กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1102 ถูกลดมาเป็นม่อเหม่ยเหริน
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1102 ถูกลดมาเป็นม่อเหม่ยเหริน
กู้ชูหน่วนวางขนมไส้ดอกไม้ลง ลุกขึ้น เหลือบสายตามองไปยังจอมมาร จากนั้นก็ออกไปจากตำหนักม่อ ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เวลานั้นฮวาฮวาอยู่ด้านนอก สิ่งที่พวกเขาพูดคุยกัน ฮวาฮวาได้ยินอย่างชัดเจน
กู้ชูหน่วนเดินจากไปไกล เขารีบเดินเข้ามา “กุ้ยจวิน ฝ่าบาททอดสะพานให้ท่านเดิน ท่านแค่ไปขอโทษเฟิงโห้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จะผ่านไป เหตุใดท่านจึง……ท่านจึงปฏิเสธฝ่าบาทออกไปเช่นนั้น”
จอมมารลูบผมนุ่มสลวยหลังใบหูอย่างงดงาม มองไปที่ขนมไส้ดอกไม้ที่กู้ชูหน่วนกัดไปเพียงหนึ่งคำ
เขาพึมพำออกมาว่า “พี่หญิงบอกว่าขนมไส้ดอกไม้นั้นอร่อยไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงกัดไปแค่คำเดียว? อ่า……ข้ารู้แล้ว พี่หญิงเหลือขนมไส้ดอกไม้ไว้ให้ข้ากิน พี่หญิงช่างรักและเอ็นดูข้ายิ่งนัก”
“ฮวาฮวา ไปเก็บขนมไส้ดอกไม้ทั้งหมดมา ข้าจะเก็บไว้เป็นความทรงจำ ว่านี่เป็นขนมไส้ดอกไม้ที่ข้ากับพี่หญิงแบ่งปันกัน”
ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าฮวาฮวาจะตอบสนอง
“กุ้ยจวิน พวกเรามีความผิดที่ไปเผาตำหนักเว่ยหยาง พวกเราไปขอโทษเฟิงโห้วเสียหน่อยดีหรือไม่?”
“ขอโทษเสี่ยวเส่าอี๋? คนอย่างเขาคู่ควรงั้นหรือ? เรื่องที่เขานำเสื้อผ้าของข้าไปเผา ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย”
“แต่……แต่สีหน้าของฝ่าบาทดูไม่ค่อยดีนัก ข้าน้อยเกรงว่า……เกรงว่าฝ่าบาท……”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร นั่นเป็นเพราะพี่หญิงรู้สึกสงสารที่ข้าทำขนมไส้ดอกไม้ขึ้นมาด้วยตัวเองจนมือเป็นแผลพุพอง นี่ พี่หญิงยังพันผ้าพันแผลให้กับข้าด้วยตัวเองอยู่เลย”
“รับพระราชโองการ……ฝ่าบาททรงรับสั่ง ม่อกุ้ยจวินเผาเสื้อผ้า ทำภาชนะแตกเสียหาย งดบำเหน็จเป็นเวลาหนึ่งปี”
ฮวาฮวาแทบจะร้องไห้ออกมา “กุ้ยจวิน ฝ่าบาททรงโกรธแล้ว ท่านรีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทลดฐานะของท่านลงเป็นชายา หรือไม่ก็ขังท่านไว้ในตำหนักเย็น”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร คลังสมบัติของรัฐปิงนั้นว่างเปล่า พี่หญิงต้องการประหยัดเงิน นางงดบำเหน็จข้า เพราะนางต้องการให้ข้าผ่านพ้นความยากลำบากไปพร้อมกับนาง แต่ไม่อยากให้ข้าต้องเสียหน้า นางไม่มีทางลดฐานะข้าเป็นชายาแน่นอน”
“รับพระราชโองการ ฝ่าบาททรงรับสั่ง ม่อกุ้ยจวินทำลายดอกไม้ เผาตำหนักเว่ยหยาง พร้อมกับสร้างความวุ่นวายมากมาย จึงถูกลดฐานะเป็นม่อเหม่ยเหริน”
ฮวาฮวาก้มหน้าลง ราวกับไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองเจ้านายของตนเองอย่างกุ้ยจวิน
จอมมารทัดผมหลังใบหูของเขา ราวกับกำลังดื่มด่ำกับความหมายของพระราชโองการ
หลังจากนั้นไม่นานเขาถึงตระหนักได้
“อ่า……ข้าเข้าใจแล้ว พี่หญิงลดฐานะข้า จากนั้นนางต้องแอบเลื่อนฐานะให้ข้าเป็นแน่ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ข้าพูดกับนางเมื่อครู่นั้นมีความหมาย อีกไม่นาน นางอาจจะขับไล่เฟิงโห้วอย่างเสี่ยวเส่าอี๋ และหันมาแต่งงานกับข้าเป็นแน่”
“เหม่ยเหริน? เหม่ยเหรินก็ไม่เลว เหมาะกับข้ามาก ตอนที่รู้จักกันครั้งแรก พี่หญิงก็ชมว่าข้างงดงามเหมือนกับคำว่าเหม่ย”
ฮวาฮวาและคนรับใช้ทุกคนในตำหนักม่อตกใจจนพูดไม่ออก
สมองของเขาเป็นอะไรไป
เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทกำลังลงโทษเขาอยู่
แล้วจะเลื่อนฐานะให้เขาเป็นเฟิงโห้วได้อย่างไร?
“ฮวาฮวา”
“ขอรับ”
“ไปขุดรากดอกไม้ทั้งหมดในพระราชวังมาไว้ตรงหน้าข้า”
“เอ่อ……”
ฮวาฮวาคุกเข่าลงพื้น กล่าวออกมาพร้อมกับน้ำตา “ม่อเหม่ยเหริน ท่านเด็ดดอกไม้มาทั้งพระราชวัง ฝ่าบาททรงโกรธเป็นอย่างมาก หากท่านขุดรากของดอกไม้พวกนั้นมา เกรงว่าฝ่าบาทคงโกรธถึงขั้นฟ้าถล่มดินทลาย”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร พี่หญิงกล่าวออกมาเอง นางชอบผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว เป็นชายที่เก่งกาจดุจมังกร เวลานี้ข้าไร้ซึ่งวรยุทธ์ หากไม่รีบฟื้นคืนวรยุทธ์กลับมาโดยเร็ว เช่นนั้นทำอย่างไรข้าจึงจะสามารถทำตามเงื่อนไขของพี่หญิงได้?”
“ม่อเหม่ยเหริน……”
“ข้าสั่งให้เข้าไป เจ้ากล้าขัดขืนอย่างนั้นหรือ”
“ข้าน้อยไม่กล้า ข้าน้อยเพียงแค่รู้สึกกลัว……”
ทันใดนั้น สายตาอันเฉียบคมก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตาย ฮวาฮวาสะดุ้งโดยไม่มีเหตุผล น้อมรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
มันทรงพลังเหลือเกิน เขาตกใจจนเหงื่อไหลออกมาจากด้านหลังของเขา
“ม่อเหม่ยเหริน ไม่ทราบว่าท่านต้องการมาก……มากเพียงใด”
“ทั้งหมด ขุดรากดอกไม้ทั้งหมดในพระราชวังมาให้ข้า หากขาดแม้แต่ชิ้นเดียวข้าจะใช้แขนและขาของเจ้าแทน”
ตำหนักเว่ยหยาง เสี่ยวเส่าอี๋สวมชุดสีขาวและยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ข้างหน้าต่าง เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแสงสีทองก็ส่องมาที่เขา ราวกับว่าเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงแห่งสวรรค์อันเจิดจรัส
เดิมทีเป็นเทพเจ้าที่ถูกส่งลงมายังโลก มีความรู้สึกเหงาและเศร้าอย่างอธิบายไม่ได้บนร่างกายที่สง่างามของเขา
กู้ชูหน่วนยืนอยู่ด้านนอก ทุกการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ในการเฝ้ามองของนาง
ตำหนักเว่ยหยางถูกเผาทำลายไปสองในสามส่วน ห้องจำนวนมากเหลือเพียงซากปรักหักพัง
แม้แต่ห้องนอนของเสี่ยวเส่าอี๋ก็ถูกเผาทำลาย ความรุนแรงของเปลวไฟนั้นร้ายแรงกว่าที่นางคิด
และตำแหน่งที่เขายืนอยู่ในเวลานี้เป็นเพียงห้องหนังสือเล็ก ๆ
หลังจากฟื้นขึ้นมา เสี่ยวเส่าอี๋ดูเหมือนจะชอบยืนอยู่ข้างหน้าต่างเพื่อเพลิดเพลินกับทิวทัศน์
กู้ชูหน่วนหยิบเสื้อกันลมไปสวมให้เขาพร้อมกับกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ดวงอาทิตย์กำลังตก ลมพัดแรง ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี ไม่ควรมาตากลมเช่นนี้”
“นี่คือความยุติธรรมที่ฝ่าบาทมอบให้ข้างั้นหรือ?”
เสี่ยวเส่าอี๋ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เสียงของเขาแผ่วเบา แต่คำพูดนั้นช่างหนักแน่น
“อาม่อสัญญากับข้าไว้แล้ว หลังจากนี้เขาจะไม่กล้าก่อเรื่องอีกเป็นอันขาด ข้าลดฐานะเขาเป็นม่อเหม่ยเหริน สมองของเขาไม่ค่อยดี เจ้าเป็นผู้ใหญ่และรู้เรื่องมากกว่า โปรดให้อภัยเขาสักครั้งเถิด”
เสี่ยวเส่าอี๋หัวเราะเยาะอย่างเงียบ ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
สัญญา? ไม่มีทางก่อเรื่องอีกเป็นอันขาด?
เป็นไปได้งั้นหรือ?
เขารู้จักกับจอมมารมาหลายปี พอจะเข้าใจนิสัยของจอมมารอยู่บ้าง
บางทีอาจเป็นเพราะกู้ชูหน่วนเห็นใบหน้าอันเย้ยหยันของเขา หรืออาจจะมองไม่เห็น จึงหยิบยกหัวข้ออื่นขึ้นมา
“ตำหนักเว่ยหยางถูกเผาทำลายจนได้รับความเสียหายรุนแรง ข้าจะหาตำหนักแห่งใหม่ให้เจ้าอยู่อาศัย รอ……รอข้าบูรณะตำหนักเว่ยหยางขึ้นมาใหม่ หากเจ้าอยากกลับมาก็สามารถกลับมาอยู่ได้ เสี่ยวหูเตี๋ย เจ้ามีตำหนักที่ถูกใจหรือไม่?”
ทั้งสองตกลงกันโดยปริยาย
ด้วยเศรษฐกิจของรัฐปิงในปัจจุบัน การสร้างตำหนักเว่ยหยางขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อย่างน้อยก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในอีกหลายปีข้างหน้า
เสี่ยวเส่าอี๋ไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้แสดงออกมาแต่อย่างใด
กู้ชูหน่วนกระแอมออกมาสองสามครั้ง “ตำหนักหนิงอี้มีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ด้านใน เหล่าเฟิงโห้วในอดีตล้วนต้องการไปอาศัยที่ตำหนักหนิงอี้ ข้า ข้ายกที่นั่นให้เจ้าเป็นอย่างไร?”
เงียบ
ทำอย่างยังคงเงียบสงบ
เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของเขา
“หากไม่ต้องการ ข้าจะยกตำหนักฟู่หรงให้เจ้า ตำหนักฟู่หรงนั้นยิ่งใหญ่ สิ่งก่อนสร้างเต็มไปด้วยลวดลายแกะสลัก เป็นตำหนักที่ดีที่สุดของวังหลัง รองลงมาจากตำหนักเว่ยหยาง”
ยังคงไม่พูดอะไรออกมา ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอใจ
“ตำหนักเหมียนเจ๋อเล่า?”
“ตำหนักเฉวียนฝู่เป็นอย่างไร?”
“หรือว่าจะเป็นตำหนักเหม่ยเก๋อ?”
“เสี่ยวหูเตี๋ย ข้ารู้ว่าครั้งนี้อาม่อนั้นทำเกินไป ข้ารับปากเจ้า จากนี้จะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ข้าจะชดเชยให้แก่เจ้า เพียงแค่หลายครั้งที่ข้าตกอยู่ในอันตราย อาม่อยอมสละชีวิตเข้ามาช่วยเหลือข้า ข้าเป็นหนี้บุญคุณเขา ข้าจึง……ข้าจึงไม่อาจส่งเขาเข้าไปในตำหนักเย็นได้”
“เจ้าได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า ผู้ใหญ่ไม่ถือโทษโกรธเด็ก ให้อภัยเขาสักครั้งได้หรือไม่?”
“สวนไผ่ หากฝ่าบาทอยากให้ข้าเปลี่ยนที่อยู่ใหม่จริง ๆ เช่นนั้นข้าขอย้ายไปอยู่ที่สวนไผ่”
กู้ชูหน่วนตะลึงงัน
สวนไผ่?
สวนไผ่อยู่ ณ ดินแดนอันห่างไกล
ไม่ว่าจะเป็นตำหนักเฟิ่งหลวนของนางหรือวังหลังก็ถือเป็นสถานที่อันห่างไกล
มีแต่ข้ารับใช้ชายที่ไม่เป็นที่รักในวังหลังเท่านั้นที่จะถูกขับไล่ออกไปที่นั่น
บอกว่าที่นั่นเป็นตำหนักเย็น มันก็ไม่ได้เกิดความเป็นจริง
เนื่องจากไม่มีจักรพรรดินีองค์ไหนเสด็จไปเยี่ยมข้ารับใช้ชายอันเป็นที่รักของวังหลังถึงที่นั่น
กู้ชูหน่วนพิจารณาความหมายของคำพูดของเขาอย่างรอบคอบ
เขารังเกียจนาง ไม่อยากเห็นหน้านาง หรือว่ามีแผนอื่นแฝงอยู่กันแน่?
“เสี่ยวหูเตี๋ย สวนไผ่นั้นห่างไกลและรกร้าง เจ้าลองเลือกใหม่ได้หรือไม่?”
เสี่ยวเส่าอี๋ยิ้มอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“ฝ่าบาททรงกุมอำนาจแห่งชีวิตและความตายอยู่ในมือ และเป็นจักรพรรดินีแห่งรัฐปิง ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้เล็ก ๆ ในวังหลัง ฝ่าบาทอยากให้เส่าอี๋อยู่ที่ใด เส่าอี๋ล้วนรับฟังฝ่าบาททั้งสิ้น”