กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1093 ปวดหัว
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1093 ปวดหัว
นางเคารพเขา ดังนั้นนางจะไม่ลงมือกับเขา
แต่หากเขาทำให้นางต้องลำบากใจ ต่อให้เขาจะมีความดีมากแค่ไหน นางก็จะไปไม่ปล่อยเขาเป็นแน่
“ฝ่าบาท ชีวิตของท่าน นายน้อยของข้าเป็นคนช่วยเอาไว้ ท่านเป็นหนี้บุญคุณน้อยนายของข้า”
“ปัง……”
กู้ชูหน่วนปิดสาส์นในมืออย่างรุนแรง
“เจ้าอยากพูดอะไร”
“ขอแค่ฝ่าบาทปลดตำแหน่งเฟิงโห้ว และยกนายท่านขึ้นในตำแหน่งที่สูงกว่านั้น พวกข้าจะถอนทับในทันที”
“ฮึ……ปลดตำแหน่งเฟิงโห้ว ท่านปู่เจียง ท่านก็ช่างกล้าคิด เข้ามา ไปเรียกหวงกุ้ยจวินมาพบข้า”
“ฝ่าบาท หวงกุ้ยจวินไม่รู้เรื่องพวกนี้ เขา……”
“ปลดตำแหน่งเฟิงโห้ว เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เขาเองก็น่าจะรับรู้ ยังจะงงอะไรอยู่ ยังไม่ไปรีบเชิญหวงกุ้ยจวินมาอีก”
“ฝ่าบาท ท่านเองก็เข้าใจดีกว่านายท่านมีความรู้สึกอันลึกซึ้งกับท่านมากเพียงใด หากท่านไม่ได้เป็นคนออกคำสั่ง นายท่านก็ไม่มีทางต้องการมันเป็นแน่ เขารักในเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นที่สุด ท่านให้คนไปเชิญเข้ามาเช่นนี้ มันเป็นการ……เป็นการ……”
“ท่านปู่เจียงไม่อยากให้นายท่านของท่านลำบากใจ แต่กลับยินดีที่จะให้ข้าลำบากใจงั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหาท่านปู่เจียง หยุดลงเมื่อระยะห่างจากเขาประมาณหนึ่งเมตร จ้องมองเขาด้วยสายตาอันเยือกเย็น
“ท่านผู้อาวุโสก็อายุมากแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่เข้าใจ แต่ท่านทำเป็นไม่เข้าใจมันเสียมากกว่า การปลดตำแหน่งเฟิงโห้วหมายความว่าอย่างไร ข้าคิดว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดท่านเองก็น่าจะรู้มันอยู่แก่ใจ”
“เผ่าเพลิงฟ้าดำรงอยู่มานับพันปี ความแข็งแกร่งเป็นที่เลื่องลือมาตั้งแต่อดีต อย่าว่าแต่รัฐอี้ตกอยู่ในอำนาจของรัฐปิงแล้วเลย ต่อให้รัฐอี้ยังปกครองตนเองอยู่ ด้วยกำลังของตนเองก็อยากที่จะเอาชนะเผ่าเพลิงฟ้า”
“ในเมื่อพวกเจ้ายังทำไม่ได้ เหตุใดพวกเจ้าจึงคิดว่าข้าจะต่อสู้เพื่อหวงกุ้ยจวิน”
“ฝ่าบาทหมายความว่า สิ่งที่นายท่านของข้าทำนั้นสูญเปล่า?”
“ข้าหมายความว่า ข้ารู้สึกขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตข้า แต่ข้าไม่มีทางทำศึกเพราะเรื่องส่วนตัว นับประสาอะไรกับหวงกุ้ยจวิน ประชาชนเพิ่งจะอยู่อย่างสงบสุขได้ไม่นาน หากเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะต้องมีประชาชนล้มตายและไร้ซึ่งที่อยู่อีกมากมายแค่ไหน หรือว่าผู้อาวุโสอยากให้ใต้หล้าโชยไปด้วยกลิ่นดินปืนอีกครั้ง?”
“ข้า……”
“พวกเจ้าไม่ยอมถอย เผ่าเพลิงฟ้าเองก็ไม่มีวันถอย และการเผชิญหน้ากันครั้งนี้จะยื้อไปได้อีกนานแค่ไหน?”
“เผ่าเพลิงฟ้ายังรอต่อไปได้ แต่พวกเจ้ารอต่อไปได้อย่างนั้นหรือ? เสี่ยวหยุนเฟยมีเวลาอีกมากสุดก็แค่หนึ่งเดือน หากเผ่าเพลิงฟ้ายอมที่จะเสียเวลา เกรงว่าในระยะเวลาหนึ่งเดือน พวกเจ้าคงไม่มีทางนำแผ่นอักษรสีเหลืองมาได้”
ท่านปู่เจียงจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
เป็นเพราะเหตุนี้ หัวใจของเขาจึงร้อนรนจนแทบจะลุกเป็นไฟ
นายท่านน้อยสั่งให้เขาถอนทัพอย่างเคร่งครัด
เขาไม่สามารถดื้อรั้นต่อนายท่านน้อยได้ เขาทำได้เพียงหันมาเจรจากับกู้ชูหน่วน ดูว่าจะสามารถยกฐานะของนายท่านน้อยเป็นเฟิงโห้วได้หรือไม่
นายท่านน้อยมีความรักอันลึกซึ้งต่อนาง หากเขาได้เป็นเฟิงโห้ว เขาจะต้องมีความสุขเป็นแน่
เขาจึงใจร้อนเกินไปและทำอะไรลงไปโดยไม่ทันไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
การแต่งตั้งเฟิงโห้วเป็นเรื่องใหญ่ นางจะรับปากง่าย ๆ ได้อย่างไร
“ฝ่าบาท นายท่านน้อยรอต่อไปไม่ไหวแล้ว……”
“ข้ารู้ ข้าเองก็ร้อนรน หากท่านเชื่อข้า ท่านก็ถอนทัพออกมาเสีย ข้ารับประกันว่าจะส่งแผ่นอักษรสีเหลืองมาให้ถึงมือท่านอย่างแน่นอน”
ท่านปู่เจียงลังเลเล็กน้อย
กำหมัดแน่น เดินไปเดินมา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้
กู้ชูหน่วนก็ไม่ได้เร่งแต่อย่างใด ปล่อยให้เขาได้ใช้ความคิดอย่างอิสระ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ท่านปู่เจียงถึงยอมคุกเข่าลง
“ฝ่าบาท นายท่านน้อยของข้ายอมสละชีวิตของตนเองเพื่อท่าน ได้โปรด ท่านได้โปรดช่วยนายท่านน้อยของพวกเราไว้ให้ได้”
“ท่านวางใจ ข้าจะทำอย่างสุดกำลัง ไม่มีทางปล่อยให้เขาสิ้นใจเป็นแน่”
“ขอขอบพระคุณฝ่าบาท”
“พวกเจ้าเป็นคนจับตัวรองหัวหน้าเผ่าเพลิงฟ้าไปใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่ ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ วันนั้นข้าเพียงทำร้ายเขาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นพรากชีวิตของเขา และไม่ได้จับตัวเขามา เขาหาโอกาสหนีไปได้ด้วยตัวเอง”
“หลายวันที่ผ่านมา ข้าก็ทำการสืบหาร่องรอยของเขามาโดยตลอด แต่ราวกับว่าเขาจะหายตัวไปจากโลกใบนี้ ไม่ว่าจะตามหาเช่นไรก็หาตัวเขาไม่พบ”
หลังจากท่านปู่เจียงจากไป กู้ชูหน่วนก็ขยี้ตาอย่างเหนื่อยล้าและทรุดตัวลงที่พนักเก้าอี้
ฝูกวงเดินถือถ้วยแกงร้อนเข้ามา “นายท่าน ดื่มแกงร้อนเสียหน่อย จะได้บรรเทาธาตุไฟในตัวท่าน”
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา นางก็ได้พบเจอแต่เรื่องแย่ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางอยากจะกลับไปหมดสติอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ไหล่ทั้งสองข้างของนางตั้งแบกรับภาระอันหนักอึ้ง แม้อยากจะหลับใหลไปอีกครั้ง นางก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
“แครก แครก……”
กู้ชูหน่วนไอออกมา พร้อมกับสำนักแกงร้อนและเลือดออกมา
สีหน้าของฝูกวงเปลี่ยนไป
“นายท่าน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ท่านไอเป็นเลือด เป็นเพราะอาการบาดเจ็บครั้งก่อนของท่านยังไม่หายดีงั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนได้กลิ่นเลือดในแกงร้อน ดวงตาสีขาวดำของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
จริงอยู่ว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำงานหนักเกินไป
การไอเป็นเลือดถือเป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่เพราะเหตุใดเลือดของนางจึงมีกลิ่นอายของความชั่วร้าย?
“นายท่าน ท่านกำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ ต้องการให้ข้าไปเรียกหมอหลวงหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น อาจจะเป็นเพราะข้าหักโหมเกินไป”
เมื่อนึกถึงความขัดแย้งระหว่างกองทัพอี้กับเผ่าเพลิงฟ้าที่ต้องการแย่งชิงแผ่นอักษรสีเหลือง สมองของกู้ชูหน่วนก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
หากอี้หยุนเฟยได้รับแผ่นอักษรสีเหลือง บางทีเอาอาจจะได้ชีวิตของเขากลับคืนมา
แต่หากไม่ได้มันมา ต่อให้เป็นเทพเจ้าก็ไม่อาจช่วยชีวิตเขาได้
และเหวินเส่าอี๋…..
ตั้งแต่ได้รู้จักกับเขา เขาเอาแต่ตามหาเศษเสี้ยวของวิญญาณเหล่านั้นมาโดยตลอด ตามหาขวานผานกู่ กระจกหงส์ แผ่นอักษรสีเหลือง……
เขามีความหมกมุ่นอยู่ในใจ หากไม่สามารถฟื้นคืนชีพกู้ชูหน่วน สังหารนางด้วยมือของเขาเอง และไม่กลับไปยังดินแดนเยี่ยอวี่เพื่อแก้แค้น เขาไม่มีทางปล่อยวาง และไม่มีทางสบายใจเป็นอันขาด
เพื่อช่วยชีวิตนาง อี้หยุนเฟยถึงบอกยอมดูดพิษของหนอนกู่เข้าไปในร่างกายของตนเอง ไม่เช่นกันก็ไม่สามารถช่วยชีวิตนางไว้ได้
แต่เหวินเส่าอี๋…..
จากที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน เขาเองก็ช่วยชีวิตของนางไว้หลายครั้ง
แผ่นอักษรสีเหลืองมีเพียงแค่ชิ้นเดียว นางสามารถมอบให้คนเพียงคนเดียวเท่านั้น……นางควรจะมอบให้ใคร
และสิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือ ในแผ่นอักษรสีเหลืองมีวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นผนึกอยู่ครึ่งหนึ่ง
เวลานี้เยี่ยจิ่งหานยังหมดสติ
หลังจากเขาฟื้นขึ้นมา เขาเองก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้แผ่นอักษรสีเหลืองมาอยู่ในครอบครอง
“ฝูกวง หากเป็นเจ้า เจ้าจะมอบแผ่นอักษรสีเหลืองให้ใคร?”
“เรื่องนี้……ข้าเองก็ไม่รู้”
ดวงวิญญาณทั้งเจ็ดเหลือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
ครึ่งหนึ่งอยู่บนร่างกายของหวงกุ้ยจวิน อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในแผ่นอักษรสีเหลือง
ในใจของเขาหวังว่านายท่านของเขาจะรวบรวมดวงวิญญาณทั้งเจ็ดเพื่อฟื้นคืนความทรงจำของนางกลับมา
แต่……
เมื่อนึกถึงอี้หยุนเฟย หัวใจของฝูกวงก็รู้สึกเจ็บปวด
นายท่านอยากจะรวบรวมดวงวิญญาณทั้งเจ็ดเพื่อฟื้นคืนความทรงจำและเกิดใหม่จากนิพพาน นางก็จำเป็นต้องมีวิญญาณครึ่งหนึ่งที่อยู่ในร่างกายของหวงกุ้ยจวิน
หากหวงกุ้ยจวินมอบดวงวิญญาณครึ่งหนึ่งที่เขามีอยู่ให้กับนายท่าน เขา……เขาเองก็คงไม่รอด
“ช่างมันเถิด เรื่องที่ข้ายังคิดไม่ออก เหตุใดต้องทำให้เจ้าลำบากใจด้วย ลั่วอิ่งเล่า เหตุใดถึงไม่เห็นเขาเลย?”
“ลั่วอิ่งคอยปกป้องนายท่านอยู่ตลอดเวลา”
“ฮวาอิ่งตายไปแล้ว หากเขาไม่ยอมละทิ้งความเกลียดชัง ข้าก็ไม่รังเกียจหากเขาต้องการทำอะไรกับศพของฮวาอิ่ง”
“ขอรับ”
“เตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้ข้าจะเสด็จออกจากพระราชวังและเดินทางไปยังชานฉุ่ย”
“นายท่านต้องการไปชิงแผ่นอักษรสีเหลืองอย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะทำภารกิจให้สำเร็จแม้ต้องแลกด้วยชีวิต เหตุใดฝ่าบาทจะต้องลงมือด้วยตนเอง”
“ไม่ได้ เผ่าเพลิงฟ้ามียอดฝีมืออยู่มากมาย แค่พวกเจ้าสองคนไม่มีทางชิงแผ่นอักษรสีเหลืองมาได้ ข้าจึงต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง”
“แครก แครก……”
กู้ชูหน่วนนำมือของนางขึ้นมากุมหัวใจ จากนั้นก็ไอออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง
เลือดพวกนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับเลือดทั่วไป
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่แตกต่างออกมา นั่นก็คือ ในเลือดพวกนี้มีกลิ่นอายของความชั่วร้ายอยู่
“นายท่าน สภาพร่างกายของท่านเป็นเช่นนี้ แต่ท่านยังจะเสด็จไปยังชานฉุ่ย นายท่านมีภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง รัฐปิงกำลังรอคอยการนำทางจากท่าน ท่านพักผ่อนให้สบายเถิด รอให้ร่างกายหายดีก่อนแล้วเสด็จไป”
ร่างกายของกู้ชูหน่วนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เหนื่อยล้าจนทำอะไรไม่ได้
แม้ใจจะอยากไปชานฉุ่ย แต่ก็ปราศจากซึ่งกำลัง
ทำได้เพียงพักฟื้นและเลื่อนเวลาออกไปอีกสองวัน
“ไปตามหมอหลวงมา”
“ขอรับ” ความตกใจปรากฏออกมาจากแววตาของฝูกวง เขารีบไปตามหมอหลวงทันที
ทักษะทางการแพทย์ของนายท่านนั้นสูงส่ง หากแม้แต่นายท่านยังไม่สามารถรับมือได้ ต่อไปให้เรียกหมอหลวงพวกนั้นมาแล้วจะมีประโยชน์อันใด
นายท่านป่วยหนักมากเลยงั้นหรือ ถึงได้ให้ข้าไปตามหมอหลวง
หมอหลวงรีบเดินทางเข้ามา แต่ละคนต่างบอกว่าเป็นเพราะความผิดปกติของลมปราณและเลือดในตัวของนาง
แต่กู้ชูหน่วนกลับไม่เชื่อในคำพูดของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย