กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 132
“ตุบ……”
เสียงอันดังปรากฏขึ้นอีกครั้งราวกับว่าบนพื้นราบเกิดระเบิดใหญ่ขึ้นมาเสียงหนึ่ง
สวีซานเหนียงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยใบหน้าอันซีดเซียว ส่วนชายหนุ่มนั้นกระอักเลือดออกมา อวัยวะภายในทั้งหมดกระเพื่อมอย่างรุนแรง หากว่าไม่ได้จับกำแพงเอาไว้เกรงว่าจะล้มลงไปนานแล้ว
“เจ้านั้นใช้วิธีการทุ่มสุดชีวิตต่อสู้กับข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากยังต่อสู้กันต่อข้าจะไม่ตายแต่เจ้าจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ก็เป็นแค่ชีวิตอันไร้ค่าตายก็ตายสิ” ชายหนุ่มทนฝืนกลืนกลิ่นคาวลงในลำคอเพื่อพยายามทำให้ตนเองดูปกติดีที่สุด
สวีซานเหนียงตะโกนร้อง “นางเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้ากันแน่?”
“ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทั้งสิ้นก็เพียงแค่ไม่ต้องการให้เจ้าได้ระฆังวิญญาณสะบั้นไปก็เท่านั้นเอง”
“ช่างดีนัก บัญชีนี้พวกเราวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งหุบเขามืดจดจำเอาไว้แล้ว เจ้าก็คอยรอการแก้แค้นอันบ้าคลั่งของพวกเราเถอะ”
สวีซานเหนียงจ้องไปยังกู้ชูหน่วนและชายหนุ่มด้วยสายตาอันเกลียดชัง ท้ายที่สุดแล้วไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใดจึงจากไปด้วยความโกรธเกลียด
เมื่อนางจากไปชายหนุ่มก็กุมหน้าอกเอาไว้แน่น พร้อมกับกระอักเลือดอีกคำใหญ่ออกมา ขาทั้งสองก็คุกเข่าลงอย่างควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ราวกับว่ากำลังแบกรับความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัส
“เจ้าไม่เป็นไรนะ”
กู้ชูหน่วนโยนเมล็ดทานตะวันทิ้งไปแล้วเดินไปข้างกายเขา
“พรึ่บ……”
มือทั้งสองข้างของชายหนุ่มคว้ามือเอาไว้ มั่วฉินที่เหลืออยู่ก็อยู่ตรงคอของนางแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ส่งระฆังวิญญานสะบั้นมา”
“อวัยวะภายในทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัสหากว่าไม่รักษาให้ดีก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิตเอาง่ายๆ พอดีว่าข้ามียาที่สามารถรักษาเจ้าได้”
“ส่งระฆังวิญญาณสะบั้นมา”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้ แต่ว่ามีคนมาอีกกลุ่มหนึ่งแล้ว เจ้าดูสิ”
กู้ชูหน่วนชี้ไปยังระยะไกล ที่โน่นมีคนมาอีกห้าหกสิบคนซึ่งอยู่ในสถานการณ์โอบล้อมโดยล้อมรอบพวกเขาเอาไว้
ชายหนุ่มทนฝืนร่างกายอันบาดเจ็บโดยกัดฟันลุกยืนขึ้น ร่างผอมบางนั้นยืดตรงและเผชิญหน้าไปทางยอดฝีมือสี่ห้าสิบคนด้วยแววตาเย็นชา
“พวกเรามาหานางหากไม่อยากตายก็รีบไปให้พ้น” ชายชุดดำชี้ไปยังกู้ชูหน่วน
ชายหนุ่มเงียบขรึมไม่พูดจาแต่ว่าร่างกายนั้นสงบนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับก้อนหิน
ไร้ซึ่งคำกล่าวทว่าเขานั้นได้คิดวางแผนเอาไว้แล้ว
“รนหาที่ตาย”
ชายชุดดำตะโกนด้วยความโมโหและคนทั้งกลุ่มก็จับง้าวโจมตีชายหนุ่มทีละคนๆ
ความสามารถอันร้ายกาจของชายหนุ่มคือการโจมตีด้วยเสียง แต่มั่วฉินถูกสวีซานเหนียงทำลายไปแล้วจึงต้องปะทะกันกับพวกเขาเท่านั้น
ตรอกเล็กๆนั้นเต็มไปด้วยเสียงต่อสู้กันตลอดทั้งคืน ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆหวาดกลัวจนไม่กล้าออกจากประตู
เลือดบินกระเด็นกระดอนพร้อมกับท่อนแขนที่ขาดบินว่อนอยู่กลางอากาศ
เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังขึ้น
ไม่รู้ว่าผมดำสนิทของชายหนุ่มถูกเหงื่อหรือเลือดเปรอะเปื้อนซึ่งเหนียวเหนอะหนะจนแทบจะสามารถบีบน้ำออกมาได้เลย
บนร่างกายของเขาก็ถูกฟันด้วยมีดจำนวนไม่น้อยโดยที่เลือดนั้นค่อยๆไหลออกมา
เห็นได้ชัดว่าไม่อำนวยแต่เขายังคงปกป้องกู้ชูหน่วนจากการถูกห้อมล้อมสุดชีวิต
“ตามไป……”
“บัดซบ ข้ารู้อยู่แล้วว่ามีคนต้องการทำร้ายเจ้า ยังดีที่ข้านั้นวนกลับมา”
สถานที่ไม่ไกลนักไม่รู้ว่าเซี่ยวอวี๋เซวียนปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด เมื่อเห็นฉากที่ชายหนุ่มปกป้องกู้ชูหน่วนสุดชีวิตก็อดไม่ได้ที่จะตื้นตันใจ
ร่ายรำด้วยพัดอันมืดรวมเข้าด้วยกันกับการต่อสู้จึงได้ลดความตึงเครียดของชายหนุ่มลงเล็กน้อย
ไม่ง่ายเลยที่ขับไล่มือสังหารออกไปได้ชั่วครู่ก็มีเข้ามาอีก
ทั้งคืนนั้นพวกเขาก็ไม่รู้ว่าพุ่งออกจากวงล้อมไปกี่วง
เซี่ยวอวี๋เซวียนลงมืออย่างไร้ซึ่งการคิดคำนึงส่วนชายหนุ่มไม่ว่าจะถูกฟันไปกี่แผลก็ยังคงยั้งมืออยู่เล็กน้อยโดยไม่ได้หมายเอาชีวิต เพียงแค่ทำให้ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น
เซี่ยวอวี๋เซวียนอดไม่ได้ที่จะด่าทอ “คนเหล่านี้ไม่ใช่คนดีเขาต้องการจะสังหารพวกเรา เจ้าอดทนทุกแห่งหนต้องการให้พวกเขาสังหารเราจนตายหรือ?”
ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงแต่ว่ายกเว้นพวกวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งหุบเขามืดซึ่งเต็มไปด้วยความเลวทรามชั่วร้ายแล้วก็ไม่เคยเอาชีวิตผู้ใดเลย
เซี่ยวอวี๋เซวียนโมโหซะจนเกือบจากไปตามอำเภอใจ
ร่างกายของทั้งชายหนุ่มและเซี่ยวอวี๋เซวียนได้รับบาดเจ็บกันทั่วแต่กู้ชูหน่วนกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
สละชีวิตปกป้องครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งทำให้กู้ชูหน่วนนั้นตื้นตันใจยิ่งนัก
เห็นมือสังหารอีกระลอกหนึ่งโอบล้อมเข้ามานางจึงยกมือขึ้น เข็มเงินหลายสิบเล่มก็พุ่งออกไปซึ่งแต่ละเล่มนั้นพุ่งตรงไปยังจุดตายของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ
“ตุบตุบตุบ……”
มือสังหารล้มลงไปทีละคนๆ
เซี่ยวอวี๋เซวียนเบิกตากว้าง
“บัดซบ เจ้ามีความสามารถนี้เหตุใดพึ่งเอาออกมาใช้ตอนนี้หล่ะ?”
หมายเหตุ
มั่วฉิน ชื่อของพิณ