กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 190
เมื่อเทียบกับความสุขของชาวบ้านแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเฟิงนั้นเฉยเมยมาก ราวกับว่าทุกสิ่งที่พวกเขาพูดไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ในสายตาของชาวบ้านมองที่เยี่ยเฟิงด้วยความชื่นชม และกล่าวพูดอะไรบางอย่างกัน
แล้วก็เป็นหลานชายของผู้ใหญ่บ้านขัดความสุขพวกเขาขึ้น
“ท่านพี่เยี่ยเฟิง เหตุใดพวกเขาบอกว่าท่านสังหารคนล่ะ?”
รอยยิ้มของผู้ใหญ่บ้านหุบลง ภายในมีแววตามีความกังวลใจ กล่าวขึ้นว่า“ใช่สิ เหตุใดพวกเขาถึงได้กล่าวว่าเจ้าสังหารคน ?คนเหล่านั้นเห็นว่ากลั่นแกล้งเจ้าได้ง่าย เลยเอาความหายนะนี้ผลักมาที่เจ้า?”
“เยี่ยเฟิง เรื่องนี้มีหนทางที่จะอธิบายอย่างชัดเจนหรือไม่?หากว่าไร้หนทางที่จะกล่าวอธิบายอย่างชัดเจน เจ้าก็รีบหนีเสีย ใต้พื้นพิภพมืดดำราวอีกาอย่างนั้น ส่วนใหญ่ขุนนางเหล่านั้นไม่ใช่คนดีอะไร ชอบกลั่นแกล้งอาณาประชาราษฎร์ชาวบ้านอย่างเรากัน”
“สำนักศึกษาตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว มือสังหารไม่ใช่ข้า เชื่อว่าไม่นานก็จะสามารถแพร่ถึงขุนนางทางการได้”
“จริงหรือ?หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ดีมาก เยี่ยเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ สำนักศึกษาวังหลวงเป็นสถานที่อันใฝ่ฝันของบุคคลอัจฉริยะบนพื้นพิภพ เพียงแค่ออกมาจากด้านใน ต่อไปก็จะสามารถเป็นขุนนางระดับสูงได้ในอนาคต อนาคตของเจ้ากำหนดไว้แล้ว พวกข้าก็ไม่ต้องห่วงพวกเจ้าแล้ว”
กู้ชูหน่วนกับเซี่ยวอวี้เซวียนยืนเคียงกันอยู่ ได้เกิดมีความรู้สึกอิจฉาเยี่ยเฟิงขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
เหล่าชาวบ้านของหมู่บ้านเสี่ยวเหอ ต่างเชื่อมันต่อตัวของเยี่ยเฟิงมาก บนโลกใบนี้จะมีกี่คนที่สามารถทำได้อย่างเยี่ยเฟิงกัน
แม้ว่าชาวบ้านจะยากจน แต่ทว่ากลับมีความครึกครื้น รู้ว่าพวกเขาเป็นสหายของเยี่ยเฟิง และยังเคยช่วยเหลือเยี่ยเฟิง ทุกครัวเรือนต่างพากันนำผักอาหารออกมา เพื่อทำอาหารให้พวกเขากิน
อาหารทำไม่ถูกปากเท่าจวนหานอ๋อง แต่ทว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดตั้งแต่กู้ชูหน่วนข้ามเวลามาที่รัฐเยี่ย
หลังจากกินข้าวเสร็จ เยี่ยเฟิงพาท่านยายเยี่ยไปพักผ่อน จากนั้นได้นำระฆังวิญญาณสะบั้นไปที่เผ่าปีศาจ
กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนกำลังรอเขาอยู่ที่ป่ากล่าวอย่างห่วงใยแถมข่มขู่ว่า “ข้ายังคงยืนยันคำนั้น หนึ่งวัน ข้าจะให้เวลาเจ้าเพียงวันเดียว และถ้าเจ้าไม่กลับมาหลังจากหนึ่งวันข้าจะเข้าไปทะลวงเผ่าปีศาจ”
เซี่ยวอวี่เซวียนโบกสะบัดพัด ยิ้มแล้วกล่าวว่า“แล้วมีข้าด้วย ข้าก็จะไปทลวงเผ่าปีศาจกับแม่สาวอัปลักษณ์ด้วย พวกเราสามคนเป็นหนึ่งเดียว เมื่อคนหนึ่งลำบาก อีกสองคนจะไม่นิ่งดูดายเป็นแน่”
เยี่ยเฟิงแสบจมูกขึ้นมา เขาประทับไว้ภายในส่วนลึกของหัวใจ ยิ้มให้แล้วพยักหน้า จากนั้นก้าวเดินไปสู่สถานที่ที่เขาไม่อยากไปที่สุด
กู้ชูหนวนมองแผ่นหลังที่ว่างเปล่าอ้างว้าง รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบ มักจะรู้สึกว่าจะมีสิ่งเรื่องราวเกิดขึ้น
“แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้าคิดว่าผู้นำกองธงกล้วยไม้จะให้อิสระแก่เยี่ยเฟิงจริงหรือไม่?”
“ลองดูก่อนเถิด”
เวลาผ่านไปแต่ละนาที ชั่วพริบตาเดียวหนึ่งวันจึงได้ผ่านไปแล้ว ปากทางเข้าหมู่บ้านก็ไม่เจอเงาของคนที่โดดเดี่ยวผู้นั้นเลย
เซี่ยวอวี่เซวียนเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ จากนั้นกล่าวว่า“แม่สาวอัปลักษณ์ ข้ายิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่ดี เยี่ยเฟิงเป็นคนจิตใจอ่อนโยน จะสู้คนเลวร้ายเหี้ยมโหดอย่างนั้นได้อย่างไร ไม่อย่างนั้น พวกเราไปดูที่เผ่าปีศาจกันเถิด”
“ได้ ไปกันเถิด”
เซี่ยวอวี่เซียนสะบัดพัดเข้าหากัน เอามือไขว้หลัง กำลังจะนำทางไปที่เผ่าปีศาจ คิดไม่ถึงว่าบริเวณคอจะถูกเข็มเงินพุ่งแทงมา
สมองเขาดับวูบ ตัวเอียงล้มพับลง
ช่วงที่สะลึมสะลือ เขาเห็นคนประคองร่างกายที่ล้มลงของเขาอย่างเลือนราง และกล่าวอย่างราบเรียบว่า“เจ้านอนพักก่อน หลังจากตื่นนอนแล้ว ทุกอย่างจะแก้ไขได้หมดแล้ว”
โว้ย……
นางคิดจะทำสิ่งใด?
จะไปทะลวงบุกเผ่าปีศาจคนเดียวหรือ?
เซี่ยวอวี่เซวียนอยากบอกมากว่าเผ่าปีศาจมันไม่ได้บุกเข้าไปได้อย่างง่ายดาย หากไม่มีเขานำทาง เกรงว่าแม้แต่ประตูหลักของเผ่าปีศาจก็หาไม่เจอหรอก
น่าเสียดาย เขาสลบไปแล้ว แม้แต่โอกาสจะกล่าวคำพูดหนึ่งคำยังไม่มีเลย
กูชู้หน่วนถอดชุดคลุม ปกคลุมบนร่างของเซี่ยวอวี่เซวียนไว้ แล้วตนเองก็ออกจากหมู่บ้านเสี่ยวเหอไปลำพัง