนั้นก็มีตัวเรือดจำนวนมากปรากฏออกมา
ตัวเรือดแทะแขนอย่างบ้าคลั่ง และในพริบตา มันก็แทะแขนที่น่าเกลียดออกเป็นชิ้น ๆ เจาะเข้าไปในจิตวิญญาณ
“จ๋อม……”
เขาโยนแขนลงไปในคูน้ำที่ส่งกลิ่นเหม็นด้วยความขยะแขยง
“คลื่นไส้ เจ้านี่มันน่ารังเกียจจนทำให้ข้าแทบจะอาเจียนออกมา”
เจ้าพวกชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยที่ไล่ตามมาเมื่อครู่นั้นบ้าไปแล้วหรือไง
ความแข็งแกร่งของฮวาอิ่งนั้นอยู่ในระดับมนุษย์
จอมมารที่สูญเสียวรยุทธ์ เขาจะไปเอาความมั่นใจจากไหนมาว่าจะเอาชนะผู้หญิงหน้าด้านอย่างฮวาอิ่งได้?
มองหน้าของฮวาอิ่ง เวลานี้ใบหน้าของนางน่าเกลียดราวกับไปเหยียบขี้หมามา จิตสังหารพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ ขนาดที่ร่างของจอมมารเต็มไปด้วยเหงื่อ
กู้ชูหน่วนหันหลังพิงป่าไผ่ เมื่อได้ยินคำพูดของจอมมารก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมาชื่นชม
แต่นางก็รู้สึกกังวลใจแทนจอมมาร ด้วยความโกรธที่กำลังเผชิญหน้าอยู่เวลานี้ หากไม่มีทางออก คงทำได้เพียงต้องจบชีวิตอยู่ที่นี่
ฮวาอิ่งมองไปยังแขนของตนเองที่ถูกแทะราวกับเศษขยะด้วยความโกรธ “ในเมื่อเจ้าอยากตายเสียขนาดนี้ เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าได้สมความปรารถนา”
“แครก……”
ฮวาอิ่งใช้ลมปราณจับมาที่แขนของกู้ชูหน่วน โดยหวังว่าจะดึงแขนของนางออกโดยตรง
จอมมารจับเอาไว้ จากนั้นเรียกอักขระที่เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ใส่เข้าไปในร่างกายของฮวาอิ่งออกมาด้วยการเคลื่อนย้าย
ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพียงอักขระสมมติ แต่เมื่อถูกอัญเชิญออกมา มันกลับกลายเป็นของจริง
อักขระส่องแสงจ้า ภายใต้แสงเหล่านั้น ทุกอย่างที่สายตามองเห็นเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหายไปและกลายเป็นความว่างเปล่า
“ยายเฒ่าน่ารังเกียจ ข้าเป็นคนทำลายแขนของเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายพี่หญิงของข้า?”
สีหน้าของฮวาอิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย
พลังของนางไปถึงระดับมนุษย์แล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอักขระเหล่านี้ ร่างกายของนางก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย
และไม่รู้ว่าอักขระพวกนี้ใครเป็นคนทิ้งไว้
เนื่องจากดูถูกศัตรู ฝ่ามือของนาถูกกัดกร่อน ทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวด
แม้แต่ระดับมนุษย์ยังได้รับบาดเจ็บ
ช่างเป็นอักขระที่ยอดเยี่ยม
ฮวาอิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น “การจะฆ่าเจ้านั้นง่ายเหมือนการพลิกฝ่ามือ หากฆ่าเจ้าโดยตรงมันคงจะเป็นการเอาเปรียบเจ้าเกินไป เจ้าต้องการปกป้องสิ่งใด ข้าก็จะทำลายสิ่งนั้น”
ฟ่อ……
ความเร็วของฮวาอิ่งนั้นเหลือเชื่อ ทุกการเคลื่อนไหวของนางราวกับต้องการทำลายแขนของใครสักคน ทุกท่วงท่าราวกับเสแสร้ง
จอมมารขมวดคิ้ว
นี่มันร่างกายบ้าอะไร ทำไมถึงได้ไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้
เขาดูเหมือนไม่พอใจ
ไม่พอใจและไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาไม่สามารถควบคุมอักขระได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถปกป้องพี่หญิงได้
“เยี่ยจิ่งหาน เหวินเส่าอี๋ พวกเจ้ามีความสามารถแค่นี้งั้นหรือ? ก็แค่ระดับหกเพียงไม่กี่คน ทำไมถึงได้รับมือไม่ไหว”
ในใจของเยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋นั้นเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
พวกเขาเองก็อยากจะจัดการกับหุ่นเชิดพวกนี้จนใจแทบขาด
แต่หุ่นเชิดพวกนี้ใจจงที่จะเกาะติดทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา
ไม่ว่าพวกเขาจะใช้กระบวนท่าใดออกมา หุ่นเชิดพวกนี้ต่างรู้การเคลื่อนไหว
พวกเขาเป็นมนุษย์และได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่หุ่นเชิดพวกนี้ไม่รู้จักความเจ็บปวด ฆ่าไม่ตาย และก็ไม่สามารถต้านทานได้
“ทำลาย……”
เยี่ยจิ่งหานตะโกนออกมา
เขาวางแผนร่วมกับเหวินเส่าอี๋ว่าจะใช้ค่ายกลสถูปในการขังหุ่นเชิดพวกนี้
จากนั้นก็เข้าโจมตีฮวาอิ่งทางซ้ายและขวาไปพร้อมกัน
เหวินเส่าอี๋เป็นผู้โจมตีหลัก เยี่ยจิ่งหานเป็นผู้ป้องกัน จอมมารเป็นผู้ควบคุมค่ายกลอักขระ
แม้ว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันในการต่อสู้
แต่พวกเขาก็สามารถประสานงานกันได้อย่างราบรื่น