กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 18
“เอาละ บทเรียนวันนี้มีเท่านี้ พรุ่งนี้เช้าค่อยเรียนกันอีกครั้ง พรุ่งนี้บ่ายจะเริ่มเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอย่างเป็นทางการ ทุกคนจงมีชีวิตชีวาเข้าไว้ อย่าให้เสียหน้าสำนักศึกษาวังหลวง”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
“คุณหนูสาม อย่าลืมดีดฉินอีกห้าสิบครั้ง คุณชายเซี่ยว ท่านอยู่ที่นี่เป็นคนคอยควบคุม ถ้าดีดไม่จบห้าสิบรอบ ท่านจะดีดแทนนางก็ได้”
ซั่งกวนฉู่ป่วยหรือไง
แค่ลงโทษนางก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังจะหาคนมาคุมอีก
เซี่ยวอวี่เซวียนหน้าเบ้
การดีดฉินของกู้ชูหน่วนเป็นสิ่งที่มีไว้ให้มนุษย์ฟังงั้นหรือ? ถ้าฟังจบห้าสิบรอบจริงๆ ธาตุไฟของเขาจะต้องแตกจนเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดเป็นแน่
ความจริงคนในสำนักศึกษาอยากจะอยู่ดูเรื่องตื่นเต้นต่อ แต่การดีดฉินของกู้ชูหน่วนเสียงดังแสบแก้วหูมากจริงๆ พวกเขาฟังจนมีเสียงหวีดหวิวอยู่ในหู ดังนั้นจึงไม่กล้าอยู่ต่อและทยอยจากไปราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรอยู่
เซี่ยวอวี่เซวียนหยิบจุกขวดขึ้นมาสองอันแล้วยัดใส่หูทันที เขาเบ้ปากอย่างไม่มีอะไรจะพูด
“แต๊ง แต๊ง แต๊ง…”
มีเสียงกู่ฉินที่ไร้ซึ่งความไพเราะดังขึ้นในสำนักศึกษาวังหลวง แม้แต่พวงองครักษ์ยังอยากจะทิ้งหน้าที่ไปโดยพลการเสียให้ได้เมื่อได้ยิน
เลวร้าย
เลวร้ายมากจริงๆ
ณ ห้องที่งดงามห้องหนึ่งในสำนักศึกษาวังหลวง
เยี่ยจิ่งหานเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนบ่ายและอดประหลาดใจในตัวกู้ชูหน่วนไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้เป็นคนหัวขี้เลื่อยจริงๆ หรือแสร้งทำตัวเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือกันแน่
คนหัวขี้เลื่อยจะเข้าใจบทกวีสู่หลีได้หรือ?
ซั่งกวนฉู่…
วันนี้ทุกอย่างที่เขาปฏิบัติต่อกู้ชูหน่วนดูแตกต่างไปจากอุปนิสัยที่ไม่สนโลก ไม่สนทั้งคำสรรเสริญหรือคำติเตียนของเขา
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะสนใจในตัวกู้ชูหน่วนเหมือนกัน
เยี่ยจิ่งหานเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าพระอาทิตย์ลับภูเขาไปแล้ว จากนั้นริมฝีปากที่เยียบเย็นก็พ่นออกมาคำหนึ่งว่า “ไป”
ชิงเฟิงรู้กันและเข็นรถเข็นออกไปจากสำนักศึกษาวังหลวง
“แต๊ง…”
กู้ชูหน่วนโยนกู่ฉินไปให้เซี่ยวอวี่เซวียน “อีกสี่สิบรอบที่เหลือเจ้าดีดแล้วกัน”
“ทำไมต้องเป็นข้าด้วย”
“ประการแรก ท่านอาจารย์ซั่งกวนบอกว่าถ้าข้าดีดไม่จบ ที่เหลือให้เจ้าดีดแทน ประการที่สองเจ้าเป็นน้องเล็กของข้า ประการที่สาม ข้าบอกให้เจ้าดีดเจ้าก็ดีดไป อย่ามามัวพูดจาไร้สาระ”
“แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้าทำอย่างนี้มันไม่สนุกเลยนะ อย่างน้อยข้าก็เคยช่วยเจ้ามาก่อน”
“เคยช่วยอะไรข้า”
เอ่อ…
ดูเหมือนจะ… ไม่เคยช่วยอะไรเลย
แต่ก็เป็นพวกพ้องกันมิใช่หรือ
ราวกับว่ากู้ชูหน่วนมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ นางกลอกตาใส่เขา “เป็นพวกพ้องกันก็รีบดีดซะสิ ไม่อย่างนั้นเราสองคนจะต้องอยู่ที่นี่กันทั้งคืน ข้าเองก็ไม่ได้ถือสา ถึงอย่างไรข้าก็อัปลักษณ์ขนาดนี้ อยากจะแต่งงานกับคนดีๆ ก็เกรงว่าจะยาก ถ้าแต่งงานกับเจ้าได้ข้าก็จะฝืนใจแต่ง”
ถ้อยคำที่เลวร้ายนี้มีอำนาจรุนแรงมากจนทำให้เซี่ยวอวี่เซวียนต้องรีบดีดฉินอย่างว่าง่าย
เขาไม่รู้ว่ากู้ชูหน่วนเล่นเพลงบ้าอะไร ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเล่นไปมั่วๆ ดีดไปมั่วๆ
กู้ชูหน่วนถอนหายใจ
วันแรกของการเรียนก็รู้สึกไม่ดีเสียแล้ว ถูกทำโทษตั้งแต่เช้ายันเย็น ทั้งยังไม่มีใครอีก
นางจับคางและเริ่มคิดถึงเรื่องเงินกับยาสมุนไพรขึ้นมาอีก
เวลานี้นางรู้แล้วว่าจะหาเงินเงินแปดหมื่นตำลึงได้อย่างไร แต่สมุนไพรสองอย่างนั้นนางยังไม่รู้ว่าจะไปหาจากที่ไหน
หลังจากคิดแล้วนางก็หยิบพู่กันขึ้นมา จากนั้นจึงเขียนคำว่าหญ้านรกกับดอกไม้พ่นควันลงไปและขมวดคิ้วอย่างกลัดกลุ้ม
“นี่ เจ้าไม่รู้จักการเขียนอักษรมิใช่รึ ชื่อสมุนไพรสองอย่างนี่เจ้าเขียนเองงั้นหรือ แสดงว่าที่เพิ่งทำไปคือเจ้าแสร้งทำใช่หรือไม่”
กู้ชูหน่วนรีบพับกระดาษและหยิบขึ้นมา
“แสร้งทำอะไร เดิมทีข้าเขียนคำว่ากู้เกินหน่วนไม่เป็นอยู่แล้วต่างหาก ไม่อย่างนั้นข้าจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะงั้นหรือ”
“เหลวไหล คำแรกที่เจ้าเขียนไปนั่นอย่างกับรอยหมาเขี่ย แต่คำที่เขียนเมื่อครู่กลับเขียนได้อย่างทรงพลัง งดงามดั่งหงส์ร่อนมังกรเหิน เจ้าไม่ใช่แค่เขียนได้ แต่การประดิษฐ์อักษรของเจ้ายังยอดเยี่ยมมากด้วย”
กู้ชูหน่วนปิดปากของเขา
“เบาๆ หน่อยซี ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ ข้าไม่ได้เขียนสิ่งนี้ คนอื่นเป็นคนเขียน แต่ข้าแอบขโมยมา เจ้าอย่าเอะอะไป ไม่อย่างนั้นข้าต้องโดนฆ่าแน่”
“เรื่องจริงแน่รึ”
เซี่ยวอวี่เซวียนไม่เชื่อ
ที่นี่นอกจากเขากับนางก็ไม่มีใครอีกแล้ว นางไปขโมยมาจากไหนกัน
“ต้องจริงอยู่แล้วสิ โกหกเจ้าไปจะได้อะไรขึ้นมา”
“เฮอะ กู้ชูหน่วน เจ้าคิดว่าข้าโง่จริงๆ หรือไง รอยหมึกนั่นยังไม่แห้งด้วยซ้ำ”
ทีนี้ละก็ตาดีเสียจริง มองออกไปเสียหมดเลย
นางบ่นพึมพำอย่างไม่มั่นใจว่า “เมื่อครู่คนเยอะ ข้าพยายามทำเต็มที่แล้วก็ยังทำไม่ดีเหมือนเคย ตอนนี้ไม่มีใคร ข้าเลยทำออกมาได้ดีเหมือนปกติ”
คำโกหกนี้แม้แต่เด็กยังไม่เชื่อ แล้วนี่มาโกหกเขา นางจะอ่อนหัดไปแล้ว
เซี่ยวอวี่เซวียนไม่มัวมาสนใจเรื่องนี้อีกและพูดถึงอีกหัวข้อหนึ่ง
“ยาสมุนไพรสองชนิดนี้หายากมาก ทั่วทั้งโลกนี้เกรงว่าคงจะหาได้ไม่กี่ต้น แต่ดอกไม้พ่นควันนั่นข้าพอจะรู้จักที่ที่มีอยู่ที่หนึ่ง”
กู้ชูหน่วนตาเป็นประกายและเริ่มให้ความสนใจ “เจ้าว่ายังไงนะ เจ้ารู้เหรอว่าที่ไหนมีดอกไม้พ่นควัน”
“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าเด็ดมาไม่ได้หรอก”
“เจ้าลองบอกมาสิ”
“แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้าจะเอาดอกไม้พ่นไฟไปทำอะไร มันเป็นยาพิษนะ”
ถ้าไม่มีพิษนางก็คงไม่อยากได้
พิษบนใบหน้าของนางต้องแก้ด้วยพิษ
“นะสหาย บอกข้าทีเถอะนะว่าดอกไม้พ่นไฟอยู่ที่ไหนกันแน่”
เซี่ยวอวี่เซวียนยังไม่ยอมพูด กู้ชูหน่วนต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานเขาจึงจะยอมเอ่ยปาก
“มีอยู่ที่ข้างล่างหน้าผาหลังเรือนชิวเฟิงของท่านเทพแห่งสงครามหานอ๋อง แต่คนธรรมดาเข้าไปที่เรือนชิวเฟิงไม่ได้หรอกนะ บางครั้งท่านหานอ๋องจะไปที่นั่นเพื่อพักผ่อน มีทหารยามคุ้มกันเข้มงวด ที่สำคัญคือหน้าผานั่นไม่มีก้นเหว คนธรรมดาไม่มีทางลงไปได้เลย”
“ขอบใจเจ้ามาก เสี่ยวเซวียนเซวียน เจ้าดีดจบแล้วหรือยัง ถ้าดีดจบแล้วข้าก็ขอตัวก่อนละ”
“เจ้าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินกว้างหรือยังไงแม่สาวอัปลักษณ์ คงไม่ได้คิดจะไปที่เรือนชิวเฟิงจริงๆ หรอกนะ” เซี่ยวอวี่เซวียนเป็นกังวล
หานอ๋องอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ คาดเดาไม่ได้ เขาฆ่าคนได้เหมือนผักปลา แม้ว่านางจะเป็นพระชายาหานที่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท ถ้าเขาอยากฆ่าเขาก็ฆ่าได้ทันที
ถ้าจะไปที่เรือนชิวเฟิงจริงๆ มันไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ
“ไม่ต้องห่วงน่า ต่อให้ยืมความกล้ามาเต็มสิบข้าก็ยังไม่กล้าไปอยู่ดี”
เซี่ยวอวี่เซวียนไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย ในความประทับใจของเขา สตรีผู้นี้มีความกล้าหาญมิใช่น้อย
“เจ้าคุ้นเคยกับนครหลวงหรือไม่” อยู่ๆ กู้ชูหน่วนก็ถามขึ้นมา
เซี่ยวอวี่เซวียนมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก “เจ้าจะทำอะไร”
“ดูความขี้ขลาดของเจ้าสิ ข้าจะทำอะไรเจ้าได้อีก แค่จะให้พาข้าไปที่หอสุราใหญ่ๆ สักที่”
ขณะที่เซี่ยวอวี่เซวียนยังคงสงสัยว่ากู้ชูหน่วนจะทำอะไร เขาก็ถูกนางลากออกไปแล้ว
ในหอสุราของนครหลวงอันสงบสุข
ชิวเอ๋อร์ระแวดระวังจนเป็นกังวลและกระตุกแขนเสื้อของกู้ชูหน่วนอยู่บ่อยๆ “คุณหนู นี่ก็ค่ำแล้ว เรารีบกลับจวนกันดีกว่าเจ้าค่ะ ถ้านายท่านรู้เข้าละก็ ท่านจะต้องหักขาพวกเราเป็นแน่”
“มีอะไรต้องกลัวฮึ แค่บอกว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนให้อยู่เรียนต่อก็เลยทำให้เสียเวลา อยากกลับก็กลับไม่ได้ ถึงอย่างไรทุกคนในสำนักศึกษาก็รู้กันหมดแล้วว่าข้าถูกสั่งให้อยู่เรียนเพิ่ม”
“เรียนต่อได้แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้นี่เจ้าคะ เมื่อสองวันก่อนที่ท่านไม่กลับเรือน นายท่านก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปรอบหนึ่ง ถ้ามีอีกครั้งละก็… นายท่านจะต้องโกรธแน่เจ้าค่ะ”
กู้ชูหน่วนนึกเสียใจขึ้นมา
นางไม่ควรพาชิวเอ๋อร์มาด้วยเลย ชิวเอ๋อร์ก็เหมือนแม่บ้านคนหนึ่ง นางขี้บ่นเกินไป
เซี่ยวอวี่เซวียนสะบัดพัดและลอบยิ้ม
แม่สาวอัปลักษณ์ไม่เกรงกลัวฟ้าดินแต่กลับกลัวสาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างกาย ดูเหมือนเขาจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชิวเอ๋อร์เสียแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณหนูสามแห่งตระกูลกู้ในสำนักศึกษาถูกใส่สีตีไข่และเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งจรวดที่พุ่งไปรอบๆ นครหลวงตลอดจนทั่วทั้งรัฐเยี่ยอย่างฉับไว ชั่วขณะเดียวกู้ชูหน่วนก็กลายเป็นตัวตลกของรัฐเยี่ย
เวลาเดียวกันนั้น ในหอสุราแทบทุกแห่ง ในบ่อนการพนัน แม้กระทั่งในหอนางโลมและที่อื่นๆ ต่างก็พนันกันว่าใครในสำนักศึกษาวังหลวงจะได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในการชุมนุมแข่งขันวิชาการ
และเกือบทุกแห่งต่างมีชื่อของกู้ชูหน่วน