กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 164
เขาขมวดคิ้วแน่นและใช้มือข้างหนึ่งกุมท้องไว้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หยิบฟืนแห้งขึ้นมาจากพื้น ใส่เข้าไปในปากแล้วกัดไว้ จากนั้นก็เอื้อมมืออีกข้างไปที่ท้อง และฝืนดึงมีดที่แทงลึกเข้าไปในช่องท้องออกมา
มีดถูกดึงออกมาและเลือดก็พุ่งออกมาด้วย
เขาเจ็บปวดมาก แต่ก็กัดฟันและกลืนเสียงคร่ำครวญทั้งหมดลงไปในลำคอ โดยไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมา
หากไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาสั่นอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าจะเข้าใจคิดว่าเขาแค่ดึงเอาของธรรมดาออกมาจากช่องท้อง
เมื่อดึงมีดเล่มหนึ่งออกมาแล้ว เขาก็ดึงมีดเล่มอื่น ๆ ออกมา
เลือดไหลหยดเต็มพื้นจนทำให้กู้ชูหน่วนตาพร่ามัว
เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เขาเป็นเช่นนี้…จะตายหรือไม่?”
กู้ชูหน่วนส่ายหัว
“ข้าไม่รู้ว่าเขาจะรอดหรือไม่ แต่หากเข้าไปตอนนี้ จะทำให้เขาตายเสียดีกว่ามีชีวิตอยู่”
ทุกคนล้วนแต่มีศักดิ์ศรี
เยี่ยเฟิงก็ไม่ยกเว้น
มีดทั้งหมดห้าเล่ม เยี่ยเฟิงดึงออกมาด้วยตนเองสามเล่ม จากนั้นพละกำลังของเขาก็ดูเหมือนจะหมดลง เขาพิงผนังและหน้าอกของเขาขยับขึ้นลง
เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วและเลือดไหลหยดลงมา เยี่ยเฟิงมองออกไปนอกหน้าต่าง นัยน์ตาสีแดงเลือดเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและโศกเศร้า
เวลาค่อย ๆ ผ่านไป หยดน้ำตาพร่างพราวไหลออกมาจากหางตาของเยี่ยเฟิง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขากอดเข่าและก้มหน้าลงชิดหัวเข่า จากนั้นก็ร้องไห้อย่างไม่มีเสียง
นี่เป็นท่าทางที่บ่งบอกว่าหมดหนทางและสิ้นหวังที่สุด
หากเขาสามารถร้องไห้ออกมาได้ก็คงดี แต่เขาก็ระงับเสียงร้องไห้ของตัวเองไว้
ร่างกายของเขาสั่นเทาและกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนใจสลาย
แท้จริงแล้วเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้น ถึงได้ทำให้คนคนหนึ่งไม่สนใจว่าจะมีศักดิ์ศรีหรือไม่ เยือกเย็นและเย่อหยิ่ง
“นายท่าน”
ในคืนที่มืดมิด จู่ ๆ เงาปีศาจก็ออกมาและโค้งคำนับกู้ชูหน่วนด้วยความเคารพ
กู้ชูหน่วนกับวัดร้างอยู่ในระยะที่ห่างกัน ฝูกวงกาวดสายตามองไปข้างหน้า
“นายท่าน สืบหาตัวตนของเยี่ยเฟิงได้แล้วขอรับ เขาเติบโตมาในเผ่าปีศาจ เป็นนักดีดฉินของผู้นำกองธงกล้วยไม้แห่งเผ่าปีศาจ และเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง”
“นักดีดฉิน?นักดนตรี?ผู้ที่ดีดฉินเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้ผู้อื่น?”
“ไม่ใช่……”
มีความเขินอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของฝูกวง
เซี่ยวอวี่เซวียนตบต้นขาของเขา “นักดนตรีที่เจ้าพูดถึง ไม่ได้หมายถึงนักดนตรีในด้านนั้นใช่หรือไม่?”
ฝูกวงก้มหน้า ท่าทางของเขายังคงนอบน้อมและสุภาพ “ใช่ จะพูดให้แย่หน่อยก็คือเป็น……ของเล่นของผู้นำกองธงกล้วยไม้
สีหน้าที่เย็นชาของกู้ชูหน่วนโกรธขึ้นมาในทันที “เล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด”
“ขอรับ เยี่ยเฟิงเป็นเด็กกำพร้า เขาเติบโตขึ้นมาในเผ่าปีศาจ ผู้นำกองธงกล้วยไม้มีความชอบที่พิเศษ เขาชอบทรมานคน และยังชอบ…..ตอนที่เยี่ยเฟิงอายุห้าขวบ เป็นเพราะเขาหน้าตาดี อีกทั้งยังประพฤติตัวดีและรู้ความ จึงถูกส่งไปให้ผู้นำกองธงกล้วยไม้ และผู้นำกองธงกล้วยไม้ก็ทำให้เขาด่างพร้อย”
ทันใดนั้นเซี่ยวอวี่เซวียนก็ขัดจังหวะ “เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ ห้าขวบ?ตอนที่เยี่ยเฟิงอายุห้าขวบ เขาถูกผู้นำกองธงกล้วยไม้ข่มเหงรังแก?”
“ใช่……”
เมื่อครู่ตอนที่เขาได้รับข่าวก็ตกใจมากเช่นกัน
หลังการการตรวจสอบ เขาก็รู้ว่าไม่ได้มีแค่เยี่ยเฟิงคนเดียว แต่ยังมีเด็กอีกมากมาย
และเด็กส่วนใหญ่เหล่านั้นก็ถูกข่มเหงจนตาย
“หลายปีที่ผ่านมาผู้นำกองธงกล้วยมักจะข่มเหงเยี่ยเฟิงอยู่เสมอ วันเวลาในเผ่าปีศาจของเขาช่างยากลำบาก ชีวิตขัดสนต้องทนหิวทนหนาว และถูกทารุณอย่างโหดเหี้ยม หากจะพูดว่าตายเสียยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่ ก็ไม่พูดเกิดจริงเลยแม้แต่น้อย”
“ผู้นำกองธงกล้วยไม้ต้องการระฆังวิญญาณสะบั้น แต่ระฆังวิญญาณสะบั้นอยู่ในพระราชวัง ของรัฐเยี่ย และในวังก็เต็มไปด้วยคนของท่านหานอ๋องเทพแห่งสงคราม ผู้นำกองธงกล้วยไม้เข้าไปขโมยระฆังวิญญาณสะบั้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เขาได้ยินมาว่าจักรพรรดิเยี่ยจัดงานชุมนุมแข่งขันวิชาการ และจะนำระฆังวิญญาณสะบั้นมาเป็นของรางวัลให้แก่ผู้ชนะ ดังนั้นผู้นำกองธงกล้วยไม้จึงให้เยี่ยเฟิงที่มีความสามารถเป็นเลิศมาเข้าร่วม”